28 เมษายน 2547 18:55 น.
เด็ก(บ้าน)นอก
วันที่เราเป็นเพื่อนกันมันช่างมีความสุขจนลืมไม่ลง แต่ฉันก็ยังไม่รู้ความรู้สึกของเธออยู่ดีว่าคิดอย่างไร
ฉันภาวนาขอให้เราเป็นแบบนี้กันไปตลอด ฉันพอใจแล้วกับสิ่งๆนี้ สิ่งที่ฉันหรือใครๆเรียกมันว่าความเป็นเพื่อน
การได้เป็นเพื่อนกับเขาเป็นพรอันแสนวิเศษณ์ที่พระเจ้าประทานมาให้กับฉัน และฉันก็ไม่ต้องการอะไรอีกเลย
แต่ฉันก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับฉัน เรื่องที่ฉันคาดไม่ถึง และยังทำใจรับมันไม่ได้
มันเร็วเกินไปสำหรับเรา เร็วมากจนฉันตั้งตัวไม่ติดและไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องจริงที่ฉันจะต้องพบเจอ
ทันทีที่คำๆนั้นหลุดออกมาจากปากเขา ฉันแทบคลั่ง เขาต้องไปขากฉัน เราต้องจากกัน เขาจำเป็น เขามีทางเดิน
ทางที่เขาเลือกเอง ไม่มีใครกำหนด เขาพร้อมที่จะลาจากฉันได้ทุกเมื่อ แต่ฉันไม่ ฉันยังยึดติดกับเขา
ฉันจะต้องจากเขาไป เราจะไม่พบกัน แม้แต่คุยกันทางโทรศัพท์ก็จะไม่มีอีกแล้ว แล้วฉันจะอยู่ยังไง
ทำไมเขาไม่อำฉันอีกล่ะ ทำอย่างที่เขาทำบ่อยๆ หลอกให้เราเสียใจ แล้วสุดท้ายก็ทำให้ยิ้มออก แต่คราวนี้
มันไม่เหมือนเมื่อก่อน เธอไม่ได้หลอก เธอพูดความจริง ความจริงที่มันจะทำให้ฉันทรมานไปอีกตั้งเท่าไหร่
ฉันจะขาดใจตาย ฉันโอเวอร์ไปมั้ง ไม่หรอกไม่นานฉันก็จะลืม เขาบอกกับฉัน เดี๋ยวก็รู้ ใช่สิ เดี๋ยวก็รู้
เดี๋ยวก็รู้ว่าใครจะลืมใครก่อน เขาบอกฉันว่าจะไปติดสาวเหนือ ฉันรู้ว่าเขาพูดเล่น หมอนี่อำจนเคยตัว
การจะลืมมันยากนะ ฉันไม่มีทางลืมหรอก ฉันจะรอเธอตลอดไป นานแค่ไหนก้รอได้ เพื่อเพื่อนที่จะไม่ทิ้งกัน
ฉันสัญญา
26 เมษายน 2547 11:02 น.
เด็ก(บ้าน)นอก
คนเราถ้าสนิทกันก็จะเกิดอาการทะเลาะกันได้เอาเสียง่าย ๆ เราจะเขาก็ออกจะบ่อยเลย
ส่วนมากเราจะงอนเขาเป็นส่วนใหญ่เพราะเรามันขี้งอน ขี้ใจน้อย งี่เง่า (ด่าตัวเองทำไม)
ก็มีอยู่ครั้งนึงนะที่ทำให้คนแบบฉันร้องไห้ออกมาเลยก็มี
เรื่องมันก็มีอยู่ว่า...
