18 มีนาคม 2553 00:01 น.
เที่ยนหยด
หากใครสักคนจะใช้ตะเกียบ คงจะต้องวางเทียบกันดู
และจับมายืนคู่กันแล้วเคาะมันกับโต๊ะ เพื่อจะตรวจสอบว่า
ตะเกียบคู่นี้สูงเท่ากันไหม...ถ้าไม่เท่ากัน เรามักจะหยิบอันใหม่มา
เข้าคู่กับอีกอันทีถืออยู่ในมือ และเลือกสรรไปมาจนกว่าจะได้ตะเกียบ
ที่สูงเท่ากัน..
และถ้าจะให้ดีกว่านั้นก็ต้องเป็นคู่ที่เมื่อวางประกบกันแล้วไม่มีช่องว่าง
จากอาการโก่งงอขออันใดอันหนึ่ง คือประกบกันได้แนบชิดสนิทแน่น
สามารถคีบแผ่นก๋วยเตี๋ยวเซี่ยงไฮ้ เส้นใหญ่ วุ้นเส้น บะหมี่ได้อย่างถนัด
ไม่มีหลุดร่วง
ตะเกียบที่ดีจึงควรมีหน้าตาที่ "เหมือนกัน"
แต่นั่นมิใช่ลักษณะของช้อนส้อม ไม่เคยมีช้อนส้อมคู่ใดที่หน้าตาเหมือนกัน
ซึ่งนั้นเป็นเรื่องที่แน่นอน เพราะขึ้นชื่อว่า "ช้อนส้อม" แต่ใช่ว่ามันจะเป็นสิ่ง
เดียวกันเสียเมื่อไหร่
ยังคงเป็น "ช้อน"
ยังคงเป็น "ส้อม"
อยู่ดังเดิม
ช้อนมิได้พยายามทำตัวเป็นซี่ๆ ให้เหมือนส้อม เช่นเดียวกับที่ส้อมก็ไม่เคย
ฝนปลายแหลมแล้วทุบตัวเองให้แบนเป็นแผ่นเดียวเพื่อจะให้เหมือนช้อน
ช้อนก็เป็นตัวมัน ส้อมก็เป็นตัวเอง ความครื้นเครงจึงบังเกิด
ในยามที่อยู่ไกลกันช้อนก็ใช้ชีวิตของมันไปตามปกติ คงมีบ้างที่คิดถึงส้อม
"ถ้ามีส้อมเราคงทำอะไรได้ถนัดกว่านี้"
แต่ถึงไม่มีก็ไม่เป็นไร ไม่ใช่ไม่ง้อ แต่ก็สามารถอยู่เดี่ยวๆ ตัวคนเดียวได้
โดยไม่เปลี่ยวเหงา
ฝ่ายส้อมก็เช่นกัน ในวันที่ไม่มีช้อน มันไม่เคยเกี่ยงงอนแต่อย่างใด ยังคง
ใช้ปลายแหลมหลายซี่ของมันจิ้มลงไปใน ไส้กรอก ลูกชิ้น ให้คนหยิบขึ้นมา
กินได้สบายๆ มีชีวิตได้อย่างอิสระและมีคุณค่า
ใช่หรือไม่ว่า ทั้งช้อนและส้อมต่างก็มีคุณค่าในตัวเอง
ช้อนก็มีคุณค่าในแบบช้อน ส้อมก็มีคุณค่าในแบบส้อม และเมื่อทั้งสองมาอยู่
ด้วยกันก็มีคุณค่าใหม่เกิดขึ้นมา เป็นคุณค่าของการอยู่ร่วมกัน และใช้สอย
เวลาด้วยกันอย่างน่ารัก..
ช้อนเองก็ลดบทบาทลง เอียงตัวเข้าหาส้อมเพื่อให้ส้อมตักอาหารใส่ช้อนได้
สะดวก ส้อมเองก็ลดหน้าที่ตัวเองลง เปลี่ยนมาจิ้มอาหารให้อยู่นิ่งเพื่อให้ช้อน
ได้ตักและตัดอาหารได้สะดวกขึ้น
ถ้อยทีถ้อยอาศัย ไม่ก้าวก่ายและไม่เรียกร้องให้อีกฝ่ายต้องเป็นเหมือนตัวเอง
เคารพในความแตกต่าง เพราะความแตกต่างระหว่างช้อนกับส้อมนี่เองที่ทำ
ให้เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันมีความหมายมากขึ้น
น่าจะดีกว่าช้อนคู่กับช้อน
หรือส้อมคู่กับส้อม
เมื่อทั้งสองช่วยกันเติมเต็มในสิ่งที่อีกฝ่ายไม่มี
ช้อนไม่มีปลายแหลมไม่มีซี่เอาไว้จิ้มชิ้นเนื้อ และเกี่ยวอาหารชนิดต่างๆ ใน
ขณะที่ส้อมเองก็ไม่สามารถตักน้ำแกงขึ้นมาซดได้
ส้อมจึงเบาใจเมื่อมีช้อน เช่นกันกับช้อนที่รู้สึกเหมือนกัน
ความต่างที่อยู่คู่กันอย่างน่ารักของช้อนส้อมกระซิบบอกกับเราว่า คู่รักที่น่ารัก
ก็น่าจะมีลักษณะคล้ายช้อนส้อมมากกว่าตะเกียบ...
