ความรัก...ไม่ได้เพียงแค่ต้องการการดูแลใกล้ชิด การเอาใจใส่ การสัมผัส และการได้เห็นหน้ากันตลอดเวลา....แต่ ความรัก...มันเป็นความผูกพัน ไม่ว่าต่างฝ่ายจะต้องแยกย้ายไปอยู่ไหน ในหัวใจก็ยังระลึกถึงกันเสมอ ยังรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยกัน มันจะมีเส้นใย ที่ยังโยงถึงกันได้ และเป็นเส้นใยที่ยาวมากพอจนสามารถโยงได้แม้จะ อยู่กันคนละโลก.... แต่หากความรักของใครต้องจบลง เพียงเพราะใครคนใดคนหนึ่งอยู่ห่าง อีกคน และมีคนอีกคนเข้ามาใกล้ชิดคนๆนั้น แสดงว่าคนๆนั้นไม่ได้มี ความรักที่แท้จริง เพียงแค่เขามีความต้องการการเอาใจใส่ ดูแลอย่าง ใกล้ชิดเท่านั้นเอง เพราะหากเขาซึบซับได้อย่างรวดเร็ว จนลืมคนอีกคน ที่อยู่อีกฟากหนึ่งได้ ความรักของเขาก็คงเป็นเพียงน้ำแข็งที่ดื่มแล้วชื่นใจ แต่เมื่อวางทิ้งไว้ก็กลายเป็นน้ำเปล่า.... มีคนเคยวิเคราะห์กันว่า ผู้ชายมักเป็นฝ่ายจากไปก่อนเสมอเมื่ออยู่ห่าง จากคนรัก เพราะผู้ชายมักต้องการการเอาใจใส่ดูแลอย่างใกล้ชิด และมีความ อดทนน้อย เมื่อความรักล้นอก แต่ไม่ได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็ว ก็จะ ต้องหาทางเอาถ่ายเทไปยังผู้อื่น และเมื่อมีใครเข้ามาในเวลานั้น โดยเฉพาะ คนที่มีอะไรหลายๆอย่างถูกใจ เขาก็สามารถถ่ายเทมันให้กับเธอผู้นั้นได้ คุณเชื่ออย่างหนึ่งไหมว่า เมื่อเวลาผ่านไป แม้เขาจะไปเจอคู่แท้ แต่คุณจะเป็น คนที่อยู่ในความทรงจำที่ดีของเขาไปอีกนาน แต่หากความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นกับ เขาเป็นเรื่องของอารมณ์เหงาชั่วระยะหนึ่ง วันหนึ่งเขาจะพบเองว่า ผู้หญิงคนนั้น ไม่สามารถทำให้เขารู้สึกรักได้เหมือนคุณ แล้วเขาจะกลับมาหาคุณ สิ่งที่เขาได้ เรียนรู้จะทำให้เขาเข้าใจรักแท้ และกลับมาอย่างมั่นคง ณ ตอนนั้นก็อยู่ที่คุณ ว่าจะยินดีต้อนรับเด็กหนีเที่ยวให้เข้าบ้านได้ไหมถ้าคุณยังรักเขาอยู่ และคุณ พิสูจน์ได้แล้วอย่างหนึ่งว่า ต้องปล่อยให้เขาหนีออกจากบ้านไปก่อนแล้วเขาก็ จะรู้ว่านอกบ้านกับในบ้านที่ไหนอบอุ่นมากกว่ากัน.... และไม่ว่าจะอย่างไร ความรักเป็นสิ่งสวยงามเสมอ...
ฉันเคยสงสัยเวลาเพื่อนพูดว่า "เพื่อนกับแฟนมันทดแทนความรู้สึกกันไม่ได้หรอก" และเวลาที่ฉัน ถามเพื่อนว่า"ถ้าไม่ได้ไปกับแฟน ก็ชวนเพื่อนไปสักคนซิ" หรือแม้ กระทั่งเวลาที่เพื่อนถามฉันว่า "ไม่เหงาหรอ..ที่ไม่มีแฟนน่ะ" และฉันก็ ตอบกลับไปว่า "ไม่เห็นเป็นไร..มีเพื่อน" เพื่อนก็จะตอบกลับมาเหมือน กับประโยคแรก คือเพื่อนกับแฟนยังไงก็ทดแทนกันไม่ได้ และเมื่อฉันมาเจอเข้ากับตัวเองฉันก็รับรู้ได้โดยอัตโนมัติว่าความรู้สึกมัน ช่างต่างกันซะจริงๆ ถ้าหากวันนี้เขาไม่ว่างที่จะมาเจอ เราต้องอยู่คนเดียว และถ้าในเวลานั้นมีเพื่อนโทรมานัดเจอ ฉันก็กลับไม่รู้สึกอยากเจอเลย เพราะรู้สึกเลยว่ามันทดแทนกันไม่ได้จริงๆ เพราะมันคนละความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็น การปฏิบัติ การแสดงออก คำพูด และความลึกซึ้งอบอุ่นมัน ต่างกันโดยสิ้นเชิง ...