30 พฤศจิกายน 2555 07:29 น.

ชีวิตและวันใหม่

เปลวเพลิง

อรุณสวัสดิ์รุ่งอรุณของชีวิต
จะเริ่มคิดเริ่มค้นเริ่มต้นใหม่
เริ่มเสาะหาสีสันของวันวัย
ก้าวย่างในทางที่ดีและควร

เหมือนอรุณอุ่นแสงแจรงหล้า
ปลุกชีวาวันใหม่ให้คืนหวน
พบและรับความจริงสิ่งทั้งมวล
ที่เราล้วนต้องพบประสบมัน

ซึ่งมีทั้งด้านสวยระรวยรื่น
พาฉ่ำชื่นสดสะอาดราววาดฝัน
และอาจพบร้ายเข็ญด้วยเช่นกัน
คอยฟาดฟันทุกทีที่ก้าวเดิน

อรุณสวัสดิ์อีกทีชีวิตจ๋า
ชีพจงกล้าเป็นนกที่หกเหิน
ปีกโบกโบยลมบนด้นดำเนิน
ไปเผชิญวันนี้ที่มีมา

และขอบคุณสีแสงแห่งวันใหม่
ที่ทำให้ยังอยู่และรู้ว่า
ลมหายใจยังหอมอ้อมอุรา
ให้เราสร้างคุณค่าบูชาตน				
22 พฤศจิกายน 2555 05:20 น.

นิราศสิงคโปร์ (ตอนที่๑)

เปลวเพลิง

จักขอกล่าวเท้าความตามเหตุผล
พฤหัสฯตะวันแจ้งแรงอำพน              
จรดลเยื้องย่างสู่ต่างแดน
    
พร้อมหน้าถ้วนมวลมิตรสนิทใกล้          
กระเป๋าใหญ่ใบเก่าเข้าตามแผน
ของใช้คู่ของกินสิ้นขาดแคลน             
รอรถแล่นควันโขมงหกโมงตรง
     
ส่งดอกไม้ริมแก้มออกแย้มผลิ             
แม้นเรานิราไกลไร้คนส่ง
รับรู้ถึงรักหวานที่บ้านดง                       
พ่อแม่คงห่วงหาทุกนาที
    
จักจากถิ่น จากฐาน จากบ้านเกิด          
ไปเตลิดเมืองรุ้งรุ่งราศี
มาเลเซีย-เยี่ยมเยือนเชื่อมไมตรี          
สิงคโปร์ที่โสภายวนตายล

กราบขอพรพระพุทธสุดวิเศษ              
จงอาเพศทั้งหลายมลายป่น
ให้หมู่เราสบสุขทุกทุกคน                
ท่องสถลสวัสดีไม่มีภัย

ครารถจอดเงียบเงียบเทียบฟุตปาท         
เสียงประกาศสัญญาณกังวานใส
ทุกคนเร่งบทจร-สะท้อนใจ               
พบกันใหม่ เมืองไทยจ๋า-อีกห้าวัน

โดยสารรถผ่านทางด่านสะเดา             
ถึงแต่เช้าเจ็ดโมงเศษข้ามเขตขัณฑ์
ผู้คนน้อยทยอยมาแต่หัววัน              
ประทับตราผ่านด่านกั้นนั้นทันที

มาเลเซีย-ด่านบูกิตกายูอิตำ              
แปลว่า ควนไม้ดำ ประจำที่
โอ้แต่เมื่อมองพฤกษ์เพรียวเขียวขจี         
ไม่เห็นมีไม้ดำในตำนาน
   
ภาพทิวเขียวเรียงรายสุดสายเนตร          
คือแนวเขตแผ่นดินสองถิ่นฐาน
คอยต้อนรับขับสู้อยู่กับกาล               
ปลอบคนห่างไกลบ้านทุกวารวัน
    
ชอุ่มอิ่มชื่นฉ่ำด้วยน้ำฟ้า                 
พรมผืนหล้าสุกสกาวราวกุดั่น
จงเก็บเกี่ยวประสบการณ์หวานชีวัน         
อย่าประหวั่นพรั่นใจใดใดเลย
     