คือมิใช่คู่เหมือนกันในทุกรายละเอียด
คิดเหมือนกัน รสนิยมเหมือนกัน ชอบอะไรคล้ายๆกัน ซึ่งคู่รักไม่จำเป็นต้อง
เป็นแบบนั้นเสมอไป
ที่สำคัญ คู่แบบนั้นไม่น่าจะมีอยู่จริง
คนเราเกิดมาจากคนละถิ่นที่ มีพ่อแม่คนละคน มีประสบการณ์ภูมิหลังคนละ
แบบ ย่อมยากที่จะเหมือนกันไปทุกกระเบียดนิ้ว
คู่รักหลายคู่เลิกรากัน เพราะคนหนึ่งเรียกร้องให้อีกคนหนึ่งเหมือนตัวเอง
บางคู่เลิกราโดยให้เหตุผลว่า - เราต่างกันเกินไป
ต่างกันเกินไป - ย่อมเป็นเหตุผลที่ทำให้คนอยู่ด้วยกันแล้วไม่หนุก ในทาง
ตรงกันข้าม เหมือนกันเกินไปก็ทำให้รู้สึกเบื่อ เพราะเหมือนส่องกระจกเห็น
ตัวเองอยู่ตลอดเวลา...
ความต่างที่พอเหมาะนั่นกระมังที่เป็นเหตุผลที่คน 2 คน ต้องมีกันและกัน
และช่องว่างระหว่างความต่างนั้น ต้องอาศัยเวลาในการปรับตัว
กว่าช้อนกับส้อมจะรู้จังหวะและวาดลีลาบนโต๊ะอาหารได้อย่างร่าเริงแคล่ว
คล้อง ย่อมต้องใช้เวลา แต่เมื่อเข้าขาแล้วก็อยู่กันยาว..
มิใช่ว่าช้อนกับส้อมจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ช้อนส้อมที่ "เข้าคู่" กัน ย่อมมีวัสดุ ลวดลาย และด้ามจับลักษณะเดียวกัน
ในความต่างมีความเหมือน
ในความเหมือนก็มีความต่าง
สิ่งที่อยู่ตรงกลางคือ "ความรัก"
ความรัก คือการยอมรับความต่างของคนที่เรารัก และพยายามปรับตัวเอง
เข้าหากันและกันโดยมิถือว่า "ตัวฉัน" เป็นใหญ่
เมื่อรักใครสักคน เราย่อมยอมสละความเป็นตัวเองเพื่อเปิดโอกาสให้
อีกฝ่ายได้แสดงความเป็นตัวเขา เช่นกันกับที่เขายอมสะลความเป็นตัวเอง
ในบางคราวเพื่อให้เราได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่..
รักคือการผลัดกันเสียสละในจังหวะที่พอดี
ถ้าเสียสละมากไปเราก็อึดอัด หากเสียสละน้อยเกินไป
อีกฝ่ายก็คงจะลำบากใจ
รักอยู่ตรงกลางระหว่างความแตกต่างนั้น และ
รักทำให้ "ช่องว่าง" แห่งความแตกต่างได้รับการเติมเต็ม
คู่รักจึงคล้ายช้อนส้อมมากกว่าตะเกียบ ทั้ง 2 คนจะมีรูปแบบชีวิต รสนิยม
ความชอบอะไรต่อมิอะไรเหมือนกันหรือไม่นั้น ยังไม่สำคัญเท่ากับทั้ง 2 คน
ต้องชอบกัน
ใช่ "ชอบเหมือนกัน" ไม่สำคัญเท่า "ชอบกัน"
เพราะเมื่อชอบกันแล้ว ทั้ง 2 ฝ่ายจะเรียนรู้และทำความเข้าใจในสิ่งที่ชอบ
ไม่เหมือนกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป...
โดยอาศัย "ความรัก" เป็นสิ่งเติมเต็มให้กันและกัน
ภาพประกอบจาก www.photobucket.com
26 กุมภาพันธ์ 2553 08:51 น.
เที่ยนหยด
สัปดาห์ที่แล้วฉันตั้งใจจะไปซึ้อขนมไทยๆ
แถวตลาดวังหลัง....และฉันคิดว่าหลายๆท่านคงจะรู้จักนะคะ...
ตลาดวังหลัง คือแหล่งช้อปปิ้งที่อยู่ตรงข้ามกับโรงพยาบาลศิริราชนั่นเอง...
จริงๆแล้วกะว่าจะซื้อแค่ขนมไทยเท่านั้น..เพราะที่นี้ขนมเขาอร่อยมากๆ
เวลาที่บ้านจะทำบุญก็ต้องนึกถึงขนมที่วังหลังนี่หละค่ะ..
ร้านขนมที่ฉันจะไปซื้อต้องเข้าไปในซอยซึ่งเป็นทางเดินเล็กๆและเวลานี้
ผู้คนก็เริ่มทยอยมาเดินกันมากพอควรเพราะใกล้จะพักเที่ยงแล้ว...
ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว แต่ก็หาทำให้นักช้อปทั้งหลายย่อท้อไม่...
