บ่าย 2 โมงเศษๆของวันนี้ เสียงโทรศัพท์มือถือฉันดังขึ้น ฮัลโหล ฉันกดรับโดยไม่ทันมองหมายเลขที่หน้าจอ อ้อยเหรอ เสียงจากปลายสายถาม ค่ะ ไม่ทราบจากไหนคะ ฉันถามเพราะไม่คุ้นในน้ำเสียง แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นคนที่ฉันรู้จักนั่นแหล่ะ..ไม่งั้นจะเรียกชื่อเล่นได้ไง จำได้มั๊ย ว่าเสียงใคร ไม่ได้อ่ะ" ฉันบอกตามจริง ลอง ฟัง ให้ ดีๆซิ เสียงพูดยานๆของเพื่อนนิรนาม อืม..จำไม่ได้..ตกลงเป็นใครเนี่ย บอกมาก่อนเร็ว ฉันกรอกเสียงพูดไป เพื่อนแกทั้งคน จำกันไม่ได้ซะแล้วอ้อยเอ๋ย จริงๆ เราจำไม่ได้จริงๆ ไม่ได้ล้อเล่นน๊ะเนี่ย โห..ดูดิเสียแรงคบกันมาตั้งนาน มีประชดเล็กๆอีกแน่ะ เอ้า..ก็จำไม่ได้จริงๆนี่ เบอร์ก็ไม่คุ้น บอกมาเลยและไม่ต้องเล่นยี่สิบคำถามน๊ะ ฉันดักคอ จริงๆแล้วฉันไม่ชอบเอาซะเลยไอ้ประเภทที่โทรมาแล้วถาม ใครเอ่ย? เนี่ย ครั้งหนึ่งครั้งสองพอทน แต่ถ้ามีสามสี่ห้านี่ เหลือทนค่ะ เออๆบอกก็ได้.. โอ๋ไง...จำได้ป่ะ เพื่อนนิรนามพูดกึ่งหัวเราะ โอ๋.. โอ๋ไหนง่า ที่ถามไม่ใช่ว่าฉันไม่มีเพื่อนชื่อนี้...มีค่ะมี เธอเป็นเพื่อนสมัยเรียนพาณิชย์มาด้วยกัน..แต่เราไม่ได้คุยกัน นานนับสิบปี...ฉันเลยไม่ค่อยแน่ใจในน้ำเสียงของเธอเท่าไร โอ๋ที่เรียนมาด้วยกันกับแกไง เธอช่วยทวนความจำให้ สมัยที่เราเรียนด้วยกันฉันกะโอ๋สนิทกันมากมีโอ๋ที่ไหนก็ต้องมีอ้อยที่นั่น... อืม..โอ๋จริงหรอเนี่ย..ฉันไม่อยากเชื่อ แกเอาเบอร์โทรฉันมาจากไหน ฉันถาม ด้วยความสงสัย เพราะตั้งแต่ฉันเปลี่ยนเบอร์โทรใหม่ฉันก็ ไม่เคยได้คุยกับโอ๋เลย โธ่ แค่เบอร์โทรเพื่อน.. ไม่เกินความสามารถหรอก" แน่ะ...มีคุยอีก หลังจากที่เราต่างคนต่างเรียนจบ เราก็แยกย้ายไปศึกษาต่อแต่คนละที่.. แรกๆก็ยังมีนัดพบกันบ้าง..แต่พอนานๆไปต่างคนต่างมีภาระ เลยทำให้ขาดการติดต่อไปและวันนี้ก็เรียกได้ว่า เซอร์ไพส์ สุดๆที่ เพื่อนโอ๋โทรมาหาฉัน ไม่ได้เจอกันนานมากๆ แกเป็นไงบ้าง ฉันถามเพราะอยากรู้จริงๆ ก็ดีแก ฉันมีครอบครัวแล้วลูกสองคนเป็นชายทั้งคู่ โอ๋พูดเรื่อยๆ เหรอ ดีจังแก ฉันไม่แปลกใจเพราะโอ๋เป็นคนน่ารักและมีเสน่ห์.. ใครอยู่ใกล้ก็อดรักไม่ได้ ฉะนั้นคงไม่อยู่รอดเป็นโสดหรอก..อิอิ แกหล่ะ อ้อย สบายดีหรือเปล่า มีลูกกี่คนแล้ว โอ๋ถามฉัน ฉันฟังแล้วก็ งงๆ อะไรน๊ะ..ลูกๆที่ไหน..ตรูมีลูกตั้งแต่เมื่อไรหว่า? นี่ๆ ไอ้โอ๋แกไม่ต้องมาถามแบบนี้เลย ห้ามตอกย้ำเว๊ย ฉันพูดไปหัวเราะไป อ้าว..ตกลงแกไม่มีลูกหรออ้อย อะไร แกแต่งงานก่อนฉันตั้งนาน เจ้ย! แต่งงานหรอ ..แต่งกะใครว๊า..ไอ้นี่มั่วอีกและไปเอาข่าวมาจากไหน รู้ไม่จริงซะแล้ว ฉันอึ้งไปสักครู่ ก่อนที่จะพูดว่า เดี๋ยวๆใครบอกแกว่าฉันแต่งงานแล้ว ฉันคาดคั้นทันที นี่ๆ ไอ้อ้อย ไม่ต้องทำตลกเลย...ใครจะบอกหล่ะ..ในเมื่อฉันก็ไปงานแกด้วยนี่ งานฉันนี่น๊ะ ฉันถามมัน งง ๆ ตรูไปแต่งกะเขาเมื่อไรว่ะนี่?????? ก็เออดิ พอเลยแกอย่ามาทำไขสือ ฉันไม่พูดแต่สมองเริ่มทำงาน คิดๆๆๆ..โอ๋มันแกล้งอำเราเล่นหรือเปล่าหว่า? อืมเป็นไปได้ (คิดเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน) แต่น้ำเสียงของโอ๋ไม่ได้บ่งบอกว่าจะแกล้งเลยนี่นา..มันยังไงกันเนี่ย.. ตกลงมันใช่โอ๋เพือนเราหรือเปล่านี่...หรือว่า? ไวเท่าความคิดฉันรีบถามทันที เอ่อ เดี๋ยวน๊ะ ถามหน่อย.. ตกลงแกใช่โอ๋ที่เคยเรียนพาณิชย์กับฉันหรือเปล่า พาณิชย์อะไรอ้อย...แกเพี้ยนหรือเปล่า เสียงโอ๋พูดกลับมา อะจึ่ย! อ้อยเอ๋ย ตกลงใครกันแน่ที่เพี้ยนฟร่ะ....ฉันเริ่มคิดและพูดต่อว่า เอ้า..ก็ใช่หรือเปล่าหล่ะ บอกมาก่อนซิ ฉันเร่งเพื่อต้องการคำตอบ เปล่านี่..ฉันไม่เคยเรียนพาณิชย์ อ้าว...แล้วแกเรียนที่ไหนง่า ก็ที่โรงเรียนชิโนรสไงแกกับฉันเรียนด้วยกันจนจบ ม.6 อ่ะ หา..ชิโนรสหรอ เป็นไปได้ไง..ก็ฉันน่ะไม่เคยเรียนที่นั่น ที่สำคัญไม่เคย มีเพื่อนที่เรียนที่นั่นด้วยแล้วมันเป็นโอ๋ไหนว่ะเนี่ย..