นาม จังโหลน แผลงมาจาก ช้างหล่น      
ฟากถนนขาวฟอกด้วยหมอกเหมย
แผ่อ้อมกอดความสัมพันธ์อันคุ้นเคย         
มาชิดเชยดั่งมิตรสนิททรวง
    
ณ แผ่นดินถิ่นนี้มีชื่อว่า                  
รัฐเคดาห์ ก่อนเก่าไทยเราหวง
แต่อดีตกรีดเร้าเศร้าแดดวง               
เคดาห์พ่วงเป็นหนึ่งกับมาเลเซีย

จารึกตามประวัติศาสตร์ชาติแต่ก่อน         
ความร้าวรอนรุกราน มานละเหี่ย
ล่าอาณานิคมหลามไล่ลามเลีย            
จำต้องเสียดินแดนแสนระกำ

หากยังเชื่อสนิทในความใกล้ชิด            
ความเป็นมิตรขานเปล่งบทเพลงร่ำ
ซึ้งดนตรีจากสวน ควนไม้ดำ              
เป็นลำนำพี่น้องสองแผ่นดิน

แม้จะมีเหตุการณ์ผ่านหลากหลาย          
จ้องทำลายความสัมพันธ์นั้นให้สิ้น
รักยังหลั่ง หวังยังหว่าน เป็นธารริน        
โถมถวิลสันติภาพอาบเร็ววัน

รถแล่นผ่านบ้านเมืองเรืองสีเขียว          
ท้องทุ่งเปลี่ยวกว้างไกลสุดไพรสัณฑ์
ถึง เปรัค ซื้ออาหารการกินกัน            
ก่อนด้นดั้นเดินทางต่ออีกที

ก้าวเข้าร้านอาหารแล้วเลือกเฟ้น           
เมนูชื่อ ชิกเก้น-อีโคโนมี่
ข้าวไก่อบราดซอสรสชาติดี                
กินอิ่มหมีพีมัน-เที่ยงบันเทิง     

โอ้ว่าความอร่อยนั้นเข้าขั้นแจ๋ว            
ลองลิ้มแล้วพาให้ใจเถลิง
แต่แม้ว่ามื้อกลางวันนั้นรื่นเริง             
ก็ไม่เชิงอิ่มเอื้อจากเนื้อใน

อาหารเขา บ้านเมืองเขา ความงามเขา     
หาอาจเทียบเทียมเหย้าของเราไม่
ภูมิจิตมั่นกับนิยามความเป็นไทย          
ยิ่งยามไกลจากบ้านวิมานตน

มองท้องฟ้าไม่เห็นเป็นสีฟ้า              
เมฆทาบทาแรเงาสีเทาหม่น
เบื้องล่างคือภาพศิลป์ถิ่นชุมชน            
กับผู้คนซึ่งสถิตจิตวิญญาณ

ความเรียบง่ายแห่งความงามพิสุทธิ์         
คือหนึ่งจุดเล็กท่ามความไพศาล
เหมือนสืบเนื่องเรื่องราวมายาวนาน        
โบราณกาลประลุสู่ประจุบัน

เซรังงอ เรามาเยือนคราแรก              
ตึกสูงแทรกคู่เคียงเรียงลดหลั่น
ก่อนไปชมพระราชวังงามพรายพรรณ        
ณ เมืองหลวงสำคัญ-กัวลาลัมเปอร์

อลังการ์ปราสาทราชฐาน                 
มโหฬารวิไลล้ำนำเสนอ
อิสตาน่า เนการ่า มาพบเจอ             
งามเสมอราชาลัยในนิยาย

เด่นตระหง่านกลางเมืองเรืองรองหรู        
คือตึกคู่สัญลักษณ์จำหลักหมาย
เปโตรนาส สูงสง่าอย่างท้าทาย            
ยามแดดบ่ายอ่อนแสงแรงรวี

เก็บภาพความประทับใจไว้ด้วยกล้อง       
คนละสองสามภาพกับสถานที่
บรรยากาศกำซาบซับกับฤดี               
ไว้เล่าพี่ เพื่อน น้อง ตอนกลับไทย