แต่หากถามว่า จะดีขึ้นไหม ถ้ามีเพื่อน ในขณะที่ไม่มี แฟน ฉันตอบได้ทันทีว่า "ดีขึ้นแน่" เพราะอย่างน้อยช่วงระยะเวลาที่เราทุกข์ เราเศร้า มันจะหดสั้นลงได้ เพราะได้ร่วมแบ่งปันความรู้สึกนั้นกับเพื่อน ฉันไม่ได้รู้สึกว่าฉันอยู่เดียว และเพื่อนก็ทำให้ฉันเกิดพลังได้อย่างประหลาด ในวันที่กำลังอ่อนแอ.... ถ้าเราจะเปรียบกับก้อนเนื้อ เราก็ไม่ได้มีก้อนเนื้อก้อนเดียวที่ต้องตัดแบ่งให้ เพื่อนเท่านี้ คนรักเท่านี้ และเมื่อส่วนของคนรักลดลงส่วนของเพื่อนจะได้มาก หรือเมื่อให้คนรักมาก เพื่อนย่อมได้น้อยลง ซึ่งในความรู้สึกของฉัน เพื่อนกับ คนรักคือเนื้อคนละก้อน แต่ละก้อนมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน และเมื่อวาง สลับกันเราก็รู้ว่าเป็นก้อนไหนเมื่อเราจะประกอบอาหารเราก็จะรู้ว่า เนื้อก้อน ไหนเหมาะที่จะใช้ทำอะไร แต่ถ้าหากก้อนใดก้อนหนึ่งโดนสุนัขคาบไปรับทาน เราก็อาจใช้อีกก้อนมาปรุงอาหารได้ แม้จะให้รสชาติที่แตกต่างกัน แต่ก็ทำให้ เราประทังชีวิตต่อไปได้...ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ก้อนเนื้อที่เป็นคู่รัก มัน หอมหวานเป็นพิเศษหรืออย่างไร..สุนัขถึงเลือกที่จะมาคาบไปรับประทานมาก กว่าเนื้อก้อนอื่นๆ.....
"คนไม่มีแฟน" คำพูดนี้ ฟังแล้วบางทีก็ให้ความรู้สึกดี เหมือนกับเป็นสาวโสด สองพันปี ดูมีเสน่ห์ แต่ในบางครั้งมันก็สะกิดหัวใจให้คิดอยู่เหมือนกันว่าแล้ว "ทำไม?" หรือ "เพราะอะไร?" เพราะเรา หรือเพราะเนื้อคู่เราอยู่ไกลยังมาไม่ถึง กันแน่ คนที่ไม่มีแฟน จะยังไม่รู้สึกเหงามากมายนัก ถ้าในกลุ่มเพือนๆยังไม่มี เหมือนกัน คือ ยังมีการพบปะสังสรรค์ ไปไหนมาไหน หรือจะแอบปิ๊งใครให้หัวใจ มันเต้นตึ๊กตั๊กเล่นก็คงไม่มีใครมาคอยทำตาขวางใส่ แต่ในทางกลับกันถ้าเพื่อนๆ ในกลุ่มส่วนใหญ่มีแฟนกันแล้ว เหลือแค่เราที่ยังไม่มี อาจจะมีเหมือนกันที่ยัง ไม่มี แต่มันเป็น "กระเทย" และมันก็หาของมันได้ไปเรื่อยๆ ที่นี้เราก็ต้องมานั่ง คิดเหมือนกันว่า ทำไม เราถึงยังไม่มีหล่ะ ส่วนใหญ่เรามักโทษกรรมพันธุ์ ว่าเกิดมาไม่สวย หุ่นไม่ดีหรือ รวยไม่พอใช้ของ ไม่มีสกุล หรือแต่งตัวเชยไม่มีรสนิยม แท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้มันเป็นแค่องค์ประ กอบภายนอกที่จะดึงดูดให้ใครต่อใครสนใจและเข้ามาสานสัมพันธ์แต่เราก็ไม่ อาจจะรู้ได้ว่าจะคบกันได้นานแค่ไหน นิสัยจะไปด้วยกันได้มั๊ย อันนี้หล่ะคือความ เป็นจริง และคนเราก็มักจะคิดเลยเถิดกันไปอีกว่า ถ้าเราหน้าตาไม่สวยหรือแต่งตัวเชย แถบจนอีกต่างหาก แล้วใครที่ไหนจะชายตาแลหล่ะ นี่ก็เป็นความคิดเห็นที่ เรามักเห็นกันได้อยู่ทั่วไป ส่วนการที่ผู้หญิงสักคนจะหาแฟนที่เพรียบพร้อมไปซะทุกอย่างตามใจตัวเองเนี่ย มันคงเป็นไปได้ยาก และถ้าคิดว่ารูปร่างหน้าตาเป็น อุปสรรคต่อการมีแฟนนั่น เลิกคิดที่จะทำศัลยกรรมเถอะค่ะ เพราะของปลอม ยังไงก็เป็นของปลอมอยู่วันยังค่ำ แต่สิ่งที่ยังคงอยู่กับตัวเราตลอดไปก็คือความ สวยงามภายในที่เราจัดและแต่งแต้มเสน่ห์ให้มันได้ ความร่าเริง มองโลกในแง่ดี และความมั่นใจ กล้าแสดงออกในทางสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้แหล่ะ คือเสน่ห์อย่างหนึ่งของผู้หญิง ขอเถอะค่ะ อย่าเอาความสวยกับไม่สวยมาเป็นเงื่อนไขต่อการดำรงชีวิตเลย เพราะมันจะทำให้เราไม่กล้าที่จะ เผชิญหน้ากับสิ่งใดๆในชีวิต และก็ตอบตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า เราไม่สวย เรา ไม่เก่ง เพราะนั่นย่อมหมายถึง เราจะะไม่ผ่านบททดสอบที่สวรรค์ส่งมาแกล้งเรา แล้วหล่ะ....มั่นใจเถอะค่ะว่า "คนรัก" ที่เขาจะเข้ามาหาเราเขาจะรักเราด้วยหัวใจ มิใช่หน้าตาจริงๆ ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว มันน่าภูมิมากแค่ไหน และเราจะรักษารัก ครั้งนี้ไว้ได้นานแค่ไหน มันก็ขึ้นอยู่กับว่า เราเป็นตัวของเราเองมากแค่ไหนและ มีความเข้มแข็งพอหรือเปล่า และหากใครกำลังสงสัยว่า "ทำไม" เรายังไม่มีแฟน ซะที ลองดูเถอะค่ะ ลองใช้วิธีมองกลับกันว่า ถ้าเราเป็นผู้ชาย เราจะเลือกคนแบบ เรามาเป็นแฟนหรือเปล่า และน่าเลือกตรงไหน ? และถ้าคุณสมบัติของเรามีเพียบ พร้อม แต่ก็ยังหาไม่ได้สักที คงต้องโทษสวรรค์แล้วหล่ะ..ที่อาจส่งมาให้เราช้า ร้องเพลง รอ ไปก่อนเถอะจ้า....แต่ถ้าว่า เราไม่มีคุณสมบัติดั่งที่ว่าเลย นั่นก็แสดง ว่าเราไม่ผ่านบททดสอบในบทที่ว่าด้วยการดูแลตัวเองให้ดูดีซะแล้ว..และคงไม่ ต้องมานั่งรำพึงรำพันว่า "ทำไมน๊า เรายังไม่มีแฟนซะที" เดือนที่แล้ว...มีโอกาสได้ไปเดินแถวๆตลาดหลังการบินไทยโดยที่ ไม่ได้ตั้งใจเลยค่ะ..พอดีน้องสาวฉันจะไปซื้อของก็เลยชวนฉันไปด้วย แต่ฉันตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่ซื้ออะไรเลย...แค่เดินเล่นเฉยๆ ร้านค้าแถวตลาดหลังการบินไทยช่วงนี้ดูจะซบเซาไปมากที่เดียว สาเหตุก็คงเป็นเพราะสนามบินย้ายมาอยู่ที่สุวรรณภูมิ..แต่ยังไงก็แล้วแต่ พวกเราก็ยังชอบมาเดินที่นี่อยู่ดี... เดินไปเดินมารู้สึกหิวน้ำ...เลยแวะซื้อน้ำก่อน...ขณะที่กำลังรอน้ำอยู่ ฉันก็มองโน่น นี่ นั่นเรื่อยเปื่อยและแล้วสายตาก็สะดุดกึก! ที่กระเป๋าใบหนึ่ง... ปิ๊ง! ขึ้นมาทันที และบอกตัวเองว่า..ไปๆไปดูดีกว่า..อิอิ กระเป๋าที่ว่าถักด้วยเชือกร่มค่ะ...เห็นแล้วชอบมากๆ..ส่วนตัวแล้วชอบงาน แฮนด์เมค มากๆ..สำหรับกระเป๋าใบนี้ขอบอกว่าถูกใจมากๆ.. ไม่ว่าจะเป็นสี หรือแบบ แต่ฉันตั้งใจแล้วว่าจะไม่ซื้ออะไร..ก็ต้องตามนั้นหล่ะ... และความที่อยากรู้ว่าสวยขนาดนี้..