เวร แล้วมั๊ยหล่ะ เดี๋ยวๆ แล้วโอ๋เคยอยู่แถวบางแคหรือเปล่า เออ หมายถึงบ้านน่ะ ฉันถามกลับ ซึ่งโอ๋ตอบกลับมาชัดถ้อยชัดคำว่า ไม่นี่ ไม่เคย บ้านฉันอยู่ อิสระภาพไง เอ้ย! อ้อยแกเป็นอะไรมากหรือเปล่านี่" นั่นปะไร...ตามที่คิดไว้เล๊ยยย... เป็นไปได้ไงว๊า...โอ๋ กะ อ้อย คิดได้ดังนั้นฉันจึงพูดต่อ เออ...เราว่า เธอโทรผิดแล้วหล่ะ เพราะเราไม่เคยเรียนที่ ชิโนรสเลย ฉันเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองทันที.. ฮ้า..เป็นไปได้ไง เสียงโอ๋ อุทานออกดัง จริง..เราไม่เคยเรียนที่ชิโนรสจริงๆ..เราเรียนพาณิชย์ต่างหาก ว่าแต่ทำไมถึงได้โทรมาเบอร์นี้ได้หล่ะ ฉันถามด้วยความสงสัย ก็เพื่อนเราบอกมา โอ๋ตอบฉัน เพื่อนที่บอกชื่ออะไรเหรอ ชื่อ บอยอ่ะ ชัดเลยค่ะ...เพราะคนชื่อบอยฉันก็ไม่รู้จักอีก เขาบอกให้โทรมาเบอร์นี้เนี่ยน๊ะ ไหนลองทวนเบอร์ให้ฟังหน่อยได้มั๊ย ได้ซิ โอ๋ ก็ทวนเบอร์ให้ฟัง นั่นปะไรเหมือนที่คิดโทรผิดจริงๆ เบอร์โทรฉันลงท้าย 85 แต่ทีโอ๋บอกมา มันลงท้ายด้วย 35 ฉันจึงบอกเบอร์โทรของฉันกับโอ๋ไป..โอ๋อึ้งไปสักพัก คงจะเริ่มรู้ตัวแล้ว ว่าตัวเองกดเบอร์ผิด..ฮ่า และเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างกระจ่างชัด ฉันกับโอ๋หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน... ก็มันน่าขำจริงๆนี่นา...อะไรมันจะบังเอิญได้ขนาดนี้เนาะ... หลังจากหัวเราะจนหนำใจ โอ๋ขอโทษเป็นการใหญ่ ก่อนจะวางสายไป บอกตามตรงฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยจริงๆ..นอกจากตลกกับเรื่องที่เกิดขึ้น ก็แหม..คุยกันซะดิบดีเชียว...อิอิ และที่ฉันไม่ได้นึกสงสัยตั้งแต่แรกคงเป็นเพราะฉันกะโอ๋ไม่ได้คุยกันนานมาก และโอ๋คนนี้การพูดจาก็มีส่วนคล้ายโอ๋เพื่อนฉันอยู่เหมือนกัน.... เฮ้อ....โอ๋โทรหาอ้อย..อ้อยก็ดันรับสายพอดี..555 เล่าเรื่องโดย...เทียนหยด
อ่ะแฮ่ม...วันนี้ขอละเลงเรื่องตัวเองสักครั้ง.. บางท่านอาจจะรู้เมื่อเห็นชื่อเรื่อง...เดาได้ไม่ยาก.. ผู้หญิงคนหนึ่งสูงเพียง 170 ซม.ย้ำ แค่ 170 ซม.เท่านั้น หุหุหุ... และเพราะความสูงโย่ง หรือสูงใหญ่ก็ได้มันก็เลยเกิดเรื่องจุ๊กจิ๊กมากมาย.. อยากรู้แล้วใช่มั๊ย..เอ้า!...จะเฉยอยู่ไย ขยับมาใกล้ๆ แล้วไปด้วยกัน... >> ความพอดี..มีที่ไหน(ว๊า) จำได้ว่าตั้งแต่ฉันเริ่มเข้าเรียนปัญหาแรกที่เจอเลยก็คือเรื่องเสื้อผ้า ไม่ว่าจะเป็นชุดนักเรียนชุดพละ..หรือชุดเนตรนารี หรือชุดที่ต้อง ใช้ในกิจกรรมต่างๆ... ความที่ฉันตัวโตกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน.. ไม่สามารถจะใส่เสื้อผ้าไซส์ปกติได้...เช่น เสื้อแขนยาวที่เพื่อนใส่ ถ้าเป็นฉันก็จะกลายเป็นแขนสี่ส่วน..และกางเกงขายาวเหมือนกัน จะกลายเป็นกางเกงห้าส่วนหรือสี่ส่วนไปเลย..ชิชิ ไม่เคยสักครั้งที่จะ ใส่ได้พอดีเหมือนคนอื่น..หุหุหุ โดยทั่วไปครอบครัวอื่นที่เขามีพี่น้อง..ส่วนมากน้องต้องรับช่วงเสื้อผ้า หรือว่ารองเท้าต่อจากพี่ใช่มั๊ยค่ะ..แต่สำหรับฉันไม่สามารถจริงๆค่ะ... ก็พี่สาวฉันน่ะดันเกิดมาตัวเล็กกว่าฉันไง...เอ้ หรือว่า ฉันดันเกิดมาตัวใหญ่ว๊า...หุหุหุเลยกลายเป็นว่าน้องสาวฉันคนที่ 5 ต้องมารับช่วงจากพี่สาวแทน...ส่วนฉันคนที่ 4 จำใจใช้แต่ของใหม่ตลอด ที่ว่าจำใจอันนี้จริงๆค่ะ...เพราะไม่อยากให้พ่อแม่ต้องรับภาระมากมาย ด้วยความที่มีลูกเยอะ...อยากบอกพ่อกับแม่ว่า หนูไม่ได้ตั้งใจเลยจริงจริ๊งงง! >> ผู้หญิงแถวหน้า...ต้องกล้าพอ สมัยที่เป็นนักเรียนเวลาเข้าแถวไม่ว่าจะเป็นเคารพธงชาติหรือกิจกรรมใดๆ ก็ตาม..ฉันไม่เค๊ยไม่เคย ได้ยืนอยู่หน้าใครเขา...ไล่มาตั้งแต่ประถมจนกระทั่ง เรียนจบฉันต้องรั้งท้ายเสมอ...(คนสวยเลือกไม่ได้...ฮ่า) เคยแอบคิดเสมอว่า..จะมีสักวันมั๊ยที่เราจะได้อยู่แถวหน้าบ้าง..อิอิ แต่แล้ว..ความฝันก็เป็นจริง.... เขาว่ากันว่า นารีมีรูปเป็นทรัพย์...