ฉันโกรธกับเขาส่วนจะเรื่องอะไรฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน (เพราะฉันจำไม่ได้)
มันเป็นวันก่อนสอบเรางอนมากออกอาการเลยแหละตอนนั้น
เขาก็รู้แต่แกล้งไม่รู้เราก็นั่งน่าตูมอยู่ตรงนั้นตรงหน้าเขานั่นแหละจำได้นะว่าวันนั้น
เขาพูดกะเรานุ่มนวลมากเลยล่ะจนเรารู้สึกไม่กล้าโกรธเขาเลยแต่ก็จะให้หายได้ไงเมื่อ
เขาไม่ถามสักคำว่าเราเป็นอะไรก็เลยไม่คุยกันเลยตั้งแต่ตอนนั้นจนกระทั่งอีกวันเขาไปทำงานบ้านเพื่อนฉัน
มันเป็นงานกลุ่มก็ยกโขยงกันไปเราก็เลยโทรไปขอโทษเพื่อนเพราะไปโวยวายเรื่องโกรธเขากับเพื่อนไว้
จนเพื่อนหัวเสียกลายเป็นหาเรื่องชาวบ้านไปทั่ว พอคุยกะเพื่อนเสร็จเขาก็มาคุยเราได้ถามคำถามนึงไป
มันทำให้น้ำตาที่จะไหลล้นออกมาฉันอ่อนแออย่างไม่น่าให้อภัยทำไมฉันต้องมีน้ำตากับเรื่องงี่เง่า
ฉันพยายามที่สุดที่จะไม่ให้เขารู้ว่าฉันอ่อนแอฉันจึงเลิกคุยกับเขาแล้วบอกว่าจะคุยกับเพื่อน
ฉันดีใจที่เขาปลอบฉันเขาบอกว่าฉันคิดมากเกินไปที่จริงแล้วมันไม่มีอะไรเลย
ฉันเชื่อในความจริงใจของเขา ไม่รู้ว่าทำไมต้องเชื่อจากคนที่คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกัน
กลับทำให้ประทับใจได้ขนาดนี้ ทำไมนะ
26 เมษายน 2547 11:00 น.
เด็ก(บ้าน)นอก
คนเราถ้าสนิทกันก็จะเกิดอาการทะเลาะกันได้เอาเสียง่าย ๆ เราจะเขาก็ออกจะบ่อยเลย
ส่วนมากเราจะงอนเขาเป็นส่วนใหญ่เพราะเรามันขี้งอน ขี้ใจน้อย งี่เง่า (ด่าตัวเองทำไม)
ก็มีอยู่ครั้งนึงนะที่ทำให้คนแบบฉันร้องไห้ออกมาเลยก็มี
เรื่องมันก็มีอยู่ว่า...
ฉันโกรธกับเขาส่วนจะเรื่องอะไรฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน (เพราะฉันจำไม่ได้)
มันเป็นวันก่อนสอบเรางอนมากออกอาการเลยแหละตอนนั้น
เขาก็รู้แต่แกล้งไม่รู้เราก็นั่งน่าตูมอยู่ตรงนั้นตรงหน้าเขานั่นแหละจำได้นะว่าวันนั้น
เขาพูดกะเรานุ่มนวลมากเลยล่ะจนเรารู้สึกไม่กล้าโกรธเขาเลยแต่ก็จะให้หายได้ไงเมื่อ
เขาไม่ถามสักคำว่าเราเป็นอะไรก็เลยไม่คุยกันเลยตั้งแต่ตอนนั้นจนกระทั่งอีกวันเขาไปทำงานบ้านเพื่อนฉัน
มันเป็นงานกลุ่มก็ยกโขยงกันไปเราก็เลยโทรไปขอโทษเพื่อนเพราะไปโวยวายเรื่องโกรธเขากับเพื่อนไว้
จนเพื่อนหัวเสียกลายเป็นหาเรื่องชาวบ้านไปทั่ว พอคุยกะเพื่อนเสร็จเขาก็มาคุยเราได้ถามคำถามนึงไป
มันทำให้น้ำตาที่จะไหลล้นออกมาฉันอ่อนแออย่างไม่น่าให้อภัยทำไมฉันต้องมีน้ำตากับเรื่องงี่เง่า
ฉันพยายามที่สุดที่จะไม่ให้เขารู้ว่าฉันอ่อนแอฉันจึงเลิกคุยกับเขาแล้วบอกว่าจะคุยกับเพื่อน
ฉันดีใจที่เขาปลอบฉันเขาบอกว่าฉันคิดมากเกินไปที่จริงแล้วมันไม่มีอะไรเลย
ฉันเชื่อในความจริงใจของเขา ไม่รู้ว่าทำไมต้องเชื่อจากคนที่คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกัน
กลับทำให้ประทับใจได้ขนาดนี้ ทำไมนะ
24 เมษายน 2547 10:05 น.
เด็ก(บ้าน)นอก
ฉันกับเขาไม่มีอะไรที่เข้ากันได้เลยสักกาติ๊ดเดียว น้อยมากอ่ะกว่าจะหาเจอว่าอะไรที่เราคล้ายกัน
ก็เริ่มตั้วแต่เรื่องการตื่นนอน การกิน การทำงาน ความคิด การใส่ใจคนรอบข้าง ฯลฯ
โอ๊ว!!ยังมีอีกมากมายเลยนับไม่ถ้วนแหละ ถ้าให้บอกไปก็คงบอกไปไม่หมด
แต่ถึงเราจะมีแต่ความต่าง ก็ต้องมีบ้างแหละสิ่งที่เราจะเหมือนกันน่ะก็อย่างเช่น...
