26 มีนาคม 2553 11:36 น.
เที่ยนหยด
อากาศแสนจะร้อน.. มาผ่อนคลายกันซะหน่อยดีกว่า...อิอิ
เหตุผลที่ไม่อยากไปบ้าน..คนรวย
เพื่อน : นายจะดื่มอะไร น้ำผลไม้ โซดา ชา โกโก้ ช็อคโกแลตหรือกาแฟ?
ป๋ม : ขอชาแล้วกัน
เพื่อน : เอาซีลอนหรือชาสมุนไพร หรือเอาบุชผสมน้ำผึ้งดีมั้ยหรือเอาชาเย็น
หรือชาเขียว
ป๋ม : เอาซีลอน
เพื่อน : เอาแบบไหนเหรอ ใส่นมหรือไม่ใส่
ป๋ม : ใส่นมด้วยแล้วกัน
เพื่อน : เอานมแพะ นมอูฐ หรือนมวัว
ป๋ม : นมวัวดีกว่า
เพื่อน : เอานมจากวัวฟรีซแลนด์หรือวัวแอฟริกาเน่?
ป๋ม : เอ่อ... ไม่ต้องใส่นมก็ได้
เพื่อน : อยากได้หวานแบบไหนล่ะ ใส่น้ำตาลหรือว่าน้ำผึ้ง?
ป๋ม : น้ำตาลดีกว่า
เพื่อน : น้ำตาลบีทหรือน้ำตาลอ้อย?
ป๋ม : น้ำตาลอ้อย
เพื่อน : เอาแบบขาว หรือแดง หรือว่าเหลือง?
ป๋ม : ... นายลืมเรื่องชานี่ซะเถอะ ขอน้ำสักแก้วก็พอว่ะ
เพื่อน : จะเอาน้ำแร่หรือน้ำกลั่น?
ป๋ม : น้ำแร่
เพื่อน : เอาแต่งรสด้วยมั้ย? หรือว่าไม่?
ป๋ม : หิวน้ำจะตายอยู่แล้วคร้าบบ!!!!!!
เพื่อน : ? แล้วจะใส่แก้วทรงไหนดีล่ะ แก้วใส ขุ่น / ทรงยุโรปทรงไทย
หรือ ทรงแขกดี
ป๋ม: เอ่อ...ที่มันใส่น้ำแล้วไม่รั่วก็ได้นะ จะดีมากถ้ามีน้ำแข็งด้วย
เพื่อน: อ่า เอาน้ำแข็งแบบไหนดี ทุบละเอียดหรือก้อนกลม(ยูนิค)
ป๋ม: กลมๆละกัน
เพื่อน : เอาแบบใหญ่ๆ หรือเล็กๆดีล่ะ
ป๋ม : เอาว่าใส่น้ำแล้วมันเย็นอ่ะ
เพื่อน : จานรองแก้วล่ะ เอาเป็นไม้ หรือสแตนเลสดี
ป๋ม : สแตนเลสเนอะ
เพื่อน : กลมๆ หรือ สี่เหลี่ยม
ป๋ม : กูไปแดกน้ำที่บ้านก่อน เดี๋ยวกลับมา !!....
เคยมั๊ยค่ะเวลานั่งอยู่ในรถ และในขณะที่รถ
กำลังวิ่งไปเรื่อยๆ เราก็มักจะมองอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อยเปื่อย..ฉันก็
เป็นแบบนั้นหล่ะ...มองไปมองมา ก็สะดุดกับบรรดาสติ๊กเกอร์คำคมต่างๆ
ที่ติดอยู่ท้ายรถบ้าง ข้างรถบ้าง แล้วแต่ความพอใจของคุณโชเฟอร์ ...
ส่วนมากที่เห็นก็มักจะเป็น รถสิบล้อ หกล้อ กระบะ แท๊กซี่ และสามล้อ...
แม้กระทั่งรถเมล์ก็มีค่ะ...