โดยเฉพาะผู้หญิงเรานี่...ร้อนไม่ว่าหนาแน่นไม่บ่น ขอแค่ให้ได้เดินดูของ
สวยๆงามๆ ก็มีความสุขและ..อิอิ
ก่อนที่จะถึงร้านขนม...ฉันต้องผ่านร้านเสื้อผ้าซึ่งตั้งเรียงรายกันเป็นแถว
แต่ละร้านก็เต็มไปด้วยเสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิงมากมาย...เรียกว่าดูกันจนตาลาย
และในขณะที่เดินผ่านร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง..สายตาที่แสนจะไวของฉัน
ก็มองเห็นเสื้อสีดำแขนกุดตัวหนึ่งแขวนอยู่ในร้าน..ฉันสะดุดตาเอามากๆ
เริ่มมีอาการ ..ปิ๊งเสื้อตัวนั้นซะแล้วซิ...ฉันหยุดอยู่หน้าร้าน ตั้งใจว่าจะเดิน
เข้าไปดูเสื้อสีดำตัวนั้นซะหน่อย...ขณะที่กำลังเตรียมจะก้าวเข้าไปในร้าน
ทันใดนั้น...รู้สึกเหมือนมีใครสักคนเดินปาดหน้าฉันเข้าไปในร้านอย่าง
รวดเร็ว...พลันสายตาฉันก็มองตามร่างนั้นไป ฉันมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง
รูปร่างหน้าตาเข้าทีเชียว..ฉันแอบชมเธออยู่ในใจ
และแล้ว...ผู้หญิงคนนั้นเธอก็เดินไปหยิบเสื้อตัวสีดำที่ฉันเล็งอยู่...เอาหล่ะซิ..
ตรูเอ๊ย..ทำไมใจช่างตรงกันจังว๊า (ฉันแอบคิดในใจ) ดูเถอะมีเสื้อแขวนอยู่
ตั้งมากมายเธอไม่หยิบ...ดันมาหยิบตัวที่เราปิ๊งซะได้...เหอๆ
ทำไงดีว๊า ฉันเริ่มคิด และขณะคิดฉันก็ไม่ได้ละสายตาไปจากเธอคนนั้นเลย
เธอถือเสื้ออยู่อย่างนั้น และนำไปทาบที่ตัวพร้อมกับส่องกระจกไปด้วย
เธอทำหน้าแปลกๆคงจะไม่แน่ใจว่าเสื้อตัวนี้เหมาะกับเธอหรือไม่ จากนั้นก็
เดินวนไปวนมาดูเสื้อตัวอื่นด้วย..ฉันเดาว่าเธอคงรู้สึกลังเล ว่าจะซื้อดีหรือไม่
และอาจไม่แน่ใจว่าจะใส่สวยหรือเปล่า ฉันเดาใจเธอ และมันก็น่าจะเป็น
เช่นนั้นซะด้วย...ไม่มีอะไรมากหรอกฉันคิดถึงตัวเองไง ฉันก็เป็นแบบนี้หล่ะ
เวลาจะซื้อเสื้อผ้าสักตัวก็จะต้องคิดแล้วคิดอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ราคา คุณภาพ
และที่สำคัญ ใส่แล้วจะสวยมั๊ย....
ยิ่งถ้าไปคนเดียว..ก็ต้องคิดหนัก ไม่รู้จะถามความเห็นจากใคร...แต่ขอบอก
ว่าอย่าถามจากคนขายเชียว....เพราะคำตอบที่ได้ ก็จะคล้ายๆกัน
น้องใส่แล้วสวยจังค่ะ
พี่ใส่แล้วดูดีมากเลยค่ะ
ทั้งๆที่ฉันน่ะรู้ตัวเองอยู่ว่า มันช่างไม่เหมาะกะตรูเอาซะเล๊ย ...ดูกระจกไป
ก็สมเพชตัวเองไป..ฮ่าๆๆ มันต้องมีบ้างหล่ะค่ะที่เราใส่เสื้อผ้าบางแบบ
แล้วรู้สึกแบบนี้...หรือถ้าใครไม่เคย...สักวันก็ต้องเคย เชื่อเถอะน่า.....
เลยมาซะไกล...ขอย้อนกลับไปยังเธอคนนั้นอีกครั้ง....ในขณะที่เธอถือ
เสื้อสีดำตัวนั้น..ฉันก็คิดอีกว่า เมื่อไรเธอจะตัดสินใจซะที..จะซื้อหรือไม่
และถ้าไม่ซื้อก็ควรวางกลับไปที่เดิมซะ (ตรูรอเสียบอยู่เฟร้ย) อันนี้คิดอยู่
ลึกๆ ไม่กล้าคิดดัง กลัวเหมือนกัน..คริๆ ...ฉันเฝ้ามองเธอไม่วางตาจริงๆ
ไม่รู้เป็นยังไง ทำไมฉันถึงชอบเสื้อตัวนี้เอามากๆ...ตั้งแต่เห็นครั้งแรกแล้ว..
เหมือนมีอะไรดึงดูดให้ฉันต้องแวะเข้ามาดู...แล้วเป็นไงหล่ะโดนปาด
หน้าเค็กซะแล้ว...กรรมจริงๆ... เธอคนนั้นก็ดูใจเย็นเอามากๆ ยังเดินไป
เดินมาหยิบตัวโน่น ตัวนี้ ตลอดเวลา ...แต่ ตัวสีดำ คุณเธอไม่ยอมวางง่ะ
ฉันเริ่มมีความหวังเพราะเห็นความลังเลจากเธอ...ก็บอกแล้วว่าฉันมอง
เธออยู่ตลอดเวลา...และเดินตามเธอเป็นระยะ แต่เธอไม่มีทางรู้เพราะ
ฉันน่ะ คุณเนียนยังต้องเรียกพี่..คิดดูแล้วกัน หุหุ ...
