เที่ยงวานนี้ฉันต้องไปทำธุระที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แต่เนื่องจากมีสัมภาระที่ค่อนข้างจะหนักเอาการ ก็เลย ต้องใช้บริการรถแท๊กซี่..ฉันหอบหิ้วสัมภาระมายืนรอรถ อยู่สักพัก..นึกแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมวันนี้รถแท๊กซี่ ไปไหนกันหมด..ปกติจะเห็นวิ่งผ่านตลอดนี่นา โน่นๆ มาแล้ว..ฉันโบกมือเรียก ทันทีที่รถจอดตรงหน้า ฉันชะงักนิดหนึ่งมองเห็นสภาพรถแล้ว..แทบไม่อยากจะ ใช้บริการเล้ยยให้ตายซิเอ้า...ไม่ใช่ว่าเป็นคนเรื่องมากนะคะ แต่สภาพรถตั้งแต่หน้ายันท้าย มีแต่รอยวีรกรรมทั้งน้าน.. แถมยังเป็นรถรุ่นเก่าด้วยแล้วมันจะถึงที่หมายรึป่าวหว่า? ฉันคิดในใจ แต่เอาเถอะน่า..ยังไงก็ต้องไปหล่ะ เรียกแล้วนี่.. เวลาก็มีจำกัดเสียด้วยซิ... ทันทีที่เข้าไปนั่งเบาะหลัง..กลิ่นที่ไม่ค่อยพึงประสงค์ก็ลอยมา เตะจมูก...มันคล้ายๆกับกลิ่นสาบอะไรสักอย่าง..แถบแอร์ก็แทบ ไม่มีความเย็นให้เปิดกระจกรับลมถ้าจะดีกว่าน๊ะนี่...ตอนแรก ฉันก็คิดว่าร่างกายเราคงยังปรับไม่เข้าที่ เพราะฉันยืนอยู่กลางแดด นานพอควร..คงต้องรอสักครู่น่า..ฉันปลอบใจตัวเอง..เวลาผ่านไป ประมาณเกือบสิบนาทีฉันก็ยังไม่รู้สึกว่าแอร์มันเย็น ฉันเลยบอกกับ คนขับว่า คุณค่ะ ช่วยเร่งแอร์ให้เย็นกว่านี้หน่อยได้มั๊ยคะ เงียบ...ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียกค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ หรือคนขับจะหูตึงหว่า? ฉันแอบคิด เสียงเราก็ออกจะดัง แล้วก็นั่ง ใกล้กันแค่นี้ทำไมไม่ได้ยินเนี่ย...ลองพูดประโยคเดิมอีกครั้ง...เงียบ อีกแล้วค่ะท่าน..รัยว๊า? ฉันเริ่มหงุดหงิด ไอ้ที่ใช้บริการรถแท๊กซี่เนี่ย ไม่เพราะเราต้องการนั่งสบายๆหรือนี่.. ไม่ได้เรียกมาขับให้นั่งฟรีๆนาเฟร้ย..เงินก็จ่าย ถ้าคนขับพูดสักคำว่า แอร์มันใกล้กลับบ้านเก่าตามรถและ..หรือพูด อะไรก็ได้ที่ทำให้ฉันรู้สึกดีกว่านี้ไม่ใช่เป็นคนบ้า พูดอยู่คนเดียวแบบนี้ ฉันก็คงไม่คิดอะไรมากมาย...แต่นี้ทำเป็นไม่ใส่ใจซะงั้น..ฉันเริ่มนับหนึ่ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะถึงสิบหรือเปล่า...นี่ถ้าไม่ติดว่ามีข้าวของเยอะแยะฉันคงให้ จอดกลางทางแล้วหารถคันใหม่แทนซะ....บรรยากาศภายในรถ คงไม่ต้อง บอกนะคะว่ามันแย่ขนาดไหน...