แต่สำหรับฉันคงไม่ได้เป็นทรัพย์ แต่กลับเป็นอาวุธแทนโดยมิได้ตั้งใจเล๊ยยยย...ช่วงที่เรียนมัธยม กำลังซ่าส์ได้ที่ จริงๆตัวฉันเองไม่ค่อยซ่าส์ แค่บ้าพอประมาณ...อิอิ แต่แล้ว ไอ้เพื่อนตัวดีของฉันน่ะซิ...มันชอบซ่าส์และมีปัญหาตลอด..และมันก็ไม่ชอบ แก้ปัญหาตัวเองซะด้วย..มีอะไรก็ดันฉันออกนอกหน้าเสมอๆ เหมือนกับ จะบอกคู่อริว่าเพื่อนตรูตัวใหญ่กว่าเฟร้ย...อย่ามาแหยม! หนอย..ดูมันทำ..ก๊าตรูได้..แงๆ จริงๆนิสัยฉันไม่ชอบมีเรื่องกับใครถ้าไม่จำเป็น แต่ไอ้เพื่อนบ้า..ดันหวังดี จำเป็นแทนซะ...น่าเขกกะบาลมันซะโป๊กเนาะ..ใช้เราเป็นอาวุธประจำตัวได้ แต่จะว่าไปมันก็ได้ผลค่ะ..เรื่องราวจบลงด้วยดี..โดยไม่มีการปะทะ..แฮ่ สะใจมั๊ยอ้อยเอ๋ย..ผู้หญิงแถวหน้า5555 และแม้กระทั่งเวลาอยู่ในห้องเรียนเหมือนกัน..สมัยนั้นครูต้องจดงานบน กระดานดำแล้วก็ให้นักเรียนจดตาม...แต่ช่างบังเอิญ(ที่ไม่ติดดิน)จริงๆค่ะ... กระดานดำสูงเกินกว่าที่ครูจะเอื้อมถึง...ใส่ส้นสูงก็แล้ว เขย่งก็แล้ว...ก็ได้ แค่เริ่มต้นบรรทัดแรกประมาณกลางกระดาน..เนื้อหาที่จะสอนก็เยอะ.. ทำไงหล่ะ และแล้วก็มีผู้หวังดีแต่ไม่ประสงค์จะออกตัว..แนะนำครูว่า ห้องนี้มีตัวช่วยให้ครูค่ะ...คงไม่ต้องเดาจะใครซะอีกถ้าไม่ใช่ฉัน..เฮ้อ ฉันก็เลยต้องเป็นคนเขียนกระดานดำแทนครูตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา.. และก็ไม่ใช่ครูคนนี้คนเดียวที่เอื้อมไม่ถึง ยังมีอีกสองสามคนค่ะ.... ช่วยไม่ได้เนาะ ดันเกิดมาตัวสูงเองนี่หว่า..เพื่อนๆฉันมักพูดใส่หน้า เป็นประจำ...ฝากไว้ก่อนเต๊อะ..หืม! >> หน้างอ คอหัก พอเริ่มทำงานต้องเดินทางด้วยรถประจำทางนั่นก็คือรถสองแถว.. เชื่อมั๊ยค่ะว่าฉันไม่เคยได้นั่งเลยสักครั้ง..เพราะแย่งคนอื่นไม่เคยทัน สมัยนั้นยังไม่ได้กลายพันธุ์เป็นลิงเหมือนสมัยนี้..ไม่งั้นเร้อ..เสะลิง555 ส่วนมากคนที่นั่งก็มักจะไปลงจุดหมายปลายทางเดียวกะฉันซะด้วย.. ฉะนั้นไม่มีทางที่ฉันจะได้นั่ง..ฝันไปเต๊อะ..เหอๆๆๆ และไอ้สองแถวที่ว่าเนี่ย มันเป็นรถที่หลังคาเตี้ยมาก...ลองนึกภาพตามค่ะ พอฉันไม่ได้นั่ง มันก็ต้องยืน..ซึ่งทำให้ฉันเซ็งสุดๆ...จะยืนตัวตรงก็ไม่ได้ ก็หัวดันสูงกว่าชาวบ้านเขา..มันก็จะชนกับหลังคารถอีก เฮ้อ..กรรมจริงๆตรู (ฉันคิดในใจเสมอๆ) ครั้นจะออกมาโหนต่องแต่งตรงท้ายรถก็ไม่สมควร เพราะนุ่งกระโปรง ที่สำคัญไม่อยากตายก่อนวัยอันควร..ฉันเลยจำต้องทน ยืนก้มหน้าอยู่อย่างเดียวเงยก็ไม่ได้...ขอบอกว่า ทรมานมาก...รถก็ติดทุกวัน กว่าจะถึงที่ทำงาน ฉันเกือบกลายเป็นปลาทูแม่กลองไปซะแล้ว..ฮ่าๆๆๆ คงนึกออกน๊ะ ว่าปลาทูแม่กลองแท้ๆ หน้าต้องงอ คอต้องหัก..หุหุหุ ระหว่างรถสองแถวกับรถเมล์ถ้ามีโอกาสเลือกฉันเลือกที่จะขึ้นรถเมล์แน่นอน และฉันก็มีโอกาสได้ขึ้นรถเมล์ตอนย้ายที่ทำงานค่ะ..ความรู้สึกก็ดีขึ้นมาหน่อย เพราะไม่ต้องยืนหน้างอคอหักอีกต่อไป.. ก็รถเมล์หลังคามันสูงกว่าฉันตั้งเยอะ ฉันจับราวได้สบายๆ...บางครั้งฉันเห็นน้องที่เขาเป็นนักเรียนก็อดสงสารไม่ได้ บ่อยครั้งที่ฉันสะกิดบอกน้องว่า...จับพี่แทนก็ได้..แต่มีข้อแม้ห้ามจับเอวน๊ะน้อง พี่บ้าจี้..อิอิ อืม..ความสูงของฉันก็มีประโยชน์กับคนอื่นได้เหมือนกันเนาะ... >>ฉันยังปอดๆ เชื่อมั๊ยค่ะว่าฉันเริ่มเรียนว่ายน้ำตอนเลยวัยรุ่นมาแล้ว จำได้ว่าตอนนั้น ทำงานใหม่ๆ..เพื่อนชวนไปว่ายน้ำ...แต่ฉันต้องปฏิเสธทุกครั้งเพราะว่าย ไม่เป็น...จนกระทั่งวันหนึ่งเพื่อนสนิทซึ่งก็ว่ายน้ำไม่เป็นเหมือนกันมา ชวนฉันไปเรียนว่ายน้ำ...ฉันตอบตกลงทันที เพราะเคยคิดอยากเรียน มาแล้วแต่หาเพื่อนไปเรียนด้วยไม่ได้..ไปคนเดียวมันเขินๆยังไงก็ไม่รู้ซิ.. วันแรกที่เราเริ่มเรียน..ฉันจำได้ว่าในสระน้ำมีแต่เด็กๆทั้งนั้นที่มาเรียน ส่วนผู้ใหญ่ก็จะมีแค่ฉันกับเพื่อนเท่านั้น...ฉันรู้สึกขำตัวเองเป็นที่สุด ครูที่สอนก็ดูน่ากลัวไม่น้อย..