วางไว้เถอะน้อง..มันไม่เหมาะกะน้องหรอกเชื่อเต๊อะ..เปล่าค่ะฉันไม่ได้
พูดออกไปอย่าเข้าใจผิด แค่แอบคิดในใจเท่านั้น..แฮ่
วันนี้รู้สึกจะคิดแต่ในใจเหวยเรา..ก็แหงหล่ะ..ในเมื่อฉันไปคนเดียวนี่
จะมีใครมาช่วยคิดดังๆได้นิ ..และเหมือนเธอคนนั้นจะรับรู้ถึงความรู้สึก
อันแรงกล้าของฉัน...เหอๆ เธอหันมามองหน้าฉันแวบหนึ่ง..แล้วก็หัน
กลับไปมองเสื้อตัวนั้นอีกครั้ง...
อะไรกันนี่...ฉันอุทานในใจ คุณเธอใจเย็นซะจริงๆ...เอาเถอะเย็นได้
ก็เย็นไป...ยังไงๆฉันก็ตั้งใจไว้แล้วจะรอให้ถึงที่สุด..ทั้งที่ปกติไม่เคย
อดทนได้ขนาดนี้...ฉันประมาณเวลาโดยรวมแล้วเธอเดินอยู่อย่างนั้น
เกือบครึ่งชั่วโมงค่ะ...ดูเอาเถอะ..ฉันท่องในใจ ไม่เป็นไรศรีทนได้จ้า...
แล้วกาลรอคอยก็เป็นอันต้องสิ้นสุด..เมื่อเธอหยิบเสื้ออีกตัวซึ่งเป็นสีครีม
มารวมกับเสื้อสีดำ...อ้าว...ฉันเริ่มใจไม่ดี...สงสัยจะชวดซะแล้วเรา หุหุ
และดูเหมือนเธอจะตัดสินใจแล้ว...เธอจึงเดินไปที่คนขายพูดคุยอะไรกัน
สักครู่ถ้าให้เดาฉันว่าคงจะถามเรื่องราคา...หลังจากนั้นเธอก็เดินกลับมา
ตรงที่เดิม ทันใดนั้นภาพที่ฉันเห็นตรงหน้า มันช่างเป็นภาพที่สวยงามอะไร
เช่นนี้....ยะฮู้...ฉันแอบดีใจ ฮั่นแน่...คงเดากันได้ใช่มั๊ยค่ะ ว่าเธอเดินกลับ
มาทำไม..ถูกต้องน๊ะคร๊าบบบ เธอเดินเอาเสื้อดำมาแขวนคืน..พร้อมกับ
ถือสีครีมติดมือไปชำระเงิน ....แล้วเธอก็เดินจากไป
ส่วนฉันน่ะหรือ จะรอช้าอยู่ไย รีบคว้าเสื้อสีดำมาทาบที่ตัวแล้วมองกระจก
ทันที...เพราะรอมานานตั้งครึ่งชั่วโมง....โอ้พระเจ้า..ทำไมมันช่างเหมาะกับ
เราซะจริงจริ๊ง (เข้าข้างตัวเองอย่างจังนิ..) ราวกับว่าเสื้อตัวนี้รอฉันอยู่..อิอิ
ถ้าถามว่าเสื้อตัวนี้สวยมั๊ย..หลายคนที่เห็นก็อาจคิดว่ามันก็ดูธรรมดาและ
อาจไม่สนใจ..แต่สำหรับฉันมันช่างตรงกันข้ามเลยหล่ะ...ฉันไม่รีรอเช่นกัน
รีบถือเสื้อไปหาคนขายทันที..
ตัวเท่าไหร่ค่ะ ฉันถาม
480 ค่ะ คนขายตอบพร้อมกับยิ้มให้ฉัน
ฉันรู้สึกว่าราคามันสูงพอควร..แต่ก็ไม่มากจนเกินไป เพราะดูจาก
เนื้อผ้าและฝีมือการตัดเย็บถือว่าสมราคา...ฉันชอบตรงเนื้อผ้าซึ่ง
เป็นผ้าฝ้ายบางๆ เหมาะกับอากาศบ้านเรามากๆ ...
แต่เดี๋ยว! การที่จะตกลงซื้อง่ายๆน่ะ ไม่ใช่ฉันแน่ๆค่ะ ว่าแล้วก็เริ่ม
ปฏิบัติการทันที ด้วยความเคยชินค่ะ..อิอิ
ลดได้มั๊ยค่ะ ฉันเริ่มต่อรองทันที
คนขายนั่งคิดชั่วครู่ ตอบกลับมาว่า
450 แล้วกันค่ะพี่ไม่ได้บอกผ่านมาก
อืม..ประโยคยอดฮิต..(เจอมาเยอะและน้องเอ๊ย..)
เอางี้แล้วกัน ขอต่ออีกคำ 400 ถ้วนได้มั๊ยค่ะ ฉันโยนมุกนี้เข้าให้..
ไม่ได้จริงๆค่ะพี่ราคานี้พิเศษสุดแล้ว คนขายหัวเราะพร้อมกับปฏิเสธ..