คำคมก็จะมีหลากหลาย..ฉันอ่านไปก็อมยิ้มไป หรือบางทีก็ยิ้มน้อยจน
ถึงยิ้มใหญ่..หัวเราะพองาม จนถึงหมดงามก็มี..อิอิ นำมาฝากให้อ่าน
กันเล่นเพลินๆ จำเริญใจค่ะ
"ถึงรถจะเก่า แต่กระเป๋าอวบขึ้น"
"เรียนๆเล่นๆ เดี๋ยวได้เป็นด๊อกเตอร์"
"ดีใจแทบบ้า คันหน้าก็ลาว"
"อย่าดื่มสุราขณะขับรถ เดี๋ยวเหล้าจะหก" (แหม..เสียดายจัง)
"เมียอยู่ในรถ แม่มดอยู่ในบ้าน"
"เหงื่อทุกหยาดหยด เพื่ออนาคตน้องเมีย" (น่าเห็นใจซะจริงน๊ะ)
"ขอเถอะจ่า..นี่ค่านมลูก" น๊ะคร๊าบบบบ
"ถนนคือการศึกษา ปริญญาคือใบสั่ง"
"รถติดเป็นมรดกไทย อนุรักษ์ไว้ให้ลูกหลาน" (อืม..มองการณ์ไกล)
"เรียนๆลุยๆไปคุยโรงพัก เรียนๆรักๆไปพักโรงแรม"
"หลงทางยังหาเจอ หลงเธอซิเหลือทน"
"สวยขึ้นฟรี หุ่นดีครึ่งราคา" (แล้วป้าอย่างตูหล่ะเฟร้ย..)
"คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นเกย์"
"คนขับเป็นหม้าย เด็กท้ายยังโสด"
"ขับรถซะเร็วจี่ หนีเมียหรือไงครับ"
"ขับรถอย่าเซ่อ จ่าเผลอค่อยซิ่ง"
"อย่าเข้าใกล้ อะไหล่มันแพง"
"อยู่บ้านเมียด่า ออกมาจ่าจับ"
"เห็นตูเป็นลาว จับเช้าจับเย็น"
"มือเก่าหลบไป มือใหม่จะแซง"
ก็ว่ากันไป บางครั้งชีวิตประจำวันมันก็เครียดเกิน...ถ้าไม่อยาก
แพ้มัน (เจ้าความเครียด) เราต้องเป็นเพชรฆาดซะ..(โหดๆๆๆ)
มามะ มาร่วมมือกัน เป็น เพชรฆาตความเครียดกันเถอะ..
ขอให้มีความสุขกันทั่วหน้านะคะ...
18 มีนาคม 2553 00:01 น.
เที่ยนหยด
หากใครสักคนจะใช้ตะเกียบ คงจะต้องวางเทียบกันดู
และจับมายืนคู่กันแล้วเคาะมันกับโต๊ะ เพื่อจะตรวจสอบว่า
ตะเกียบคู่นี้สูงเท่ากันไหม...ถ้าไม่เท่ากัน เรามักจะหยิบอันใหม่มา
เข้าคู่กับอีกอันทีถืออยู่ในมือ และเลือกสรรไปมาจนกว่าจะได้ตะเกียบ
ที่สูงเท่ากัน..
