3 กรกฎาคม 2547 14:03 น.
เต่าน่ารัก
นิทานสอนใจ (เรื่องของหมา) please read it !!!!
เรื่องของหมา (คนไม่เกี่ยว)
เจ้าของร้านขายเนื้อสดคนหนึ่งรู้สึกประหลาดใจที่หมาตัวหนึ่งมาที่ร้าน
โดยในปากมันคาบแบงก์
10 ดอลลาร์และกระดาษเขียนข้อความว่า "ขอซื้อไส้กรอก 12 ชิ้นกับ ขาแกะ 1 ขาครับ"
เขารู้สึก ประทับใจความแสนรู้ของมัน ดังนั้น
หลังจากเก็บเงิน 10 ดอลลาร์ และเอาไส้กรอกและขาแกะใส่ถุง
แขวนที่ปากให้มันคาบไปแล้ว เขาจึงตัดสินใจปิดร้านสะกดรอยตามมันไป
หมาตัวนั้นเดินไปตามถนนจนถึงทางม้าลาย มันก็วางถุงที่คาบไว้ลงแล้วยืนด้วยขาหลังและยกขา
หน้ากดปุ่มไฟสำหรับคนข้ามถนนแล้วก็คาบถุงต่อ
รอจนไฟคนข้ามเขียวมันจึงข้ามไปยังป้ายรถเมล์อีกฝั่งหนึ่ง
มันจ้องมองตารางเวลาเดินรถแล้วนั่งลงตรงที่นั่งรอ สักพักมีรถเมล์คันหนึ่งมา
มันเดินไปดูหมายเลขที่ หน้ารถแล้วก็กลับมานั่งรอต่อ
อีกสักเดี๋ยวก็มีรถเมล์มาอีกคัน
มันเดินไปดูหมายเลขรถอีก เมื่อเห็นว่าเป็น
สายที่มันรออยู่ มันจึงขึ้นรถเมล์คันนั้น
คนขายเนื้อถึงกับอ้าปากค้างทึ่งในความแสนรู้ของมัน
แล้วรีบตาม มันขึ้นรถคันนั้นไป หลังจากรถวิ่งผ่านกลางเมืองออกไปยังชานเมือง
เจ้าหมาแสนรู้ก็ลุกจากที่นั่งเดินไปหน้ารถ มันยืนด้วยขาหลังแล้วเอาขาหน้ากดกริ่งบนรถ
เมื่อรถจอดมันก็ลงและเดินไปตามถนนจนถึงหน้าบ้านหลังหนึ่ งแล้วเลี้ยวเข้าไป
คนขายเนื้อยังสะกดรอยตามมันอยู่ห่างๆ เช่นเดิม
เมื่อมาถึงประตูบ้านที่ปิดอยู่มันก็วางถุงไส้กรอกที่คาบไว้ลง
แล้วถอยหลังมาตั้งหลักประมาณ 2-3 เมตร จากนั้นก็วิ่งเข้าชนประตูเต็มแรง
มันพยายามอยู่ 2-3 ครั้ง แต่ประตูก็ยังเปิดไม่ออก
มันเลยเดินอ้อมตัวบ้านไปที่หน้าต่างบานหนึ่งที่ปิดอยู่และเอาหัวโขกที่หน้าต่าง
หลายครั้ง แล้วก็เดินกลับมารอ ที่ประตู
สักพักประตูบ้านก็ถูกเปิดโดยเจ้าของหมาเป็นผู้ชายหุ่นล่ำบึ้ก
ซึ่งพอเปิดประตูเสร็จเขาก็เริ่มเตะต่อยและตะโกนด่าเจ้าหมาแสนรู้ตัวนั้นทันที
ถึงตอนนี้คนขายเนื้ออดรนทนไม่ไหว เขารีบวิ่งเข้าไปห้าม
เจ้าของหมา พร้อมกับถามว่า "คุณเตะมันทำไมกัน
มันเป็นหมาสุดอัจฉริยะ เท่าที่ผมเคยเห็นมาเลย ถ้าไปออกทีวีต้องดังแน่"
เจ้าของหมาตอบสวนทันทีว่า "คุณว่ามันฉลาดนักเหรอ เชอะ!