มีหรือที่ฉันจะยอมแพ้..ฝันไปเต๊อะ..(ความอยากได้เป็นเหตุจริงๆ เรา)
เอาน่าต้องลองอีกครั้ง ไม่ลองก็ไม่รู้...เป็นไงเป็นกันซิ..ยังไม่พอแค่นี้หรอก
ฉันยังคิดปลอบใจตัวเองอีกด้วยว่าถ้าเสื้อตัวนี้จะเป็นของเรา ยังไงก็ต้องเป็น
อีกอย่างเท่าที่สังเกตดู ท่าทางคนขายแล้ว..คิดว่าเป็นคนใจดีคนหนึ่ง
อัธยาศัยดี ยิ้มแย้มและเป็นกันเอง ก็คงจะพูดกันง่ายอยู่...
400 ถ้วนน่ะดีแล้วน้อง ถ้าได้ก็พับใส่ถุงเลยค่ะ..ฉันพูดยิ้มๆ
โห...พี่หนูไม่เคยลดราคาเยอะขนาดนี้เลยค่ะ มันไม่ได้จริงๆ
ยังๆ ยังทำใจแข็งอีก.. เอาหล่ะลองดูเป็นครั้งสุดท้าย..ฉันเริ่มพูดทันทีว่า
แหม..น้องก็ ลองลดให้พี่เป็นคนแรกซิ..แล้วน้องจะรู้ว่ามันดีแค่ไหน
ฉันเล่นมุกตลกเข้าให้...น้องคนขายถึงกับหัวเราะ...ส่วนฉันแอบยิ้มด้วย
ความกระหยิ่ม...มองเห็นชัยชนะอยู่รำไร (จะเกี่ยวกันมั๊ยหว่าเนี่ย หุหุ)
ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่ธรรมดาที่สุด..เรื่องของ
เรื่องไม่อยากให้คนขายจับไต๋ได้จิ..ว่าฉันน่ะอยากได้แค่ไหน...เรื่องเก็บ
ความรู้สึกเนี่ย..พูดแล้วจะว่าคุย....(เอ้ และนี่เราคุยไปยังเนี่ย อิอิ)
คนขายเริ่มคิด..ฉันมองยิ้มๆ พร้อมกับทำท่าว่าจะเดินออกไปจากร้าน..
และก่อนที่จะก้าวเท้าออกมา..แต่ยังไม่ทันได้ยกเท้าด้วยซ้ำ...เสียงน้อง
คนขายก็ดังตามหลังมา
อ๊ะๆ ก็ได้ค่ะพี่...หนูลดให้พิเศษแล้วกัน..ถ้าเป็นคนอื่นหนูไม่ให้น๊ะเนี่ย
ฉันซ่อนยิ้ม..แต่ในใจสุดจะลิงโลด...(เสร็จตรูจนได้นิ...อยากหัวเราะจัง)
แต่ยังเก็บความรู้สึก เมื่อชำระเงินค่าเสื้อเรียบร้อยแล้ว..หันไปยิ้มให้น้อง
คนขายอีกครั้ง ไว้พี่เป็นลูกค้าประจำแล้วกันน๊ะ ฉันพูด
ยินดีค่ะ แวะมาบ่อยๆนะคะพี่ น้องคนขายยิ้มให้ฉัน ส่วนฉันก็ไม่สน
ที่จะเดาว่าน้องเขาคิดอะไรอยู่ ...เกมส์มันจบแล้ว..อิอิ
ได้เลยน้องไว้จะมาอุดหนุนอีกจ๊ะ ฉันยิ้มให้น้องเขาอีกครั้งก่อนที่จะ
เดินออกมาจากร้านด้วยความดีใจเป็นที่สุด..
ที่ฉันดีใจน่ะอันดับแรกคือได้เสื้อสมใจ และอย่างที่สองก็คือ..สามารถต่อ
ราคาได้ เพราะร้านนี้น่ะ..ต่อราคายากมาก..ที่ฉันรู้เพราะเพื่อนเคยมาซื้อแล้ว
เขามาเล่าให้ฟัง...พอฉันบอกเพื่อนว่าฉันต่อได้..เพื่อนยังคิดว่าฉันล้อเล่นเลย
ฉันก็บอกเพื่อนว่า..จะล้อทำไม ล้อแล้วไม่ได้ตังค์..กวนมันเข้าให้อีกแน่ะ...
หลังจากที่เดินออกมาแล้ว ฉันก็เดินไปร้านขนม..เลือกซื้อขนมได้ครบตาม
ต้องการแล้วก็รีบชำระเงิน..แล้วก็เดินออกมาจากร้านแต่ก็ยังไม่วายที่จะเปิด
ถุงเสื้อดูอีกครั้งด้วยความชื่นชม....
เห็นมั๊ยหล่ะอย่างที่ฉันว่า เสื้อตัวนั้น ของฉันจริงๆ
เทียนหยด
21 กุมภาพันธ์ 2553 13:03 น.