และถ้าจะให้ดีกว่านั้นก็ต้องเป็นคู่ที่เมื่อวางประกบกันแล้วไม่มีช่องว่าง
จากอาการโก่งงอขออันใดอันหนึ่ง คือประกบกันได้แนบชิดสนิทแน่น
สามารถคีบแผ่นก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ เส้นใหญ่ วุ้นเส้น บะหมี่ได้อย่างถนัด
ไม่มีหลุดร่วง
ตะเกียบที่ดีจึงควรมีหน้าตาที่ "เหมือนกัน"
แต่นั่นมิใช่ลักษณะของช้อนส้อม ไม่เคยมีช้อนส้อมคู่ใดที่หน้าตาเหมือนกัน
ซึ่งนั้นเป็นเรื่องที่แน่นอน เพราะขึ้นชื่อว่า "ช้อนส้อม" แต่ใช่ว่ามันจะเป็นสิ่ง
เดียวกันเสียเมื่อไหร่
ยังคงเป็น "ช้อน"
ยังคงเป็น "ส้อม"
อยู่ดังเดิม
ช้อนมิได้พยายามทำตัวเป็นซี่ๆ ให้เหมือนส้อม เช่นเดียวกับที่ส้อมก็ไม่เคย
ฝนปลายแหลมแล้วทุบตัวเองให้แบนเป็นแผ่นเดียวเพื่อจะให้เหมือนช้อน
ช้อนก็เป็นตัวมัน ส้อมก็เป็นตัวเอง ความครื้นเครงจึงบังเกิด
ในยามที่อยู่ไกลกันช้อนก็ใช้ชีวิตของมันไปตามปกติ คงมีบ้างที่คิดถึงส้อม
"ถ้ามีส้อมเราคงทำอะไรได้ถนัดกว่านี้"
แต่ถึงไม่มีก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่ไม่ง้อ แต่ก็สามารถอยู่เดี่ยวๆ ตัวคนเดียวได้
โดยไม่เปลี่ยวเหงา
ฝ่ายส้อมก็เช่นกัน ในวันที่ไม่มีช้อน มันไม่เคยเกี่ยงงอนแต่อย่างใด ยังคง
ใช้ปลายแหลมหลายซี่ของมันจิ้มลงไปใน ไส้กรอก ลูกชิ้น ให้คนหยิบขึ้นมา
กินได้สบายๆ มีชีวิตได้อย่างอิสระและมีคุณค่า
ใช่หรือไม่ว่า ทั้งช้อนและส้อมต่างก็มีคุณค่าในตัวเอง
ช้อนก็มีคุณค่าในแบบช้อน ส้อมก็มีคุณค่าในแบบส้อม และเมื่อทั้งสองมาอยู่
ด้วยกันก็มีคุณค่าใหม่เกิดขึ้นมา เป็นคุณค่าของการอยู่ร่วมกัน และใช้สอย
เวลาด้วยกันอย่างน่ารัก..
ช้อนเองก็ลดบทบาทลง เอียงตัวเข้าหาส้อมเพื่อให้ส้อมตักอาหารใส่ช้อนได้
สะดวก ส้อมเองก็ลดหน้าที่ตัวเองลง เปลี่ยนมาจิ้มอาหารให้อยู่นิ่งเพื่อให้ช้อน
ได้ตักและตัดอาหารได้สะดวกขึ้น
ถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่ก้าวก่ายและไม่เรียกร้องให้อีกฝ่ายต้องเป็นเหมือนตัวเอง
เคารพในความแตกต่าง เพราะความแตกต่างระหว่างช้อนกับส้อมนี่เองที่ทำ
ให้เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันมีความหมายมากขึ้น
น่าจะดีกว่าช้อนคู่กับช้อน
หรือส้อมคู่กับส้อม
เมื่อทั้งสองช่วยกันเติมเต็มในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่มี
ช้อนไม่มีปลายแหลมไม่มีซี่เอาไว้จิ้มชิ้นเนื้อ และเกี่ยวอาหารชนิดต่างๆ ใน
ขณะที่ส้อมเองก็ไม่สามารถตักน้ำแกงขึ้นมาซดได้
ส้อมจึงเบาใจเมื่อมีช้อน เช่นกันกับช้อนที่รู้สึกเหมือนกัน
ความต่างที่อยู่คู่กันอย่างน่ารักของช้อนส้อมกระซิบบอกกับเราว่า คู่รักที่น่ารัก
ก็น่าจะมีลักษณะคล้ายช้อนส้อมมากกว่าตะเกียบ...