รู้มั้ยว่านี่เป็นครั้งที่สองในรอบสัปดาห์นี้นะที่มันลืมเอากุญแจบ้านติดตัวไปด้วย"
คติสอนใจจากเรื่องนี้คือ
"เราอาจทำงานได้เกินความคาดหมายในสายตาผู้อื่น แต่ก็ยัง
ทำงานได้ต่ำกว่าเป้าหมายในสายตาของนายเราเสมอ"
1 กรกฎาคม 2547 11:12 น.
เต่าน่ารัก
เรื่องเล่าขานว่า2 คน เป็นเพื่อนรักกัน
เจอปัญหา มาตลอดแต่ต้องช่วยกันแก้ไขได้เสมอมาจนกระทั่งมาถึงจุดระเบิดทั้ง 2 คน
ทะเลาะกันเพราะความคิดเห็นไม่ตรงกัน เพื่อนคนหนึ่งเลยตบหน้าอีกคนหนึ่ง
คนที่ถูกตบหน้านั้นเสียใจมาก จึงเขียนบนพื้นทรายว่า
วันนี้เพื่อนรักได้ตบหน้าฉัน
สองเกลอเดินทางต่อไปอีกจนถึงแหล่งน้ำ ทั้งสองคนตัดสินใจว่าจะอาบน้ำกัน
เพื่อนคนที่โดนตบหน้าผลีผลามเกินไป เผลอเหยียบหลุมทราย เกือบโดนทรายดูด
โชคดีที่เพื่อนช่วยดึงเอาไว้ และช่วยชีวิตเขาไว้ได้ เขาจึงเขียนลงไปบนก้อนหินใกล้แหล่งน้ำนั้นว่า
วันนี้เพื่อนรักได้ช่วยชีวิตฉันไว้ เพื่อนคนที่ตบหน้าและได้ช่วยชีวิตเขาไว้ ป ระหลาดใจจึงถามว่า
ทำไมหลังจากที่ฉันทำให้เธอเสียใจ เธอเขียนไว้บนทราย
และตอนนี้ทำไมเขียนไว้บนก้อนหินหล่ะ ? เพื่อนอีกคนเลยตอบว่า
ถ้าใครบางคนทำให้เราเสียใจ จงเขียนไว้บนทราย เพื่อที่เวลาลมแห่งการให้อภัยพัดผ่านมา
ข้อความก็จะถูกลบไปเอง แต่ถ้าใครบางคนทำสิ่งที่ดี ๆ
ให้กับเราเราต้องบันทึกไว้บนหินเพราะลมจะลบข้อความบนหินไม่ได้ จงจำไว้และเรียนรู้ว่า สิ่งใดที่ทำให้คุณเสียใจจงบันทึกมันไว้บนพื้นทรายและจงสลักความดีงามไว้บนหิน
1 กรกฎาคม 2547 11:06 น.
เต่าน่ารัก
เรื่องเล่าขานว่า2 คน เป็นเพื่อนรักกัน
เจอปัญหา มาตลอดแต่ต้องช่วยกันแก้ไขได้เสมอมาจนกระทั่งมาถึงจุดระเบิดทั้ง 2 คน
ทะเลาะกันเพราะความคิดเห็นไม่ตรงกัน เพื่อนคนหนึ่งเลยตบหน้าอีกคนหนึ่ง
คนที่ถูกตบหน้านั้นเสียใจมาก จึงเขียนบนพื้นทรายว่า
วันนี้เพื่อนรักได้ตบหน้าฉัน
สองเกลอเดินทางต่อไปอีกจนถึงแหล่งน้ำ ทั้งสองคนตัดสินใจว่าจะอาบน้ำกัน
เพื่อนคนที่โดนตบหน้าผลีผลามเกินไป เผลอเหยียบหลุมทราย เกือบโดนทรายดูด
โชคดีที่เพื่อนช่วยดึงเอาไว้ และช่วยชีวิตเขาไว้ได้ เขาจึงเขียนลงไปบนก้อนหินใกล้แหล่งน้ำนั้นว่า
วันนี้เพื่อนรักได้ช่วยชีวิตฉันไว้ เพื่อนคนที่ตบหน้าและได้ช่วยชีวิตเขาไว้ ป ระหลาดใจจึงถามว่า
ทำไมหลังจากที่ฉันทำให้เธอเสียใจ เธอเขียนไว้บนทราย
และตอนนี้ทำไมเขียนไว้บนก้อนหินหล่ะ ? เพื่อนอีกคนเลยตอบว่า
ถ้าใครบางคนทำให้เราเสียใจ จงเขียนไว้บนทราย เพื่อที่เวลาลมแห่งการให้อภัยพัดผ่านมา
ข้อความก็จะถูกลบไปเอง แต่ถ้าใครบางคนทำสิ่งที่ดี ๆ
ให้กับเราเราต้องบันทึกไว้บนหินเพราะลมจะลบข้อความบนหินไม่ได้ จงจำไว้และเรียนรู้ว่า สิ่งใดที่ทำให้คุณเสียใจจงบันทึกมันไว้บนพื้นทรายและจงสลักความดีงามไว้บนหิน
22 มิถุนายน 2547 10:03 น.