เป็นผู้ชายที่รูปร่างสูงใหญ่ผิวเข้มอีกต่างหาก แล้วหน้าตาแกก็ดูนิ่งมากๆ...ฉันแอบกระซิบกับเพื่อนว่า..เราสอง คนจะเป็นมั๊ยเนี่ย? แค่เห็นครูสอนฉันก็รู้สึกปอดๆพิกล...เพื่อนฉันก็ว่า ลองดูสักตั้ง..ไหนๆก็มาแล้วนี่..วันสองวันแรกก็ไม่มีอะไรมาก แค่ครูให้จับขอบสระหัดตีขา...เด็กๆที่เรียนดูสนุกสนานกันใหญ่..แต่ มีสองนางนี่หล่ะค่ะสนุกไม่ค่อยออก... จนกระทั่งผ่านมาได้สักอาทิตย์ ครูก็เริ่มให้เราโผออกไปกลางสระในจุด ที่ครูกำหนดไว้...เด็กๆเขาทำกันได้ทุกคนค่ะ..แต่พอมาถึงฉัน..แงๆๆ ฉันเริ่ม ไม่มั่นใจและอีกอย่างวันนั้นเพื่อนฉันไม่ได้มาด้วย..ฉันยิ่งออกอาการแย่มาก ฉันไม่แน่ใจว่าน้ำตรงนั้นมันลึกแค่ไหน..บอกตามตรงว่าฉันกลัวการสำลัก น้ำมาก..เพราะฉันเคยจมน้ำมาก่อนตอนเด็กๆ แล้วมันก็ยังฝังใจมาตลอด ฉันเริ่มโผออกไปแล้วยังไงก็ไม่ทราบได้ ฉันตาลีตาเหลือกโผล่ขึ้นมาแต่ยัง ไปไม่ถึงกลางสระ...ได้ยินเสียงครูตะโกนว่า..นี่เธอทำอะไรเนี่ย? เอ้า!ไม่เห็นรึว่าฉันทำอะไร ฉันนึกตอบในใจ..อิอิ มิกล้าให้ครูได้ยิน แล้วฉันก็กลับเข้าไปเริ่มต้นใหม่..แต่ไม่ว่ายังไงฉันก็ไปไม่ถึงกลางสระอยู่ดี.. ทำไมรึ? ก็มันป๊อดน่ะซิ..อิอิ กลัวจมน้ำมากๆ ครูคงเดาอาการฉันออก แกบอกว่าจริงๆแล้วน้ำไม่ได้ลึกเลยไม่ต้องกลัวจม ว่าแล้วแกก็ยืนให้ดูกลางสระ...น้ำมันลึกแค่อกเองเห็นมั๊ย?ครูถามฉัน ตอนแรกไม่เห็นนี่ ตะแต่ตอนนี้เห็นแล้วค่ะ ฉันแอบตอบในใจ...ก่อนพยักหน้า ฉันมาเริ่มต้นใหม่..ก็ยังไม่เป็นที่ถูกใจครูหรอกค่ะ..ฉันยอมรับว่ามาหัดเรียน ตอนเป็นผู้ใหญ่นี่ มันยากมากๆ..อีกอย่างฉันก็ลืมที่จะใช้ความสูงให้เป็นประโยชน์ ซะด้วยซิ..เฮ้อ เข้าตำรา ไม้อ่อนดัดง่าย ไม่แก่ดัดยาก ยังไงยังงั้นเลยหล่ะ ปัจจุบันนี้ฉันก็ยังว่ายไม่ค่อยเป็นหรอกค่ะ จะออกท่าทางเหมือนลูกหมาตกน้ำ ซะมากกว่า..ฮ่าๆๆๆ >> หวังสนุก..แต่ทุกข์สงัด..เง้อ เย็นวันหนึ่งฉันกะเพื่อนอีกสองคนนัดกันเดินข้ามสะพานสาทร ไปแถวถนนสีลม..ถึงเวลานัดเพื่อนทั้งสองก็มาที่บ้านฉันก่อน เพราะบ้านฉันอยู่ไม่ไกลจากสะพานสาทรนัก..แต่จะอยู่ทางด้าน ฝั่งธนฯ..เพื่อนฉันที่ว่าชื่อ เก๋ และนุช และเมื่อทั้งสองมาถึงบ้าน เราทั้งสามคนก็เดินไปขึ้นสะพานสาทร..คุยไปเล่นไปเรื่อยๆ จนมาถึงกลางสะพาน ฉันบอกเพื่อนทั้งสองว่าให้หยุดยืนเล่น แถวนี้สักพักดีกว่า..เพราะฉันเห็นแม่น้ำเจ้าพระยายามนี้น่ามอง เป็นที่สุด..อากาศก็ดีลมพัดเย็นสบาย.. เก๋ หรือ นังเก๋ของ เพื่อนๆ...ฉันลืมบอกไปว่า นังเก๋ นี่เป็นหญิงเทียมค่ะ.. หล่อนเริ่มออกอาการประหนึ่งว่าเป็นนางเอกมิวสิคไม่ปาน จนฉันกับนุชอดหมั่นไส้หล่อนไม่ได้จริงๆ...ชิชิ ยิ่งท่าทางหล่อนด้วยแล้วดัดจริตสุดๆ..55555 ขณะที่หล่อนกำลังลอยหน้ารับลมอยู่นั้น...หล่อนจับราว สะพานไว้ตานี่พริ้มเชียว...โดยเฉพาะก้นหล่อนที่กำลังโด่งได้ที่.. (นึกภาพตามได้ด้วยนะคะ) แหม! มันน่าเตะให้สักป๊าบ ไวเท่าความคิดฉันก็ยกเท้าขวากระแทกก้นหล่อนเข้าให้ ว๊ายยยย เสียงนังเก๋ร้องขึ้น แต่แล้วเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นค่ะ...ในขณะที่ขาฉัน กระทบก้นนังเก๋..ก็มีสิ่งหนึ่งลอยละลิ่วปลิวตกลงไป กลางแม่น้ำ...ปราฏกว่าเป็นรองเท้าฉันเอง...ฉันมองตามไป หน้าฉันขณะนั้นไม่ต้องบอกก็คงพอรู้นะคะ..เหวอไปเลยหล่ะ ซวยแล้วมั๊ยตรู? ฉันคิดในใจ...แงๆๆๆ รองเท้าฉันลอยไปตามน้ำทันที..ส่วนไอ้นุชกะนังเก๋ คงไม่ต้องบอกนะคะว่าทั้งสองทำอะไร...มันกอดคอกัน หัวเราะฉันแบบไม่เว้นวรรคเลยหล่ะ... โดยเฉพาะนังเก๋..หน้าตามันบอกว่าสะใจสุดๆ ยังดีน๊ะตอนที่รองเท้าหล่นลงไปไม่มีเรือผ่าน ไปมา..ไม่งั้น...ฉันไม่อยากคิดภาพว่ารองเท้าฉันจะ ลอยไปกระทบกับอะไรบ้าง...แค่คิดก็เสียววุ๊ย นังเก๋ลอยหน้าลอยตาพูดขึ้นว่า เป็นไงย่ะหล่อน..แม๊..คิดว่าขายาวแล้วจะทำอะไรฉันได้ง่ายๆหรอย่ะ น้ำเสียงมันไม่ต้องพูดถึงทั้งทับทั้งถม..