เที่ยนหยด
ลมเย็นพัดปะทะหน้าตั้งแต่บ่าย ตอนหัวค่ำ
ฝนตกกระหน่ำลงมาทำเอาโลกเปียก ใบไม้ปลิดตัวจากขั้วลงมานอน
แอ้งแม้งบนพี้น น้ำจากฟ้าทำใบไม้แห้งให้แฉะติดแน่นกับฟุตปาธ
มองเผินๆ ดูคล้ายลวดลายบนทางเดิน..ลวดลายธรรมชาติ
อากาศดีเหลือเกิน เย็นเกือบหนาว หนุ่มสาวอิงแอบแนบชิด ฝนพรำ
ร่มหลายคันกางออก..
"ร่ม" เป็นสิ่งของที่มีชื่อน่ารัก
คำว่า "ร่ม" แค่ฟังก็เย็นแล้ว
"ซี้อร่มคันหนึ่งครับ"
"เข้ามาในร่มก่อนสิครับ"
"อย่าลืมพกร่มไปด้วยหล่ะ"
แหม..ดีเนอะ คนเราพก "ร่ม" ได้ด้วย..อิอิ
ร่มเป็นอุปกรณ์อย่างง่าย ในยามปกติมันทำตัวแคบๆ หุบๆ ซุกอยู่ตาม
ซอกมุมห้อง บ้างก็แขวนผอมๆ ไว้ข้างฝาผนัง ดูไร้ความสำคัญ แต่พอ
ในยามที่ต้องการ มันก็พร้อมจะกางตัวออกเพื่อปกป้องคนใต้ร่มจาก
แดดและฝน..
จากแคบ เป็น กว้าง
จากไม่มี เป็น มี
ทันทีที่ร่มกาง จะเกิด "พื้นที่" พิเศษใต้ร่มขึ้น
"พี้นที่" ที่ความรู้สึกต่างจากพื้นที่นอกร่มสิ้นเชิง
ปลอดภัย ร่มเย็น ไม่เป็นหวัด
ร่มคันเล็กๆ ที่กางออกมา สร้างความรู้สึกที่แตกต่าง
เมื่อร่มกาง ไม่ได้เกิด "พื้นที่" เฉพาะใต้ร่มเท่านั้น แต่ยังเกิด
"เส้นทาง" และความเป็นไปได้อีกด้วย
ก่อนกางร่ม มีแต่คำว่า "ไม่ได้" เดินตากฝนไม่ ไปไหนก็ไม่ได้
พอกางร่มเท่านั้นแหละ "ทาง" ก็เกิดขึ้นทันที
"พื้นที่" ใต้ร่มที่เคลื่อนไหวไป ก็คือ "ทาง" นั่นเอง
ร่มมีรูปลักษณ์ที่ลงตัว เมื่อกางออกมาจะมีลักษณะโค้งลงเตรียมให้
ฝนไหลหยดลงสู่พื้นรอบร่ม คล้ายม่านของสายน้ำ ส่วน "ที่ว่าง" ใต้
เพดานร่มนั้นก็ให้ความรู้สึก "ส่วนตัว" แก่ผู้ที่อยู่ในนั้น
เรายืนติดกัน แต่คนละร่ม เหมือนอยู่คนละโลก
หญิงสาว-ชายหนุ่ม ใต้ร่มเดียวกัน เหมือนโลกใบนั้นมีแค่ 2 คน
ร่มไม่เคยใหญ่ไปกว่านี้ ร่มที่ดี ขนาดน่ารัก ไม่เหมาะกับการใช้งาน
3 คน....2 คนดีกว่า กำลังดี
1 คน คือปกติ ถ้าหากลมแรงหน่อยอาจชวนให้เหงานิดๆ
เวลาคน 1 คน เดินสวนกับคน 2 คนที่อยู่ใต้ร่มเดียวกัน วินาทีนั้น
เขาจะเหงาขึ้นมาชั่วคราว แต่เดี๋ยวมันก็หายไปกับ..สายฝน
ถ้า 3 คนเดินใต้ร่มคันเดียวกันทีไรจะต้องมีใครสักคนเปียก หรือไม่
ก็เปียกปอนกันไปหมด..
ใต้พี้นที่ของร่ม เหมาะสมสำหรับ 2 คนเท่านั้น ร่มที่ดีน้ำหนักเบา
ร่มส่วนใหญ่ถือได้ด้วยมือเดียว อีกมือจะเหลือไว้ทำอะไร..หากไม่ใช่
จับมืออีกคนที่อยู่ใต้ร่มกันเดียวกัน..
ร่มมีมิติของเวลา
กาง - หุบ
เปียก - แห้ง
ร่มจะเปียกเมื่อกาง และรอแห้งก่อนค่อยหุบ
ร่มคันเดียว แต่มี 2 รูปร่าง เป็นสิ่งของที่แปลงร่างได้!
ร่มจึงอัศจรรย์ เป็นอุปกรณ์ป้องกันแดดและฝนที่ผู้คนสัมผัสความรู้สึก
บ่างอย่างกับมันได้
ความรักของบางคู่อาจเริ่มต้นจากร่ม ในวันที่ฟ้าฝนเป็นใจ
กวีบางบท เพลงบางเพลง ก็เกิดขึ้นใต้เพดานร่มเล็กๆนี่เอง
ร่มเป็นสิ่งของที่โรแมนติก หากใช้ 2 คน ต้องมีคนหนึ่งถือ และอีกคนหนึ่ง
เอียงตัวเข้าหา ผลัดกันเอียงตัวหลบฝนกันไปมาน่าเอ็นดู
บนถนนหนทางที่มีร่มหลายคัน หากลองสังเกต เราจะเห็น "โลกใบเล็กๆ"
ของผู้คนมากมาย...บ้างเดี่ยว บ้างเป็นคู่ อยู่ใต้ร่มนั้น..