เต่าน่ารัก
ปลาทูมหัศจรรย์
กาลครั้งหนึ่งมีเมืองที่สวยงามมากแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนยอดดอยอันสูงตระหง่า พระราชาและราชินีปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรม ชาวเมืองจึงอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข
>>>>>วันหนึ่งท้องฟ้าที่เคยสดใสก็พลันมืดครึ้มมีเสียงลมพัดอื้ออึงดังหวัดหวิวไปทั่ว เป็นสัญญาณเตือนให้ชาวเมืองรีบหาที่กำบังเพื่อหลบภัย ทันใดนั้นมีวัตถุลึกลับหล่นมาจากฟากฟ้าเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แรก ๆ ไม่มีชาวเมืองคนใดกล้าออกไปดู ว่า เป็นสิ่งใดจนกระทั่งลมสงบลง ฟ้าเริ่มกระจ่างใสอีกครั้ง ชาวเมืองผู้กล้าคนที่หนึ่ง คนที่สอง คนที่สาม จนถึงคนที่สิบ คนที่ห้าสิบ คนที่หนึ่งร้อย และคนที่เริ่มโผล่หน้าออกมาดูวันถุนั้นใกล้ ๆ อย่าง ระมัดระวัง
ผิวมันนุ่มนิ่ม จังเลย ใครคนหนึ่งตะโกนออกมา และกวาดตามองจนรอบวัตถุนั้น รูปร่างเหมือนปลาทู
ฉับพลันเสียงฮือฮาจากชาวเมืองก็ดังขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกัน มันก็คือ ปลาทูยักษ์ นั่นเอง ทุกคนต่างรีบวิ่งกลับเข้าบ้านและกลับออกมาพร้อมด้วยมีด จาน ชาม หม้อ กะละมัง ถัง และอื่น ๆ เท่าที่จะหาได้ และตรงเข้าไปเฉือนปลาทู เอามาใส่ภาชนะของตนความโกลาหลวุ่นวายเกิดขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากเมืองนี้อยู่บนดอย การได้ลิ้มลองรสเนื้อปลาทู จึงเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่งนัก
ทุกคนต่างยื้อแย่งกัน นานเข้า ๆ ก็เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน จนต่างฝ่ายต่างเหน็ดเหนื่อย และบาดเจ็บไปตาม ๆ กัน ทุกคนเริ่มหยุดพักและฟังคำพูดของพระราชาพระราชินี
พวกเจ้ายื้อแย่งกันไปทำไม พวกเจ้าสังเกตเห็นไหมว่าปลาทูตัวนี้มีขนาดใหญ่มาก ถ้าเราจะแบ่งกันดี ๆ ก็จะได้รับประทานกันทั่วทุกคนแล้วเราก็ยังจะมีไว้รับประทานได้อักหลายวัน พอได้ฟังดังนั้นชาวเมืองเริ่มได้สติ ความละโมบค่อย ๆ หายไป
หลังจากนั้นพระราชาได้สั่งให้ทหารจัดแบ่งเนื้อปลาทูให้ชาวเมืองทุกคนอย่างยุติธรรม ชาวเมืองทุกคนได้รับประทานเนื้อปลาทูกันทุกคน.