ปนเยาะเย้ยอีกต่างหาก.. ไอ้บ้านี่ ไม่สงสารตรูเล๊ยยย ฉันตัดพ้อ โน เวย์ ย่ะ นังเก๋ลอยหน้าพูด หวังสนุก แต่ทุกข์สงัด ก๊ากกก มันหัวเราะอย่างสะใจ..หึ ไอ้นุชอีกคนเอาแต่หัวเราะฉันอย่างเดียว...หึม..น่าเอาส้ม ยัดปากมันซะจริงเล๊ยยยย...ไอ้นี่ เก๋จ๋า ฉันลากเสียงยาว ไม่ต้องทำเสียงหวานเลย..เช๊อะ มันสะบัดหน้าพูด เก๋คนงามแต๊ๆ ฉันอ้อนมัน ไม่สนเฟร้ย มันสวนกลับ น๊ะ เก๋น๊ะ ช่วยเพื่อนหน่อยน๊ะ ใส่ลูกอ้อนเต็มพิกัด..555 ฉันหันมองหน้า ไอ้นุช...มันรีบโบกมือแล้วพูดทันที ตรูไม่เกี่ยวนาเฟร้ย โห..ไอ้นี่ตรูยังไม่ทันเอ่ยปาก..ช่างมีน้ำใจซะตรูซาบซึ้ง! รัยฟร่ะ แกสองคนนี่..ใจร้ายยยก๊าตรูจริงๆ ก็ได้...ไม่มีต้องใครช่วยก็ได้เฟร้ย ฉันบ่นต่อ เอาดิ..ตามสบายเลยนังอ้อย เสียงเยาะเย้ยของนังเก๋..ชิชะ ฉันเหลือรองเท้าเพียงข้างเดียว...จะทำอะไรได้เนี่ย..ตอนนี้ ยืนอยู่กลางสะพาน..จะเรียกรถกลับบ้านก็เรียกไม่ได้..แงๆ หันไปมอง นังเก๋ กะไอ้นุช มันก็ทำเป็นมองฟ้ามองอากาศซะงั้น แกสองตัว ฉันเรียกมันเสียงอ่อยๆ เอางี้นังอ้อย เสียงนังเก๋ดังสวนมา แกต้องไถ่โทษกะตรูก่อนเลย ไถ่โทษรัยว๊า ฉันยานคางถามมัน เลี้ยงข้าวตรูสองคน โอเค? มันได้ทิเล่นฉันซะ โห...นังนี่...งก ฉันแกล้งว่ามัน จริงๆฉันรู้ว่ามันน๊ะแกล้งฉัน ก็ได้ ฉันไม่มีทางเลือกแล้วนี่เนาะ งั้นแกรรอตรงนี้ เด่วมา แกรจะไปไหนอ่า ฉันถามนังเก๋ ยังจะมาถามอีก นังนี่..ก็ไปหารองเท้าให้หล่อนซิย่ะ มันลอยหน้าพูดเช่นเคย เอาสวยๆ หน่อยน๊ะแก ฉันบอกมัน แม๊...นังนี้ มังลากเสียงยาวเป็นกิโล555555 เรื่องมาก เดี๋ยวก็ให้เดินเท้าเปล่าซะนี่ ฉันหัวเราะ...จริงๆฉันรู้ว่า นังเก๋มันสามารถเพราะมันน่ะรู้ใจฉันเป็นอย่างดี ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร...ฉันกะไอ้นุชยืนรอมันสักพัก นังเก๋ก็กลับมาพร้อม กับรองเท้าแตะ..แตะจริงๆค่ะ...ฉันมองหน้ามันเป็นเชิงถาม..มันรู้ทันความคิด ฉัน..มันบอกว่า ไม่ต้องพูดมากหามาให้ได้ก็บุญแระ..รัยว๊า? ฉันคิด ตรูยังไม่ทัน ได้พูดซะคำ..แค่มองหน้ามันอย่างเดียว..เจือกรู้อีก.. มันว่าพยายามหารองเท้า ให้ฉันแล้ว แต่ขนาดเท้าของฉันน่ะหายาก..อันนี้ฉันก็รู้เพราะฉันเท้ายาวกว่า ผู้หญิงทั่วๆไปจริงๆ...ต้องยอมรับสภาพค่ะ..อิอิ แตะก็แตะ หลังจากได้รองเท้าแล้ว...ฉันก็จัดการกับรองเท้าข้างซ้ายที่เหลือทันที... ทำไงหรอค่ะ? ฉันก็จัดการให้มันไปตามคู่มันข้างขวาซะเลย..บางทีมันอาจ จะไปเจอกันก็ได้..ใครจะไปรู้...ก็มันเกิดมาเพื่อคู่กันนี่นา.. เรื่องราวจุ๊กจิ๊กของฉันจริงๆมันยังมีอีกเย๊อะค่ะ...แต่ละวันมักมีเหตุการณ์ ต่างๆเกิดขึ้นตลอด...สำหรับวันนี้เป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น..อิอิ ถ้ามีโอกาส จะมาเล่าให้ฟังอีกและขอขอบคุณท่านผู้มีอุปการะคุณทุกท่านที่มานั่งฟังค่ะ จากใจจริงๆของลิงคลองสาน...บายค่ะ เทียนหยด ภาพประกอบ....www.toeianim.co.jp อีโมชั่น............www.yenta4.com
เมื่อหลายวันก่อนฉันมีภาระกิจบางอย่างที่ต้องรีบไปทำ... และก็ไม่พ้นที่จะต้องใช้บริการรถแท๊กซี่อีกตามเคย.. ประมาณว่าเราเกิดมาเพื่อคู่กัน..อิอิ แต่วันนี้กับวันนั้น (วันที่ฉันเคยมาลงเรื่องสั้น เก็บตกยกมาเล่า) ต่างกันสุดขั้ว... ทันทีที่ฉันแทรกตัวเข้าไปนั่งในรถแท๊กซี่ หวัดดีครับ เสียงทักทายดังขึ้นจากคนขับ หวัดดีค่ะ ฉันกล่าวตอบ ไปไหนครับคุณ เขาถามกลับมา สวนจตุจักรค่ะ ฉันบอกพร้อมกับยิ้มให้เขานิดๆ เพียงแค่คำทักทายและคำพูดที่สุภาพก็ทำให้ฉันรู้สึกดีแล้ว ขณะที่รถกำลังวิ่ง ฉันก็เริ่มสังเกตุ ซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นเรื่องที่ แสนจะปกติของฉันเลยหล่ะ..เวลาขึ้นแท๊กซี่ ฉันจะเริ่มดูตั้งแต่ หน้าคนขับใบอนุญาติขับขี่ เรื่อยมาจนถึงทะเบียนรถ.. อย่างที่ทราบข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์ต่อผู้โดยสารอย่างเรา ฉันพึ่งสังเกตุเห็นว่าคนขับแท๊กซี่เป็นไอ้หนุ่มผมยาว..