เมืองกัวลาลัมเปอร์เลิศเลอลักษณ์          
เอิบอนรรฆเสน่หาน่าหลงใหล
รอต้อนรับผู้มาเยือนจากแดนไกล          
มายลในมนต์เสน่ห์มาเลเซีย

แล้วก็ถึงสายหลักด้านการค้า              
เราเดินจนอ่อนล้าสองขาเปลี้ย
ชาวมาเลย์ ชาวจีน ชาวอินเดีย            
เดินวนเวี่ยขวักไขว่ให้พัลวัน

ก็อย่างว่าเยือนย่านการค้าขาย             
มีสินค้ามากมายให้เลือกสรร
พร้อมห้างใหญ่รวมมิตรผลิตภัณฑ์          
เลือกซื้อกัน-เอาให้สบายใจ
     
ถึงผู้คนหลายหลากมากเชื้อชาติ            
ก็สามารถอยู่รวมร่วมอาศัย
สามัคคี พร้อมพรัก รัก อภัย             
เสริมด้วยใยซึ่งผสมความกลมเกลียว

หากปัญหาโจรนี้มากมีอยู่                
มันคอยขู่ ขโมย ลัก นักท่องเที่ยว
จึงยามใดตะลอนทัวร์ตัวคนเดียว           
สอดส่อง-เหลียวหลัง หน้า อย่าวางใจ

แม้บ้านเมืองที่ใดก็ไม่ต่าง                
โจรรายทาง ปล้นเงินตรา ฆ่า รีดไถ
เหมือนผีสิงสังคมโสมมไคล              
พบเจอภัยทุกสถานตระการคน
    
แกร่งด้วยบทกฎหมายแก่งนาคร           
ใช้ต่อกรตรงตามเจตน์และเหตุผล
ไทยอ่อนด้อยเพราะว่าประชาชน                 
บางพวกเห็นแก่ตน-แพ้เงินตรา

หน่ายอำนาจฉกาจไกรในทุกเรื่อง          
หากฟุ้งเฟื่องบาปชั่ว กลั้วโมหา
ร่างกฎหมาย-รับอามิส อนิจจา!           
รอถึงคราคนซึ้งถึงคุณธรรม

เดินจนเหนื่อยสรรพางค์อย่างเต็มที่         
ชมวารีพุฟ่องละอองฉ่ำ
อรชรอ่อนไหวของสายน้ำ                
เต้นระบำรับหน้าผู้มาเยือน

เย็นยามลมพรมไล้ละไมจิต               
อยู่ใกล้ชิดดูของพร้อมผองเพื่อน
เริ่มแสงสีสนธยามารางเลือน              
ก่อนดาวเคลื่อนเดือนคล้อยลอยนภา

ดวงชีวิตถ้าเป็นเพ็ญพิลาส                
มีโอภาสแจ่มจันทร์ขวัญนิศา
มีมืดดับลับดวงจากห้วงฟ้า               
อยู่คู่ราตรีกาลนานนิรันดร์

แต่เราควรสร้างค่าชีวามนุษย์             
ให้ผ่องผุดความดีที่ฉายฉัน
จากอดีตถึงขณะประจุบัน                 
ตราบอนาคตอันฝันใฝ่ปอง
     
ถึงที่พัก หลับตา คราคืนนี้               
ด้วยฤดีสุขสันต์ขวัญมิหมอง
รอวันพรุ่งรุ่งรวีทาบสีทอง                
ปลุกเราท่องโลกกว้างอีกครั้งครา

..............................................

วันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๕  เดินทางวันแรก				
22 พฤศจิกายน 2555 05:13 น.