กระทั้งฝนหยุด ร่มหุบลง
โลกใบเล็กเหล่านั้นหายไป
โลกใบใหญ่กลับมาอีกครั้ง
เพดานร่มกลายเป็นเพดานฟ้ากว้าง
หัวไหล่ที่เบียดกัน ได้เวลาห่าง
รอวันที่ฝนตก...มันจะกลับมากระทบกันอีกครั้ง....
ปล. เห็นว่าเป็นอีกมุมมอง ที่คนเราไม่ค่อยได้มองค่ะ เลยนำมาฝากให้ได้
ลองมองกันดูบ้าง...
15 กุมภาพันธ์ 2553 15:51 น.
เที่ยนหยด
ความรัก..มันก็เหมือนที่จอดรถ
หรือถ้าไม่เหมือนซะทีเดียว แต่ฉันว่ามันมีส่วนคล้าย...จริงๆน๊ะ
วนไปรอบแรก...เฮ่อ รถเต็มไปหมด จะมีที่ว่างบ้างมั๊ยเนี่ย เหนื่อยน๊ะ..
วนรถ มันก็เหมือนกับ เราต้องการหาใครสักคน ยิ่งหาก็ยิ่งไม่เจอ..แป่ววว
วนรอบสอง...เจอหล่ะที่ว่าง...อิอิ แต่...ไหงทำเลมันไม่ค่อยดีเลย ลองขับ
ไปข้างหน้าดีกว่า เผื่อจะมีที่ดีกว่านี้...ดั๊นนนนน...ไม่มี กลับมาจอดที่เก่า
กะได้นิอ้าว..เวรแท้ๆ ....มีคนมาจอดไปแล้วง่ะ...
จึงไม่ค่อยต่างจากที่เราเจอใครคนหนึ่งที่ดีแสนดี แต่ดันคิดว่ามันต้องหา
ดีกว่านี้ได้ดิ.....
...รออีกหน่อยดีกว่า พอคิดได้ก็....ม.ค.ป.ล. (หมาคาบไปแหลก) สม...
วนรอบที่สามก็ได้...อ้าว..ซวยหล่ะตรู ขับเลยเว้ยเฮ้ย...ไรว๊า
มันก็คล้ายๆกับที่ว่ารักแล้วไม่ยอมบอก บิดกันไปก็บิดกันมาอยู่ได้
กลัวเสียฟอร์ม กลัวเค้าไม่รัก เก็บไว้ดีกว่าเป็นเพื่อนสนิทก็พอวุ๊ย...
พอเลยปุ๊บ จะถอยก็ไม่ได้ รถคันหลังเสียบปั๊บ...เป็นไงหล่ะ เศร้าเลย...
เอาน่า...รอบที่สี่ก็ได้ เย้ ๆ...เจอแล้ว แต่ว่าถอยยากชิบ...คันหลังก็ตามมาอีก
เวรกรรมซะ...ไปข้างหน้าก็ได้เฟ้ย.. ..เอ้า...ทำไมคันหลังเข้าง่ายจังนิ....เฮ้อ.....
ชวดอีกแล้วตรู.....
คงเหมือนกะว่าเราเห็นเค้าสูงส่งเหลือเกิน พยายามไปก็เหนื่อยเปล่า...
แล้วเป็นไงหล่ะกล้าๆหน่อยน้อง...รักต้องสู้..เคยได้ยินป่ะ...
มันจะยากเย็นอะไรนักหนา กะการหาที่จอดรถเนี่ย...เอาน่า รอบที่ห้านี้น่าจะมี...เจ้ย...มันจอดรถซ้อนคันได้นี่หว่า..แต่ไม่เอาดีกว่า....เผื่อมีใครมาเข็น..
อาจไปชนท้ายคันหน้าเข้าอีก..เดี๋ยวจะซวยเอา...
ก็คงเหมือนกะไปรักคนที่เขามีเจ้าของแล้ว เรียกง่ายๆก็ไปเป็นกิ๊กกะเขานั่นหล่ะ
แถมต้องคอยระมัดระวัง...แล้วเป็นไง สุดท้ายก็ไม่มีความสุขอยู่ดี..อิอิ
ปัดโธ่เว้ย...ก็ได้ๆ ขับกลับไปจอดที่บ้านกะได้ฟร่ะ เดี๋ยวค่อยเดินมาและกัน...
แค่นี้เอง หุหุ
สุดท้าย....บางครั้งการแสวงหาก็ทำให้เกิดความทุกข์...และ
บางครั้งการอยู่คนเดียวมันก็สบายใจอย่างที่คาดไม่ถึงเหมือนกัน...
อืม...ก็น่านนนน๊ะซิ..อิอิ
8 กุมภาพันธ์ 2553 09:35 น.
เที่ยนหยด
เช้านี้..มีเรื่องอะไรให้คิดเพลินๆหลายเรื่องแฮ่ะ...
ฉันอดคิดไม่ได้ว่า สมองของคนเรานี่สุดยอด ราวกับ
เป็น ตู้เซฟที่วิเศษที่สุด...สามารถเก็บอะไรต่อมิอะไร
ได้มากมายไม่รู้จบ...
