15 มีนาคม 2556 00:35 น.
เปลวเพลิง
เมื่อรักษ์สัตว์ รักษ์ป่า ชลาสินธุ์
รักษ์แผ่นดินถิ่นหอมหลอมเชื้อสาย
รักษ์ท้องฟ้า อากาศดีมากมาย
รักษ์ผืนทรายก็ดุจรักษ์ชีพรักเรา
โลกสดสวยรวยรินด้วยสินทรัพย์
ซ่อนอยู่กับความละมุนของขุนเขา
หญ้าระบัดใบระบำกล่อมลำเนา
ภู่ผึ้งเย้าดอกไม้กลางสายลม
หากใครเคยกอดรัดสัมผัสหล้า
ย่อมรู้ว่าคือสวรรค์อันสุขสม
ยามมาเยือนเรือนเหย้าเงาพนม
ความทุกข์ตรม เร่าร้อนก็ผ่อนคลาย
เมื่อทอดตามองยังฝั่งไพรพฤกษ์
ยิ่งรู้สึกหวานละม่อมกล่อมใจหลาย
พรมเขียวเข้มเขียวอ่อนซ้อนเรียงราย
ช่วยระบายแล้งเข็ญให้เย็นตา
ดนตรีจากหริ่งหรีดสังคีตสรวง
นกบำบวงห้วงอารมณ์สมปรารถนา
บทกวีเรียงร้อยสร้อยพจนา
มอบแด่ป่า ห้วย เขา ลำเนาไพร
เพื่อจรรโลงโลกทัศน์อันสัตย์ซื่อ
มาร่วมมือลบโศกฟื้นโลกใส
ต่างสร้อยศอสื่อสลักรักจากใจ
คล้องโลกไว้คงมั่นนิรันดร
8 มีนาคม 2556 23:55 น.
เปลวเพลิง
ทะเลทรายคาลาฮารี
ใต้รังสีศักดิ์สิทธิ์อาทิตย์ฉาน
สามแสนห้าหมื่นตารางไมล์ในประมาณ
ความกันดารคลุมพื้นที่เป็นสีทอง
ทรายร่ายมนต์กล่อมเมฆวิเวกแว่ว
ลมพัดแผ่วข้ามฟ้ามาสนอง
สุดเวิ้งว้างกว้างไกลยามได้มอง
หากคนต้องยาตราฝ่าคงตาย
โอ้แต่ว่าที่นี่มีชีวิต
แฝงวิกฤตทรายแห้งแล้งเหลือหลาย
ไม้หยั่งรากแน่นหนาขึ้นท้าทาย
กระจัดกระจายทั่วแหล่งแล้งกันดาร
หญ้าอันแกร่งแทงยอดขึ้นกอดฟ้า
พุ่มพฤกษาแซมซ่อนความอ่อนหวาน
หลากส่ำสัตว์เลือกเฟ้นเป็นวิมาน
ยึดต่างบ้านซุกชีวามานานปี
ยามอาทิตย์อัสดงลงมืดค่ำ
ดาราย่ำเดือนย่างทางวิถี
สัตว์กลางคืนเริ่มออกมาเผยกายี
หาอาหารในราตรีที่หนาวทรวง
ณ เบื้องบนทะเลดาวแสงพราวพร่าง
ณ เบื้องล่างทรายก็วาวดุจดาวสรวง
คาลาฮารีเนรมิตชีวิตปวง
ภายใต้ดวงสุริยันและจันทรา
หลงใหลมนต์เสน่หาคาลาฮารี
จึงแต้มสีสวยศานต์ผ่านภาษา
หว่านรอยยิ้มแย้มผลิแอฟริกา
ลงหยั่งรากกลางมหาคาลาฮารี
..................................................
ทะเลทรายคาลาฮารี
เป็นทะเลทรายในทวีปแอฟริกาใต้
มีเนื้อที่ 900,000 ตร.กม. (350,000 ตร.ไมล์)
ครอบคลุมพื้นที่ในประเทศบอตสวานา
และบางส่วนของประเทศแอฟริกาใต้และนามิเบีย
มีปริมาณน้ำฝนน้อยมาก ในฤดูร้อนมีอุณหภูมิสูงมาก
มีปริมาณน้ำฝนราว 37.5 นิ้ว (76190 มม.) ต่อปี
พืชพรรณธรรมชาติส่วนใหญ่เป็นทุ่งหญ้า
โดยมีไม้พุ่มขึ้นหนาแน่น
ทางด้านตะวันตกและด้านเหนือ
มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มาก
7 มีนาคม 2556 21:31 น.
เปลวเพลิง
สูงตระหง่านลิบลิ่วเทียมทิวเมฆ
เหมือนเทพเสกสรรค์สร้างจากกลางหาว
ยอดทอดถึงสถานวิมานดาว
เด่นสกาวภูผาหิมาลัย
เป็นหลังคาของดินแดนชมพูทวีป
หล่อเลี้ยงชีพชาวชนจนเติบใหญ่
รุ่นต่อรุ่นเกินนับอัประไมย
ล้วนอาศัยสุขศานต์เนิ่นนานมา
แล้ววันหนึ่งเหตุร้ายไม่คาดคิด
เข้าประชิดจุดเพลิงถึงเชิงผา
หิมาลัยไขคำร่ำน้ำตา
ช้ำเพราะว่าเป็นผลเพราะคนทำ
ข้ายืนยงตระหง่านมานานแล้ว
ไร้วี่แววโลกร้อนรอนกระหน่ำ
ครั้นพอมีโรงงานปล่อยม่านดำ
คนเหยียบย่ำธรรมชาติพินาศไป
ข้าก็ยิ่งถอนใจให้รันทด
อนาคตไม่รู้อยู่ที่ไหน
แม้หิมะบนมหาหิมาลัย
หวั่นหวาดภัยละลายหลากมากทุกที
อีกผองภัยธรรมชาติฉกาจกล้า
ยิ่งสำแดงฤทธาบ่อยเหลือที่
ข้าหมายช่วยอย่างไรก็ไม่มี
ทางต่อตีหยุดยั้งกำลังมัน
แม้แต่ว่าหิมาลัยในยามนี้
ภัยเริ่มปรี่รอเวลาจักอาสัญ
เมื่อน้ำตาหิมาลัยไหลนองพลัน
นั่นคือวันล่มสลายหลายล้านคน
.........................................................
ภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน
ส่งผลกระทบต่อภูเขาหิมาลัย
หิมะที่ปกคลุมยอดเขา
เริ่มมีการละลายอย่างรวดเร็ว
และเกิดทะเลสาบ
จำนวนมากมายหลายแห่ง
โดยสิ่งเหล่านี้ล้วนมาจาก
อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้น
เชื่อว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ
อาจเกิดผลกระทบต่อทุกชีวิต
ที่ต้องพึ่งพามหาหิมาลัยแห่งนี้
อย่างแน่นอน
5 มีนาคม 2556 04:44 น.
เปลวเพลิง
สุนัขแก่ตัวหนึ่งรำพึงคิด
ถึงชีวิตก้าวย่างกลางเมืองหลวง
อันอุดมตึกตระหง่าน ห้าง ร้านรวง
ในทุกช่วงวันวารที่ผ่านพ้น
เช้าเริ่มด้วยเสียงแตรเซ็งแซ่นัก
ฝุ่นควันคือเพื่อนรักชักม่านหม่น
หันทุกทิศพิศเพียงฝูงรถยนต์
จราจรจลาจลก็ทนไป
ครั้นเปลวแดดแผดเปรี้ยงตอนเที่ยงกว่า
ร้อนเหมือนว่าเริ่มโศกโลกยุคใหม่
พื้นสะท้อนไอแดดยิ่งแผดใจ
เมื่อร่มไม้เย็นสะอาดปราศวี่แวว
จากเคยมียางยูงสูงใหญ่มาก
ยืนต้นฝากความร่มเย็นเป็นทิวแถว
มรกตบังใบพร่างพรายแพรว
ดั่งโดมแก้วนพคุณหนุนชีวา
รู้จักไหม? เงียบ? สงัด? แห่งชัฏกว้าง
สัตว์ต่างต่างที่อยู่ตามภูผา
ความร่มรื่นเกินสรรพรรณนา
ที่ร่อยหรอด้วยหัตถาสามัญชน
เดี๋ยวนี้เมืองป่าไม้ไม่มีแล้ว
เพราะถูกแผ้วถูกถางอย่างปี้ป่น
แล้วปลูกตึกระฟ้ายวนตาคน
ทดแทนต้นนี้ โน้น ที่โค่นไป
สัตว์เริ่มหายากยิ่งยวดเหมือนหนวดเต่า
ทั้งบางเผ่าสูญพันธุ์กันยิ่งใหญ่
สัตว์เมืองก็ไม่ต่างกันอย่างไร
แค่อยู่ในป่าคอนกรีตเท่านั้นละ
เดินจนถึงฤกษ์งามสามโมงกว่า
เมียงมองหาร่มรุกข์ทุกขณะ
แต่ยิ่งเดินแรงยิ่งฝ่อใกล้มรณะ
ไม่รู้จะทิ้งซากฝากที่ใด?
17 กุมภาพันธ์ 2556 13:20 น.
เปลวเพลิง
แรกลืมตาฟ้าสวยด้วยเมฆขาว
ดังเรื่องราวกถามุขอันสุขสันต์
สุดแผ่นดินถิ่นน้ำฉ่ำชีวัน
สุดไพรสัณฑ์กว้างไกลสุดสายตา
หวานแว่วเพียงเสียงร้องทำนองนก
กล่าวสาธกโชยพระพายผ่านชายป่า
รินเพลงพรสันติซึ้งอันตรึงตรา
ของบินหลาจากวังกำบังไพร
จากอดีตซึ่งสลายมาไกลโพ้น
เพลงอ่อนโยนกังวานอย่างหวานไหว
ภาพแผ่นภพสงบศานต์จารหัวใจ
ที่สุดใต้แดนสยามจงรามเรือง
แล้ววันนี้เสียงสนั่นดุจฝันร้าย
ก็ทำลายความสุขในทุกเรื่อง
ควันสีเทา เขม่าปืนเข้ากลืนเมือง
และตรงเบื้องหน้าที่พบคือ...ศพคน
เพลงบินหลาลาลับไปกับเมฆ
กระสุนเสกความตายรายทั่วหน
ระเบิดเปรี้ยงเริ่มเวลาจลาจล
ท้องถนนนั้นพบว่าทาเลือดแดง
เมื่อลืมตารับตะวันในวันนี้
มิอาจมีคำเปรยเอ่ยแถลง
ดวงตาฉายประกายขลาด หวาดระแวง
นวลแก้มแฝงรอยช้ำของน้ำตา
พรุ่งนี้หวังเฝ้ารอท่าบินหลากลับ
เพื่อมาขับบทเพลงบรรเลงกล้า
แม้วันนี้คำตอบที่ขอบฟ้า
สั่นและพร่าว่าอาจเฝ้านานเท่านาน