นิราศสิงคโปร์ (เกริ่นนำ)

เปลวเพลิง

วันที่สี่กันยาฯปีห้าห้า             
เราได้มารวมกลุ่มประชุมใหญ่
ที่ตึกอธิการมหาวิทยาลัย                 
พร้อมกันในเวลาห้าโมงเย็น

เป็นแรกพบสบตากันครานี้               
น้อง เพื่อน พี่ ต่างใครไม่เคยเห็น
มีวิทยากรผู้รู้จัดเจน                    
เปิดประเด็นอธิบายขยายความ    

“ประเทศเรากำลังก้าวเข้าอาเซียน          
ควรเร่งเรียนเสริมสร้างอย่างล้นหลาม
เรื่องภาษาอังกฤษฟุดฟิดตาม             
จำเป็นยามเนื่องหนุนลงทุนกัน
    
และภาษาเพื่อนบ้านรอบข้างนี้            
รู้มากมีเอื้อประโยชน์โชติเฉิดฉัน
อีกปรับตัวในการทำงานนั้น              
คือสิ่งซึ่งสำคัญไม่น้อยเลย

ม.อ.จึงจัดโครงการด้านศึกษา             
ทัศนาจรอันสำคัญเหวย
มาเลเซีย-สิงคโปร์ โก้จริงเอย            
จักไปเชยชมด้วยตากันครานี้”
  
ต่อด้วยกิจกรรมปลีกอีกนิดหน่อย          
เราค่อยค่อยรู้จักและมักจี่
สื่อรอยยิ้มหยาดฟ้ายามพาที              
สร้างไมตรีถักทอขึ้นต่อกัน

ก่อนกำหนดนัดหมายกันท้ายสุด                 
ทั้งเรื่องชุด เวลาอย่าบิดผัน
หกโมงเช้า เป็นตามฤกษ์ยามนั้น          
ในเช้าวันที่หกกันยายน     

......................................

วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๕  ประชุมก่อนเดินทาง				
20 พฤศจิกายน 2555 12:37 น.

ที่ยังไม่รู้

เปลวเพลิง

ปริญญาการเรียนเขียนอ่านนั้น		
ถ้าขยัน ตรองตรึก หมั่นฝึกฝน
อาจรู้ครบจบฟ้าจบสากล			
เท่าที่ยลเห็นได้ในตำรา

และเราอาจนึกผยองพองขนนัก		
ว่ารู้จักทุกสิ่งจริงนักหนา
ใครเถียงเรา-เราซัดเต็มอัตรา			
“ข้าเรียนมาลึกซึ้งถึงแก่นใน

ทฤษฎีเขาอ้างไว้อย่างนั้น			
จะดื้อดันเป็นอื่นชื่นไฉน
ข้าศึกษาจากแหล่งจนแจ้งใจ			
จึงแกร่งไกรนานาวิชาการ”

เฮ้อ! แต่เมื่อผจญโศกโลกภายนอก		
กลับช้ำชอกร้าวอุราน่าสงสาร
โลกเอยโลก ใหญ่โตมโหฬาร			
เราหาอ่าน รู้ไม่ครบ ไม่จบเอย				
20 พฤศจิกายน 2555 12:35 น.

โลกในกะลา

เปลวเพลิง

โลกนี้กว้างอย่างไรเราไม่รู้		
ผู้คนอยู่อย่างไรเราไม่เห็น
บางคนเปรียบเปรยเข้าว่าเราเป็น		
กบซ่อนเร้นโลกไว้ในกะลา

เราไม่มีปัญญาจะว่าได้				
ฟ้ากว้างใหญ่เกินกะกระมังหวา
หากแปลกที่นรชนล้นโลกา			
แล้งเมตตา น้ำหทัยจะให้กัน

เปล่าหรอก-เราก็ไม่ได้ดีเด่			
ก็มีเล่ห์ โมโห โลภ โมหันธ์
มีความเกลียด ความหวัง รักทั้งนั้น		
แต่ขี้เกียจฟาดฟันมันกับใคร

ชีพเกิดมาต้องอยู่ สู้-ถูกต้อง			
เราไม่ปองเข้าหั่นห้ำทำไฉน
ก็ได้แต่หลบลี้หนีโลกัย			
ใช้ชีพในกะลา น่าขันนัก

เอาเถอะนะ เราไม่โกรธโทษใครหรอก	
ถึงช้ำชอกอย่างไรก็ไว้ศักดิ์
ขออยู่ในกะลาเก่าที่เรารัก			
ทิ้งโลกยักษ์-ยักษ์สลอนไว้ก่อนนะ				
ไม่มีข้อความส่งถึงเปลวเพลิง