คือมิใช่คู่เหมือนกันในทุกรายละเอียด
คิดเหมือนกัน รสนิยมเหมือนกัน ชอบอะไรคล้ายๆกัน ซึ่งคู่รักไม่จำเป็นต้อง
เป็นแบบนั้นเสมอไป
ที่สำคัญ คู่แบบนั้นไม่น่าจะมีอยู่จริง
คนเราเกิดมาจากคนละถิ่นที่ มีพ่อแม่คนละคน มีประสบการณ์ภูมิหลังคนละ
แบบ ย่อมยากที่จะเหมือนกันไปทุกกระเบียดนิ้ว
คู่รักหลายคู่เลิกรากัน เพราะคนหนึ่งเรียกร้องให้อีกคนหนึ่งเหมือนตัวเอง
บางคู่เลิกราโดยให้เหตุผลว่า - เราต่างกันเกินไป
ต่างกันเกินไป - ย่อมเป็นเหตุผลที่ทำให้คนอยู่ด้วยกันแล้วไม่หนุก ในทาง
ตรงกันข้าม เหมือนกันเกินไปก็ทำให้รู้สึกเบื่อ เพราะเหมือนส่องกระจกเห็น
ตัวเองอยู่ตลอดเวลา...
ความต่างที่พอเหมาะนั่นกระมังที่เป็นเหตุผลที่คน 2 คน ต้องมีกันและกัน
และช่องว่างระหว่างความต่างนั้น ต้องอาศัยเวลาในการปรับตัว
กว่าช้อนกับส้อมจะรู้จังหวะและวาดลีลาบนโต๊ะอาหารได้อย่างร่าเริงแคล่ว
คล้อง ย่อมต้องใช้เวลา แต่เมื่อเข้าขาแล้วก็อยู่กันยาว..
มิใช่ว่าช้อนกับส้อมจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ช้อนส้อมที่ "เข้าคู่" กัน ย่อมมีวัสดุ ลวดลาย และด้ามจับลักษณะเดียวกัน
ในความต่างมีความเหมือน
ในความเหมือนก็มีความต่าง
สิ่งที่อยู่ตรงกลางคือ "ความรัก"
ความรัก คือการยอมรับความต่างของคนที่เรารัก และพยายามปรับตัวเอง
เข้าหากันและกันโดยมิถือว่า "ตัวฉัน" เป็นใหญ่
เมื่อรักใครสักคน เราย่อมยอมสละความเป็นตัวเองเพื่อเปิดโอกาสให้
อีกฝ่ายได้แสดงความเป็นตัวเขา เช่นกันกับที่เขายอมสะลความเป็นตัวเอง
ในบางคราวเพื่อให้เราได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่..
รักคือการผลัดกันเสียสละในจังหวะที่พอดี
ถ้าเสียสละมากไปเราก็อึดอัด หากเสียสละน้อยเกินไป
อีกฝ่ายก็คงจะลำบากใจ
รักอยู่ตรงกลางระหว่างความแตกต่างนั้น และ
รักทำให้ "ช่องว่าง" แห่งความแตกต่างได้รับการเติมเต็ม
คู่รักจึงคล้ายช้อนส้อมมากกว่าตะเกียบ ทั้ง 2 คนจะมีรูปแบบชีวิต รสนิยม
ความชอบอะไรต่อมิอะไรเหมือนกันหรือไม่นั้น ยังไม่สำคัญเท่ากับทั้ง 2 คน
ต้องชอบกัน
ใช่ "ชอบเหมือนกัน" ไม่สำคัญเท่า "ชอบกัน"
เพราะเมื่อชอบกันแล้ว ทั้ง 2 ฝ่ายจะเรียนรู้และทำความเข้าใจในสิ่งที่ชอบ
ไม่เหมือนกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป...
โดยอาศัย "ความรัก" เป็นสิ่งเติมเต็มให้กันและกัน
ภาพประกอบจาก www.photobucket.com