ฉันนั่งนิ่งสูดกลิ่นสาบมาตลอดเส้นทาง จนกระทั่งใกล้ถึงห้างฉันรีบบอกว่า ช่วยเลี้ยวขึ้นไปบนลานจอดรถ ชั้นสองให้ด้วยนะคะ ดู๊ดูซิ..ขนาดอารมณ์ไม่ค่อยดีฉันยังยอมพูดดีๆน๊ะเนี่ย..ทั้งๆที่ไม่อยาก จะพูดเลยให้ตายซิเอ้า...คราวนี้มีเสียงตอบรับค่ะ แท๊กซี่ไม่ขึ้นไปบนลานจอดหรอกครับ ห๊า! ฉันหูฝาดไปหรือเปล่านี่... เป็นครั้งที่สองแล้วที่ฉันถูกปฏิเสธแบบนี้...ครั้งแรกที่เจอยังเคยเล่าให้ โคลอน กะ ฉางน้อยฟังเลยเพราะมันเพิ่งเกิดได้ไม่นานเท่าไร..ไม่คิดว่า จะเจออีกแล้ว..เหอๆๆ อีกอย่างหนึ่งเพราะฉันรู้ว่าหน้าห้างมันจอดไม่ได้จึงบอกให้เขาขึ้นไปบน ลานจอดในห้างเพื่อว่าลงจากรถแล้วจะได้ขึ้นลิฟท์เลยอย่างน้อยก็ทุ่นแรง ในการขนของได้บ้าง....ฉันเลยพูดกลับไปว่า ฉันมีของเยอะแยะจะให้แบกไปยังไง เขาตอบมาว่า จะจอดให้หน้าห้าง อ๊ะๆ ตอบแบบนี้มันตอบไม่ตรงคำถามนี่หว่า... รู้ทั้งรู้ว่าเขามีป้ายห้ามรถอื่นเข้ามาจอดยกเว้นรถเมล์ประจำทาง นอกนั้นต้องเลยหน้าห้างไปจะลักไก่เข้ามาก็ไม่ได้..เพราะมีตำรวจยืนอยู่ ฉันเริ่มโมโหจริงๆแล้วคราวนี้แต่ดูเหมือนคนขับเขาไม่สนใจสักนิด... ใช่ว่าขึ้นไปบนลาดจอดแล้วมิเตอร์มันจะหยุดเดินเมื่อไหร่....ขนาดฉัน บอกเหตุผลแล้ว เขายังไม่สนแค่นี้ก็บอกถึงความมีน้ำใจของคนได้แล้ว ไม่น่าเกิดเป็นคนไทยเล๊ยยย...ให้ตายซิ เขาขับเลยหน้าห้างไปแล้วก็ชิดซ้ายจอด ฉันมองดูระยะทางที่ฉันต้องเดินย้อน กลับมาก็พอประมาณเหมือนกัน...ทันทีที่รถกำลังจะชิดจอด เขาถามฉันว่า " มีแบงค์ย่อยหรือเปล่า" ฉันมองไปที่มิเตอร์ ค่าโดยสารมัน 55 บาท ฉันก็บอกว่ามีไม่พอค่ะ มีแต่แบงค์ร้อย... นั่นยังพูดดีมีค่ะขาอีกวุ๊ย..เรา ทั้งๆที่ในใจเดือดปุปุ ... เขาบอกเขาไม่มีทอน...กรรมของตรูซะจริงๆเล๊ยยย... ฉันคิดในใจ แล้วทำไงดีหล่ะตรงนั้นไม่มีร้านค้าซะด้วยซิ ฉันมองย้อนกลับมาหน้าห้าง เห็นมีมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ก็เลยบอกว่าให้เขา ถอยลงไปอีกนิดก็ได้เดี๋ยวจะไปแลกที่วินมอเตอร์ไซค์ให้...เขาก็ไม่ยอมถอย กลับเดินหน้าไปอีกแน่ะ..ฉันก็บอกว่าจะเดินหน้าไปไหนมันก็ไม่มีที่ให้แลก เขาไม่สนค่ะ จังหวะนั้นมีกลุ่นนักศึกษาชายหญิงกำลังเดินผ่านมา..