หลังจากหาอาหารเช้าใส่ท้องเรียบร้อยแล้ว...ก็เปิดคอมฯ
นั่งดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย..คลิ๊กไปคลิ๊กมา จนกระทั่งถึง
เวบๆหนึ่ง เห็นเขาขึ้นกระทู้ว่า
"เรื่องราวสำหรับคนที่ยังไม่มีความรัก"
อืมน่าสน..ฉันคิดอีกแล้ว...ลองอ่านดูสักนิดเถอะ...เพราะ
เขาโพสต์ไว้เพื่อเรานี่นา...อิอิ
ความรักนั้น มันก็เหมือน "ผีเสื้อ"
ยิ่งคุณเข้าหามันเท่าไร มันก็จะห่างคุณออกไปมากเท่านั้น
และถ้าหากคุณปล่อยมันไป มันจะเข้ามาหาคุณเองแหล่ะถ้า
คุณไม่คาดหวังกับมันมาก....
(อืม..ก็จริงน๊ะ อันนี้ค่อนข้างเห็นด้วย) ฉันนีกในใจ
ความรักสามารถทำให้คุณมีความสุข แต่มักจะทำให้คุณเจ็บปวด
และความรักจะเป็นสิ่งที่พิเศษ ถ้าคุณได้ให้มันกับใครสักคนที่คู่ควร
อย่ารีบร้อน ค่อยๆเลือก เลือกคนที่ดีที่สุด...
สำหรับ ใครที่ "ไม่ใคร่โสด"
เขาบอกว่า...ความรักไม่ใช่การเป็นคนดีพร้อมสมบูรณ์ของใคร แต่
รักคือ การหาใครสักคนที่ช่วยให้คุณเป็นคนดีที่สุด เท่าที่คุณดีได้
สำหรับ ใครที่เป็น "คนเจ้าชู้"
อย่าพูดคำว่า "รัก" เลย ถ้าคุณไม่ได้ใส่ใจความหมายนั้น
อย่าพูดว่า "รู้สีก" ถ้าไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น
อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตเขาเลย ถ้าคุณจะทำให้เขาเสียใจ
อย่าไปมองลึกถึงดวงตา ถ้าทุกคำพูดของคุณล้วนโกหกทั้งเพ
สิ่งที่โหดร้ายที่สุดที่ชายหนึ่งพึงทำได้ คือ
ทำให้ผู้หญิงหลงรัก แล้วคุณไม่ใส่ใจใยดีผู้หญิงคนนั้น
สำหรับ ใครที่ "อกหัก"
(อันนี้เขาเขียนดี) เขาบอกว่า
การอกหักมันยืนยาวตราบเท่าที่คุณต้องการให้มันอยู่กับคุณและ
บาดความรู้สึกคุณได้เจ็บลึกเท่าที่คุณยอมให้มันบาด
ที่สำคัญก็คือว่า มันไม่ใช่จะพ้นจากสภาวะอกหักยังไง แต่มันอยู่ที่ว่า
..เราเรียนรู้จากมัน ได้แค่ไหนต่างหาก...
สำหรับ ใครที่ "ไร้เดียงสาในรัก"
จะรักได้อย่างไร....: รัก แต่อย่าลุ่มหลง คงเส้นคงวา แต่ไม่ดิ้อรั้น
แบ่งปัน และไม่เอาเปรียบพยายามเข้าใจกันและกัน มากกว่าที่จะ
เรียกร้อง หากถึงคราวต้องเจ็บก็เจ็บ แต่อย่าเอาความเจ็บนั้นติดตัว
เสมอไป....
สำหรับ ใครที่ "มีคนที่แอบหลงรักอยู่"
เขาบอกว่า...มันเจ็บปวดที่เห็นคนที่เรารัก มีความสุขอยู่กับคนอื่น
แต่..มันจะเจ็บปวดยิ่งกว่า ถ้า...
...คนที่เรารักไม่มีความสุขเมื่ออยู่กับเรา
สำหรับ ใครที่ "กลัวต่อการสารภาพรัก"
ความรักมันเจ็บปวด ถ้าคุณต้องบอกเลิกกับใครสักคน
แต่มันจะเจ็บยิ่งกว่า ถ้ามีคนมาบอกเลิกกับคุณ
แต่มันจะเจ็บที่สุด หากคนที่คุณรัก ไม่เคยได้รับรู้เลยว่า
"คุณรักเขา"
สำหรับ ใครที่ "ยังคบๆกันอยู่"
สิ่งที่น่าเศร้าในชีวิต ก็คือ การที่เราพบ และ รักใครสักคน
จนสุดท้าย เราพบว่ามันไม่ใช่....
และคุณเสียเวลาไปเป็นปีๆ ให้กับคนที่ไม่คู่ควร..
ถ้าเขาของคุณไม่ใช่คนที่ใช่ของคุณตอนนี้แล้วล่ะก็..จะมาเสีย
เวลากับเขาทำไป ปล่อยไปเถิด....
รักตัวเอง....คือจุดเริ่มต้นของความรักชั่วชีวิต
อืม...ถูกที่สุด "รักตัวเอง" (ฉันเริ่มคิด แบบจริงจัง..อิอิ)
เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เราทำได้โดยไม่ต้องขอจากใคร...คุณเห็นด้วยไหม?