11 มกราคม 2555 00:09 น.
เปลวเพลิง
เส้นพรมแดนถูกสร้างไว้ขวางกั้น
บอกบ้านเธออยู่นั่น-ฉันอยู่นี่
บอกเราต่างภาษาพูดวาที
ต่างวิถีชีวิตประจำวัน
บนแผ่นดินผืนซึ่งไม่มีเส้น
ขีดแบ่งเป็นพื้นที่ด้วยสีสัน
เราไม่แผกเพื่อนพ้องพี่น้องกัน
ใต้สูรย์จันทร์โอบหล้าฟ้าอำไพ
ต่างเชื่อชาติ ศาสนา ภาษา ถิ่น
ชลาสินธุ์ไมตรียังรี่ไหล
ไหวแววตาเธอ-ฉันยังมั่นใจ
หวานรอยยิ้มละไมยังซ่านทรวง
ฉันอยู่นี่-เธออยู่นั่นมันไกลห่าง
มิตรภาพยังก่อร่างเป็นทางหลวง
ทอดผ่านฟ้าผ่านแว่นแคว้นทั้งปวง
เกี่ยวก้อยควงเปิดม่านธารแสงดาว
เส้นพรมแดนถูกสร้างไว้อย่างไร
คงไม่อาจกั้นใจเมื่อเหินหาว
ติดปีกรักอิสระกระพือกราว
บินหาฉันบางคราว-เธอบางครา
ฉันอยู่นี่ขณะที่เธออยู่นั่น
มิตรภาพเรานั้นยังพร้อมหน้า
ข้ามขอบฝันกระโจนโพ้นขอบฟ้า
ไร้อาณาเขตขวางระหว่างเรา
ปล.จากประสบการณ์หนึ่งเดือนในต่างประเทศ
กับเพื่อนใหม่ที่ได้รู้จัก
แม้จะพูดกันคนละภาษา
แต่ก็ไม่สามารถกั้นขวางมิตรภาพได้
.......................................................
24 ธันวาคม 2554 21:21 น.
เปลวเพลิง
ถึงแล้วจ้ะ เพื่อนแก้ว ถึงแล้วจ้ะ
ถึงวารดิถีขึ้นปีใหม่
กระต่ายขอกล่าวลาแล้วคลาไคล
เคลื่อนราศีต่อไปในอีกปี
เข้าสู่ยุคงูใหญ่ใจอาจหาญ
ทุกเรือนชานจงเปี่ยมสุขถ้วนทุกที่
มีความรักถักทอต่อชีวี
เอื้ออารีเผื่อแผ่มอบแก่กัน
อย่ามีเรื่องโรคามากรายใกล้
ผุดผ่องใสดูราวชาวสวรรค์
มีสติไว้พิฆาตอาตมัน
ตั้งอยู่ในศีลธรรม์อันเพริศพราย
ลาภ ทรัพย์สิน เงินทองกองตรงหน้า
ปรารถนาสิ่งใดได้ดั่งหมาย
เกียรติยศเกิดก่อทอประกาย
สิ่งดีรายรอบทิศชีวิตยัง
งูใหญ่เคลื่อนเยือนสู่จักรราศี
ดลดิถีปีใหม่ให้สมหวัง
เขียนกลอนนี้มาเพิ่มเติมพลัง
แทนพรหลั่งจากในหัวใจกวี
ปล.สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าครับทุกท่าน
งูใหญ่มาเยือนแล้วนะครับ
16 ธันวาคม 2554 00:19 น.