แต่เขา มัดรวบไว้ด้านหลังและใส่หมวกปิดก็ดูเรียบร้อยดี.. เสียงเพลงเบาๆที่เขาเปิดฟังในรถ..บ่งบอกที่บุคลิกเขาได้ดี เพลงเพื่อชีวิต (ใครหว่า..) ว๊าวว..เพลงโปรดฉันด้วย เรื่อรักกระดาษ ของมาลีฮวนน่า.. ดูเขาเป็นคนใจเย็น สังเกตุจากการขับรถ..อืม ท่าจะฤกษ์ดีแล้วเรา กำลังฟังเพลงเพลินๆ รถที่วิ่งมาเรื่อยๆ ก็เป็นอันต้องชะลอหยุดเพราะ ถนนตรงหน้า รถเริ่มจะติดแล้ว..มันใกล้พักเที่ยงด้วย ฉันเพิ่งนึกได้.. แต่ไม่เป็นไรฉันไม่ได้รีบ..ชิวๆสำหรับวันนี้ ฉันมองโน่น นี่ นั่น ไปตามเรื่องตามราว เสียงเพลงเพื่อชีวิตยังคงดัง เบาๆ..และทันทีที่ฉันหันกลับมามองภายในรถ ฉันเห็นคนขับแท๊กซี่ เขากำลังทำอะไรสักอย่างง่วนเชียว..ฉันอดไม่ได้ที่จะขะโงกหน้ามอง นิดหนึ่ง..เหมือนสอดรู้สอดเห็นเลยเรา..ฮ่าๆก็น๊ะ..ขอสักนิดเถอะ.. ภาพตรงหน้าทำให้ฉันแทบไม่อยากละสายตาเลยค่ะ ฉันเห็นเขากำลังขมักเขม้นกับการปักเข็มที่มีด้ายสีชมพูลงบนผ้าสี่เหลี่ยม ผืนเล็กๆผืนหนึ่ง...ท่าทางเขาคงจะรู้สึกว่าฉันมองเขาอยู่....และเขาก็คงเดา ความคิดของฉันได้ว่าฉันคงสงสัยในสิ่งที่เขาทำนั่นหล่ะ ทำให้ลูกสาวครับ เขาพูดให้ความกระจ่างพร้อมกับอมยิ้มนิดๆ จริงหรอค่ะ ดีจังเลย ฉันพูดจากความรู้สึกจริงๆ ลูกสาวอายุเท่าไรแล้วค่ะ เริ่มเป็นนายทะเบียนแล้วเรา..หุหุหุ เจ็ดขวบครับ นี่ก็ทำมาหลายวันแล้วคุณดูซิจากผ้าสีฟ้าตอนนี้กลาย เป็นสีอะไรแล้วก็ไม่รู้ เขาพูดไปหัวเราะไป...ฉันเลยอดหัวเราะไปกับเขาไม่ได้ ดีค่ะ อย่างน้อยมันก็ทำให้เพลินเวลารถติดแบบนี้ ครับ รถติดที ผมก็หยิบมาทำที บางครั้งก็ลืมเรื่องรถติดไปเลย เขาพูดยิ้มๆ ท่าทางจะเป็นคนใจดีแฮ่ะ..ฉันแอบคิด และภายใต้มือที่ดูหยาบกระด้าง แต่กลับซ่อนความนุ่มนวลในขณะที่เขาปักเข็มลงบนผ้าได้อย่างประหลาด และฉันก็รู้ดีว่างานแบบนี้มันไม่ใช่ของง่ายสำหรับผู้ชายเลย..แต่สิ่งที่อยู่ ตรงหน้ามันบ่งบอกได้ดีว่า..เขาพยายามทำเพื่อคนที่เขารักนั่นเอง... ตรงนี่หล่ะที่ฉันอดที่จะแอบชื่นชมไม่ได้จริงๆ ^-^ เนี่ยลูกสาวผมร่ำร้องมาหลายอาทิตย์แล้วว่าอยากได้ ผ้าปักลายหมีพูห์ เขาชวนฉันคุยต่อ แม่เขาก็ไม่ทำให้ เพราะไม่มีฝีมือทางด้านนี้ ผมเลยคิดว่าลองทำดูดีกว่า คงไม่ยากเกินไปนัก เขาพูดในขณะที่มือเขาก็ยังคงปักไปเรื่อยๆ อืม..ผู้หญิงบางคนก็มีค่ะที่ไม่ชอบงานฝีมือแบบนี้ ฉันบอกเขายิ้มๆ ผมสงสารลูกน่ะครับ ไม่อยากให้ผิดหวัง พอทำๆไป มันก็เพลินบางที ไฟเขียวแล้วผมออกรถแทบไม่ทันโดนบีบ แตรไล่จากรถคันหลังบ่อยๆ ฉันกับเขาหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน แล้วนี่ทำมากี่วันแล้วค่ะ สิบกว่าวันครับ ไม่เสร็จซะที จนผ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้วนี่ ไม่เป็นไรหรอก พอทำเสร็จแล้วซักมันก็สวยเหมือนเดิมค่ะ ฉันให้กำลังใจเขา นับเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ฉันได้พูดคุยกับคนขับรถแท๊กซี่ด้วยความ รู้สึกดีๆและฉันสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนของคนเป็นพ่อคนหนึ่งที่มีต่อ ลูกสาวได้เป็นอย่างดีทีเดียว...ถึงแม้จะได้พูดคุยกับเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็พอจะดูออกว่าเขาต้องเป็นพ่อบ้านที่ดีมากๆคนหนึ่ง..เวลาเขาพูดถึง ลูกและภรรยาดูหน้าตาเขามีความสุขดีจัง...ถ้าดูจากบุคลิกภายนอกแล้ว แทบจะมองไม่ออกว่าเขาจะเป็นคนละเอียดอ่อนได้ขนาดนี้.. เพราะแค่เพียงภาพลักษณ์ภายนอกนั้นบอกอะไรเราไม่ได้จริงๆเลยค่ะ กว่าจะพ้นช่วงที่รถติดออกมาได้กินเวลาไปประมาณ ครึ่งชั่วโมงกว่า... รถวิ่งมาได้สักพักก็ถึงสวนจตุจักรฉันชำระค่าโดยสารเสร็จ ก่อนลงจากรถ ฉันมิวาย พูดกับเขาส่งท้าย ทำให้สำเร็จนะคะคุณ..