เขาจึง ตะโกนเรียกแล้วพูดว่า "น้องๆขอแลกแบงค์ร้อยหนึ่งดิ" คำพูดแบบนี้ ถ้าเป็นคุณๆจะให้แลกมั๊ยหล่ะ... ฉันเลยพูดขึ้นว่า ใครเขาจะให้แลก.. มาตะโกนโหวกเหวกแบบนี้ เท่านั้นยังๆไม่ซะใจท่านค่ะ เพราะเหลือบไปเห็นป้าคนหนึ่งกำลังนั่งแยกพวกขวด พลาสติกอยู่ ก็ตะโกนเรียกอีก แล้วก็รับทานแห้วไปตามระเบียบ... ฉันชักทนไม่ไหวแล้ว เลยบอกไปว่า รอตรงนี้หล่ะ ฉันไม่หนีไปไหนหรอก จะไปแลกที่วินรถให้...เขาก็ไม่ฟังแถมขับขึ้นไปอีกแน่ะ.. พอดีตรงนั้นจะมีร้านขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ เขาบอกให้ฉันไปแลกที่ร้านนี้หล่ะ.. ฉันไม่พูดแล้วเพราะอารมณ์กำลังขึ้น ฉันลงจากรถทันทีซึ่งเวลาขณะนั้นประมาณ เที่ยงกว่า คนก็เริ่มทยอยมานั่งกินกันเต็มร้าน แถมยังมีคนรอซื้ออยู่หน้าร้านอีก สองสามคน... ถามหน่อยเถอะค่ะ ว่าใครเขาจะมีอารมณ์มาหยิบเงินให้แลกเนี่ย.. ฉันเดินไปหยุดหน้าร้าน แม่ค้ากำลังง่วนกับการลวกก๋วยเตี๋ยวตรงหน้า..ทำไงดีหว่า ฉันคิดแล้วมองเข้าไปในร้าน เห็นตู้แช่น้ำขวดตั้งอยู่ ฉันปราดเข้าไปหยิบน้ำเปล่า ออกมาหนึ่งขวดพร้อมกับยื่นแบงค์ร้อยให้..แม่ค้ามองหน้าฉันคล้ายกับว่าอยาก จะพูดอะไรสักอย่างแต่แล้วก็ไม่พูด..หากสายตาที่มองนั้นฉันก็รับรู้ได้ว่าคงคิด ตำหนิฉันในใจน้ำขวดละแปดบาทให้แบงค์ร้อย ..ฉันเลยรีบพูดว่า "ขอโทษด้วยนะคะเศษแบงค์ไม่มีจริงๆ" ฉันรับเงินทอนมา ..ยังไม่ทันได้ก้าวออกจากร้าน.. เสียงแตรรถดังลั่น พ่อเจ้าประคุณเอ๊ย!แท๊กซี่นั่นเอง...หนอยแน่ะ..ถ้าจะกลัวไม่ได้ค่าโดยสารหล่ะซิ เดี๋ยวแม่แกล้งเดินหนีซะเลยนี่...คนรัยว๊า ฉันเดินไปยื่นเงินให้โดยไม่แม้แต่จะมอง หน้าเขาซึ่งปกติ ถ้าค่ารถห้าสิบห้าบาท ฉันมักจะให้หกสิบทุกครั้ง แต่สำหรับรายนี้ เจ้าอย่าหวัง...สตางค์เดียวก็ไม่ได้แอ้ม....ห้าสิบห้าบาทขาดตัวเฟร้ยยยย หลังจากนั้นคนสวยต้องรับบทหนักค่ะ ก็ของที่ขนมานั่นหล่ะมันหนักจริงๆค่ะ... กว่าจะเดินมาถึงห้างเล่นเอาเหงื่อตก... นี่ถ้าเขาถามฉันก่อนขึ้นรถว่ามีแบงค์ย่อยมั๊ย...เหตุการณ์แบบนี้ก็คงจะไม่ เกิดขึ้นแน่นอนว่าไหมค่ะ...เฮ้อ..วัยรุ่นเซ็ง!!!!! เล่าเรื่องโดย..... เทียนหยด ^-^
นั่นน่ะซิ...มีไปทำไม? >>เป็นวาทะศิลป์ ของท่าน ว.วชิรเมธี >>กราบขอบพระคุณท่านด้วยเจ้าค่ะ และขอขอบคุณ เพื่อนที่แบ่งปันพร้อมด้วยผู้จัดทำมา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ เทียนหยด ^-^