เปลวเพลิง
ลมรำเพยคีตกานท์ผ่านขุนเขา
แว่วสำเนียงแผ่วเบามาเข้าฝัน
ฝ่าต้นตึกตระหง่านกลางม่านควัน
เพียงรำพันฝากเมืองที่เฟื่องฟู
เหนื่อยบ้างไหมคนกรุงผู้มุ่งหวัง
ตั้งหน้าตั้งตาทำงานสราญหรู
กลางความเสี่ยงครอบรุกทุกอณู
คิดหาดูน้ำใจแทบไม่มี
ควันพิษมาคลี่ม่านปิดน่านฟ้า
ชีพร้าวรอนอ่อนล้าแรงราศี
ตึกคอนกรีตสูงระหงกว่าพงพี
ความเครียดรี่สุมหัวถ้วนทั่วไป
เชิญลองมาชื่นฉมอารมณ์ฉ่ำ
ขับลำนำดีดสีดีหรือไม่
ป่าพร้อมเสกเวทย์มนตร์ดลหัวใจ
เมื่ออยู่ในธรรมชาติพิลาสพรรณ
เพลงดอกไม้ วารี และผีเสื้อ
สดสวยเอื้อประคองคลายหมองขวัญ
ทะเลหมอกห่มเช้ายอดเขานั้น
ลบภาพควันหวั่นผวาแห่งนาคร
โสตเสนาะรมณีย์ดนตรีนก
กล่าวสาธกหวานซึ้งถึงแดดอ่อน
กล่อมเหล่าผู้เหนื่อยหนักจงพักนอน
หนุนแนบหมอนใบหญ้าทอดอาลัย
เพลงขุนเขาแว่วหวานกังวานเสียง
หากแค่เพียงลองสดับกลับสดใส
ป่าจึงฝากถ้อยถามความห่วงใย
สื่อสู่จิตนิมิตไว้ในคืนนี้
คีตกานท์แผ่วหายราวสายรุ้ง
คนสะดุ้งตื่นจากฝันเหมือนขวัญหนี
เมืองเริ่มเร่งวันวัยใหม่อีกที
ขณะที่ม่านควันยังตันเมือง
28 พฤศจิกายน 2554 03:07 น.
เปลวเพลิง
เราอาจเป็นเช่นนกที่ผกโผน
ถาทะยานไปโพ้นท้องฟ้ากว้าง
แสวงหาเสรีทุกที่ทาง
ทำสิ่งอย่างอย่างที่ใจชี้ทิศ
บินไปบินไปและบินไป
เมื่อแสงทองของอุทัยยังไพจิตร
บ้างอาจพบยากเย็นและเป็นมิตร
พบนิยามความคิดอันเติบโต
ปุยเมฆขาว สายลมคอยห่มรัก
ให้รู้จักโลกไพศาลอีกนานโข
พำนักจิตนิทรารมย์ใต้ร่มโพธิ์
แล้วบินโล้เรียวรุ้งจรุงใจ
ชื่นชีวีด้วยมีอิสระ
ที่เราจะบินตามความฝันใฝ่
โดยไม่ต้องร้องขอใครต่อใคร
จึงหัวใจตระหนักให้รักมัน
ถ้าหากว่าเราเป็นดั่งเช่นนก
คงโผผกเยี่ยมเยือนเรือนสวรรค์
ปีกกล้าที่กระหยับจับตะวัน
ซึมซับกับสีสันอันเสรี
อาจชีวิตนี้ไม่ใช่ดั่งนก
แต่ใจกกไฟฝันอันล้นปรี่
ปีกหทัยโบกฟ้าข้ามธาตรี
โดยไม่มีแร้วขวางทางนภา
เรายังคงบินไปและบินไป
ชมฟ้าใส เมฆพร่าง อย่างปักษา
กระพือปีกแห่งชีวิตอิสรา
ไปจนกว่าร่วงวูบลงจูบดิน
10 พฤศจิกายน 2554 01:52 น.
เปลวเพลิง
ได้ยินคำโบราณท่านว่าไว้
มิเคยมีสิ่งใดได้เปล่าเปล่า
ทั้งบ้าน รถ สร้อยทอง ว่าของเรา
ยังต้องเอาเงินแจกเพื่อแลกมา
เพื่อนถามฉัน มีอะไรในโลกนี้
ที่ดูดี สำคัญ น่าสรรหา
โดยปลอดค่าภาษีตีราคา
ฉันหรี่ตา ยักไหล่ คงไม่มี
เพื่อนฉันบอก โลกนี้มีอยู่นะ
ของที่จะไร้ราคาอย่างว่านี่
อาจมิใช่เงินทอง...แต่ของฟรี
ทุกชีวีมีสิทธิ์ใกล้ชิดมัน
ไม่ต้องแย่งแสวงชิงสิ่งนี้หนอ
แค่เพียงรอต่อไปอย่าไหวหวั่น
ปล่อยวิถีดีงามไปตามวัน
บนคลองธรรม์ถูกถ้วนกระบวนการ
มันเป็นของแน่ที่มีในโลก
อุปโลกน์ให้เห็นเป็นแก่นสาร
เราล้วนต้องพึ่งพิงทุกวิญญาณ
อยู่เช่นนี้เนิ่นนานมิเสื่อมคลาย
ฉันอยากรู้จึงถามไถ่ อะไรล่ะ?
ที่เราจะได้ฟรีอย่างที่หมาย
เพื่อนตอบว่า รอวันนั้น...รอวันวาย
ทุกคนย่อมได้ความตายไปฟรีฟรี