เพื่อลูก ครับผม ขอบคุณครับ โชคดีนะครับ เขายิ้มให้ฉันก่อนจะออกรถไป แม้ว่าจะลงจากรถได้สักพักแล้ว..ฉันก็ยังเดินไปอมยิ้มไปโดยไม่ได้สนใจ ว่าคนรอบข้างจะมองและคิดว่ายังไง... แค่ช่วงเวลาเพียงสั้นๆ..กลับทำให้ฉันมีความรู้สึกดีๆได้ตลอดทั้งวัน ทั้งๆที่วันนั้นแดดค่อนข้างจะร้อนมากแต่ทว่าใจฉันกลับสงบเยือกเย็นดีจริงๆ ฉันว่าความสุขที่แท้จริงมันหาได้จากรอบๆตัวเรานั่นเอง...ไม่ต้องดิ้นรนหา จากที่ไหน..และคนเราไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไรก็ตามที่สุจริต.. และทำมันอย่างเต็มกำลังความสามารถ....ที่สำคัญมีความสุขกับสิ่งที่ทำ... เพียงเท่านี้เราก็ดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขแล้วค่ะ.... วันดีๆอาจไม่ได้มีทุกวัน..แต่สำหรับฉันแค่ช่วงเวลาสั้นๆ..นั่นก็ดีพอแล้ว! "เทียนหยด"
เที่ยงวานนี้ฉันต้องไปทำธุระที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แต่เนื่องจากมีสัมภาระที่ค่อนข้างจะหนักเอาการ ก็เลย ต้องใช้บริการรถแท๊กซี่..ฉันหอบหิ้วสัมภาระมายืนรอรถ อยู่สักพัก..นึกแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมวันนี้รถแท๊กซี่ ไปไหนกันหมด..ปกติจะเห็นวิ่งผ่านตลอดนี่นา โน่นๆ มาแล้ว..ฉันโบกมือเรียก ทันทีที่รถจอดตรงหน้า ฉันชะงักนิดหนึ่งมองเห็นสภาพรถแล้ว..แทบไม่อยากจะ ใช้บริการเล้ยยให้ตายซิเอ้า...ไม่ใช่ว่าเป็นคนเรื่องมากนะคะ แต่สภาพรถตั้งแต่หน้ายันท้าย มีแต่รอยวีรกรรมทั้งน้าน.. แถมยังเป็นรถรุ่นเก่าด้วยแล้วมันจะถึงที่หมายรึป่าวหว่า? ฉันคิดในใจ แต่เอาเถอะน่า..ยังไงก็ต้องไปหล่ะ เรียกแล้วนี่.. เวลาก็มีจำกัดเสียด้วยซิ... ทันทีที่เข้าไปนั่งเบาะหลัง..กลิ่นที่ไม่ค่อยพึงประสงค์ก็ลอยมา เตะจมูก...มันคล้ายๆกับกลิ่นสาบอะไรสักอย่าง..แถบแอร์ก็แทบ ไม่มีความเย็นให้เปิดกระจกรับลมถ้าจะดีกว่าน๊ะนี่...ตอนแรก ฉันก็คิดว่าร่างกายเราคงยังปรับไม่เข้าที่ เพราะฉันยืนอยู่กลางแดด นานพอควร..คงต้องรอสักครู่น่า..ฉันปลอบใจตัวเอง..เวลาผ่านไป ประมาณเกือบสิบนาทีฉันก็ยังไม่รู้สึกว่าแอร์มันเย็น ฉันเลยบอกกับ คนขับว่า คุณค่ะ ช่วยเร่งแอร์ให้เย็นกว่านี้หน่อยได้มั๊ยคะ เงียบ...ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียกค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ หรือคนขับจะหูตึงหว่า? ฉันแอบคิด เสียงเราก็ออกจะดัง แล้วก็นั่ง ใกล้กันแค่นี้ทำไมไม่ได้ยินเนี่ย...ลองพูดประโยคเดิมอีกครั้ง...เงียบ อีกแล้วค่ะท่าน..รัยว๊า? ฉันเริ่มหงุดหงิด ไอ้ที่ใช้บริการรถแท๊กซี่เนี่ย ไม่เพราะเราต้องการนั่งสบายๆหรือนี่.. ไม่ได้เรียกมาขับให้นั่งฟรีๆนาเฟร้ย..เงินก็จ่าย ถ้าคนขับพูดสักคำว่า แอร์มันใกล้กลับบ้านเก่าตามรถและ..หรือพูด อะไรก็ได้ที่ทำให้ฉันรู้สึกดีกว่านี้ไม่ใช่เป็นคนบ้า พูดอยู่คนเดียวแบบนี้ ฉันก็คงไม่คิดอะไรมากมาย...แต่นี้ทำเป็นไม่ใส่ใจซะงั้น..ฉันเริ่มนับหนึ่ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะถึงสิบหรือเปล่า...นี่ถ้าไม่ติดว่ามีข้าวของเยอะแยะฉันคงให้ จอดกลางทางแล้วหารถคันใหม่แทนซะ....บรรยากาศภายในรถ คงไม่ต้อง บอกนะคะว่ามันแย่ขนาดไหน...ฉันนั่งนิ่งสูดกลิ่นสาบมาตลอดเส้นทาง จนกระทั่งใกล้ถึงห้างฉันรีบบอกว่า ช่วยเลี้ยวขึ้นไปบนลานจอดรถ ชั้นสองให้ด้วยนะคะ ดู๊ดูซิ..ขนาดอารมณ์ไม่ค่อยดีฉันยังยอมพูดดีๆน๊ะเนี่ย..ทั้งๆที่ไม่อยาก จะพูดเลยให้ตายซิเอ้า...คราวนี้มีเสียงตอบรับค่ะ แท๊กซี่ไม่ขึ้นไปบนลานจอดหรอกครับ ห๊า! ฉันหูฝาดไปหรือเปล่านี่... เป็นครั้งที่สองแล้วที่ฉันถูกปฏิเสธแบบนี้...ครั้งแรกที่เจอยังเคยเล่าให้ โคลอน กะ ฉางน้อยฟังเลยเพราะมันเพิ่งเกิดได้ไม่นานเท่าไร..ไม่คิดว่า จะเจออีกแล้ว..เหอๆๆ อีกอย่างหนึ่งเพราะฉันรู้ว่าหน้าห้างมันจอดไม่ได้จึงบอกให้เขาขึ้นไปบน ลานจอดในห้างเพื่อว่าลงจากรถแล้วจะได้ขึ้นลิฟท์เลยอย่างน้อยก็ทุ่นแรง ในการขนของได้บ้าง....