เรื่องการใช้ชีวิตแบบที่คิดว่าไม่เรื่องมาก สบายๆ ม่ค่อยเครียดอะไรมากมายพูดง่ายๆก็คือว่าไร้สาระไปวัน ๆ
เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายตามอารมณ์เท่านั้นแหละ
ไม่ทราบเหมือนกันอีกนะว่าเราไปนิยมเขาตรงไหน แต่ที่รู้ๆตัวตอนนี้มันก็รักไปแล้วมันเป็นเรื่องเหลือเชื่อมาก
จากที่มองเป็นแค่ใครก็ไม่รู้ก็กลับมาผูกพันกันขนาดนี้ (นี่แหละที่เรียกว่ารักคือ...ปฏิหาริย์)
" ดั่งของขวัญจากฟ้าส่งเรามาพบกันดั่งปาฏิหาริย์ "
คนเราเมื่อเริ่มสนใจกัน มันก็ต้องคุยกันถูกมะพอคุยกันแล้วก็ต้องมีการทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างแหละถูกมะ
สำหรับเรากะเขาเนี่ย บ่อยมาก (แต่ละเรื่องช่างไร้สาระทั้งนั้นเลย) ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ฉันชอบคิดมากไปเอง
ทั้งนั้นเลย แล้วอีตานี่นะพอรู้ว่าเค้าเป็นแบบนี้ก็เอาใหญ่เลยไม่เคยเลยที่จะพูดให้สบายใจอำตลอดแกล้งเราทุกที
ที่คุยกัน กวนประสาทชะมัด (ตอนแรกก็หลงคิดว่าเป็นคนเรียบร้อยเสียได้ตั้งนานแหละ)
เวลาเรียนนะพี่แกก็หลับมันซะทุกคาบ หันไปทีไรไปเฝ้าพระอินทร์กันเป็นแถวเลย
ไอ้เราก็ด้วยความที่เป็นห่วงก็เลยต้องคอยปลุกตลอด พอโดนถามก็บอกว่าพักสายตา (พักไป2คาบติดเลยนะพ่อคู้นน)
เรื่องการกวนตีนของเขายังไม่หมดหรอกมีอีกมากมายแต่เอาไว้เล่าตอนหน้าเดี๋ยวคนอ่านจะเบื่อ
23 เมษายน 2547 15:39 น.
เด็ก(บ้าน)นอก
ความเป็นเพื่อนของเราเกิดจากลิควิด (จริงๆนะ) เรียกว่าลิควิดเสื่อรักอ่ะก็เธอนั่นแหละยืมเราทุกคาบเลย ก็ด้วยความที่เราน่ารัก ใจดี และมีน้ำใจ เราก็เลยให้ยืมทุกคาบ (ด้วยเหมือนกัน) ตอนนั้นก็คงตอนเปิดเทอมมั้งตอน ม.4 วันที่18 มั้ง ยังคิดในใจว่าไอ้แว่นนี้ยืมเราบ่อยจังแต่ก็ไม่กล้าบ่นอะไรมันไปเพราะยังไม่ค่อยรู้จัก แต่แปลกที่ค้นๆหน้ามันจังแฮะ (บุพเพสันนิวาศ) พอได้รู้จักว่าชื่ออะไรก็ยังเฉยๆอยู่นะ (ไม่หล่อยังไม่โดน) ไม่ได้สนใจไม่อยู่ในสายตาเลยนะตอนแรกอ่ะ ก็หมอนี่อ่ะดูยังไงก็ธรรมด๊าธรรมดา เฉิ่มๆ เอ๋อๆ ใส่แว่นด้วยแหละ (นึกภาพแล้วขำดิน่ะ) หลับทุกคาบเลยให้ตายเหอะนี่หรือคนที่จะทำให้เราหวั่นไหวพอเราโดนย้ายมานั่งหน้าหมอนี่ ก็เลยเริ่มคุยกันมากขึ้นบวกกับทำงานกลุ่มด้วยกันตลอดก็เลยเริ่มสนิท เริ่มโดนใจและเริ่มเห็นคุณค่า เรื่องดีๆมากมายจึงเริ่มต้น ( อ่านต่อตอนหน้าตามที่ใจสั่งมา )