จะมีราคาเท่าไร? ก็เลยถามคนขาย พอเขาบอกราคามา....ก็พอสมน้ำสมเนื้อกับงานชิ้นนี้เลยค่ะ..ฉันแอบคิด นอกจากแอบคิดเรื่องราคาแล้ว..สมองฉันเริ่มทำงานทันที..ฉันพลิกซ้าย พลิกขวาดูไปเรื่อยๆ..อาจดูเหมือนฉันไม่ค่อยสนใจ..แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ค๊า สมองฉันเริ่มสั่งการทันที..ฉันค่อยๆจำแบบและดูลวดลายที่เขาถัก... ยอมรับว่าฝีมือปราณีตมาก..จริงๆแล้วของแฮนด์เมคนี่..ราคามันจะค่อนข้าง สูงอยู่สักหน่อย....ตรงนี้ฉันทราบดี..เพราะกว่าจะได้งานแต่ละชิ้นมันต้อง ใช้เวลาพอสมควร.. ฉันแอบคิดเล่นๆว่า..ถ้าเราจะลองถักกระเป๋าแบบนี้ดูบ้าง..จะได้มั๊ยเนี่ย แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสำเร็จหรือไม่? เอาน่า! ไม่ลองก็ไม่รู้เนอะ ทันทีที่กลับถึงบ้าน..ฉันโทรหาน้องสาวอีกคน..เพื่อสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการถัก...เนื่องจากน้องคนนี้เขามีฝีมือทางด้านนี้มากพอสมควร น้องฉันบอกรายละเอียดตั้งแต่ จะซื้อเชื่อกร่มที่ไหน ราคาเท่าไร? พร้อมกับบอกวิธีถักด้วย...อืม..มันก็ไม่ยากจนเกินไปนักแต่ต้อง ใช้กำลังมือเยอะ..เพราะเชื่อกร่มค่อนข้างแข็ง..เอาน่า! คนอื่นทำได้ ฉันก็ต้องทำได้ซิ.....(เข้าข้างตัวเองไว้ก่อนค๊า) รุ่งขึ้นอีกวัน ฉันไม่รอช้า..รีบไปหาซื้อวัสดุและอุปกรณ์ในการถัก มาจนครบตามที่น้องสาวบอกแล้ว..ได้เวลา..ลุยทันที..คิคิ เริ่มต้นก็รู้สึกถึงความยากซะแล้ว..ที่ว่ายากเนี่ยคือต้องดึงเชือกให้แน่นๆ ไม่งั้นทรงกระเป๋าจะไม่สวยค่ะ.. ขั้นตอนแรกคือ ต้องเริ่มถักก้นกระเป๋าก่อน.... เริ่มสลับลายแล้ว..ค่ะ แต่ขอบอกว่า..เจ็บมือมากๆเลยอ่า..ประมาณว่า หุบมือแทบไม่ได้..(เหมือนทำร้ายตัวเองกลายๆ..อิอิ) แต่.... ไม่เป็นไร...ศรียังทนได้ค่ะ และแล้วเวลาก็ผ่านไปจากวันเป็นอาทิตย์ จากอาทิตย์แรกก็เริ่มเป็น สองอาทิตย์..ด้วยความอดทนจริงๆเล๊ย...ฉันคิดท้อใจก็หลายครั้ง เพราะมือมันไม่ค่อยเป็นใจเลยค่ะ..เจ็บไปหมด..เฮ้อ! นี่ถ้าไม่ใช่เพราะ ความชอบ..ฉันคงไม่ทู่ซี้ทำน๊ะเนี่ย... ความฝันใกล้เป็นจริงแล้วค่ะ..พ่อแม่พี่น้อง หุหุหุ ขั้นตอนต่อจากนี้ไป..ก็ไปจ้างเขาเย็บซับในติดซิบและหูกระเป๋า ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย...รอใช้อย่างเดียว.. และนี่ก็คือผลงานชิ้นโบว์แดงเลยค่ะ...เพราะมันเป็นใบแรกจริงๆ ฝีมือในการถักยังไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าที่ควรค่ะ..แต่ก็คุ้มค่ากับ ที่ต้องรอคอยและอดทนกับมันอย่างมากมาย..จริงๆ. พอเบื่อรูปทรงเดิม..ฉันก็พับด้านข้างเข้าไป..พร้อมติดกระดุม..แค่นี้ก็จะได้กระเป๋าอีกรูปทรงหนึ่งแล้วค่ะ ความสุขที่เราสร้างได้..โดยไม่ต้องลงทุนเยอะ..แค่ลงแรงอย่างเดียว ใครอยากลองเชิญเลยนะคะ... ขอจบเรื่องเล่าไว้เพียงเท่านี้ค๊า...