ฉันเลยพูดกลับไปว่า ฉันมีของเยอะแยะจะให้แบกไปยังไง เขาตอบมาว่า จะจอดให้หน้าห้าง อ๊ะๆ ตอบแบบนี้มันตอบไม่ตรงคำถามนี่หว่า... รู้ทั้งรู้ว่าเขามีป้ายห้ามรถอื่นเข้ามาจอดยกเว้นรถเมล์ประจำทาง นอกนั้นต้องเลยหน้าห้างไปจะลักไก่เข้ามาก็ไม่ได้..เพราะมีตำรวจยืนอยู่ ฉันเริ่มโมโหจริงๆแล้วคราวนี้แต่ดูเหมือนคนขับเขาไม่สนใจสักนิด... ใช่ว่าขึ้นไปบนลาดจอดแล้วมิเตอร์มันจะหยุดเดินเมื่อไหร่....ขนาดฉัน บอกเหตุผลแล้ว เขายังไม่สนแค่นี้ก็บอกถึงความมีน้ำใจของคนได้แล้ว ไม่น่าเกิดเป็นคนไทยเล๊ยยย...ให้ตายซิ เขาขับเลยหน้าห้างไปแล้วก็ชิดซ้ายจอด ฉันมองดูระยะทางที่ฉันต้องเดินย้อน กลับมาก็พอประมาณเหมือนกัน...ทันทีที่รถกำลังจะชิดจอด เขาถามฉันว่า " มีแบงค์ย่อยหรือเปล่า" ฉันมองไปที่มิเตอร์ ค่าโดยสารมัน 55 บาท ฉันก็บอกว่ามีไม่พอค่ะ มีแต่แบงค์ร้อย... นั่นยังพูดดีมีค่ะขาอีกวุ๊ย..เรา ทั้งๆที่ในใจเดือดปุปุ ... เขาบอกเขาไม่มีทอน...กรรมของตรูซะจริงๆเล๊ยยย... ฉันคิดในใจ แล้วทำไงดีหล่ะตรงนั้นไม่มีร้านค้าซะด้วยซิ ฉันมองย้อนกลับมาหน้าห้าง เห็นมีมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ก็เลยบอกว่าให้เขา ถอยลงไปอีกนิดก็ได้เดี๋ยวจะไปแลกที่วินมอเตอร์ไซค์ให้...เขาก็ไม่ยอมถอย กลับเดินหน้าไปอีกแน่ะ..ฉันก็บอกว่าจะเดินหน้าไปไหนมันก็ไม่มีที่ให้แลก เขาไม่สนค่ะ จังหวะนั้นมีกลุ่นนักศึกษาชายหญิงกำลังเดินผ่านมา..เขาจึง ตะโกนเรียกแล้วพูดว่า "น้องๆขอแลกแบงค์ร้อยหนึ่งดิ" คำพูดแบบนี้ ถ้าเป็นคุณๆจะให้แลกมั๊ยหล่ะ... ฉันเลยพูดขึ้นว่า ใครเขาจะให้แลก.. มาตะโกนโหวกเหวกแบบนี้ เท่านั้นยังๆไม่ซะใจท่านค่ะ เพราะเหลือบไปเห็นป้าคนหนึ่งกำลังนั่งแยกพวกขวด พลาสติกอยู่ ก็ตะโกนเรียกอีก แล้วก็รับทานแห้วไปตามระเบียบ... ฉันชักทนไม่ไหวแล้ว เลยบอกไปว่า รอตรงนี้หล่ะ ฉันไม่หนีไปไหนหรอก จะไปแลกที่วินรถให้...เขาก็ไม่ฟังแถมขับขึ้นไปอีกแน่ะ.. พอดีตรงนั้นจะมีร้านขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ เขาบอกให้ฉันไปแลกที่ร้านนี้หล่ะ.. ฉันไม่พูดแล้วเพราะอารมณ์กำลังขึ้น ฉันลงจากรถทันทีซึ่งเวลาขณะนั้นประมาณ เที่ยงกว่า คนก็เริ่มทยอยมานั่งกินกันเต็มร้าน แถมยังมีคนรอซื้ออยู่หน้าร้านอีก สองสามคน... ถามหน่อยเถอะค่ะ ว่าใครเขาจะมีอารมณ์มาหยิบเงินให้แลกเนี่ย.. ฉันเดินไปหยุดหน้าร้าน แม่ค้ากำลังง่วนกับการลวกก๋วยเตี๋ยวตรงหน้า..ทำไงดีหว่า ฉันคิดแล้วมองเข้าไปในร้าน เห็นตู้แช่น้ำขวดตั้งอยู่ ฉันปราดเข้าไปหยิบน้ำเปล่า ออกมาหนึ่งขวดพร้อมกับยื่นแบงค์ร้อยให้..แม่ค้ามองหน้าฉันคล้ายกับว่าอยาก จะพูดอะไรสักอย่างแต่แล้วก็ไม่พูด..หากสายตาที่มองนั้นฉันก็รับรู้ได้ว่าคงคิด ตำหนิฉันในใจน้ำขวดละแปดบาทให้แบงค์ร้อย ..ฉันเลยรีบพูดว่า "ขอโทษด้วยนะคะเศษแบงค์ไม่มีจริงๆ" ฉันรับเงินทอนมา ..ยังไม่ทันได้ก้าวออกจากร้าน.. เสียงแตรรถดังลั่น พ่อเจ้าประคุณเอ๊ย!แท๊กซี่นั่นเอง...หนอยแน่ะ..ถ้าจะกลัวไม่ได้ค่าโดยสารหล่ะซิ เดี๋ยวแม่แกล้งเดินหนีซะเลยนี่...คนรัยว๊า ฉันเดินไปยื่นเงินให้โดยไม่แม้แต่จะมอง หน้าเขาซึ่งปกติ ถ้าค่ารถห้าสิบห้าบาท ฉันมักจะให้หกสิบทุกครั้ง แต่สำหรับรายนี้ เจ้าอย่าหวัง...สตางค์เดียวก็ไม่ได้แอ้ม....ห้าสิบห้าบาทขาดตัวเฟร้ยยยย หลังจากนั้นคนสวยต้องรับบทหนักค่ะ ก็ของที่ขนมานั่นหล่ะมันหนักจริงๆค่ะ... กว่าจะเดินมาถึงห้างเล่นเอาเหงื่อตก... นี่ถ้าเขาถามฉันก่อนขึ้นรถว่ามีแบงค์ย่อยมั๊ย...เหตุการณ์แบบนี้ก็คงจะไม่ เกิดขึ้นแน่นอนว่าไหมค่ะ...เฮ้อ..วัยรุ่นเซ็ง!!!!! เล่าเรื่องโดย..... เทียนหยด ^-^
นั่นน่ะซิ...มีไปทำไม? >>เป็นวาทะศิลป์ ของท่าน ว.วชิรเมธี >>กราบขอบพระคุณท่านด้วยเจ้าค่ะ และขอขอบคุณ เพื่อนที่แบ่งปันพร้อมด้วยผู้จัดทำมา ณ โอกาสนี้ด้วยค่ะ เทียนหยด ^-^