21 สิงหาคม 2549 14:11 น.

ลมหนาว ดาวหม่น และคนอ่อนไหว (ตอนจบ

เดอะ เคิร์ก

	นาง...เวลาที่เราไม่มีใคร ก็ทำให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น และทำให้ได้ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมากขึ้น แต่...สำหรับผม วินาที นี้ยังสับสน ยังว้าวุ่น จากนี้ไปชีวิตผมอาจมีแต่ความเหน็บหนาว อ้างว้าง โดดเดี่ยว เมื่อไม่มีคุณคอยเคียงข้าง...แต่ละย่างก้าวเต็มไปด้วยความเหน็บหนาว ไม่มีร่างใครซุกอยู่ในสายหมอก ไม่มีเสียงใครแว่วมากับสายลม...เส้นทางสายนี้ที่เคยเคียงคู่ ไม่มีอะไรนอกจากคนที่ไม่รู้จักอีกกลุ่มใหญ่ ที่เดินเที่ยวอย่างสนุกสนาน สำหรับผมยังโดดเดี่ยวเช่นเคย ไม่รู้จักใครหรอกกับช่วงชีวิตที่โหดร้ายอย่างนี้ ไม่อยากให้ใครมารับรู้ความเจ็บปวดด้วยอยากเจ็บคนเดียวเสียให้สะใจ...เจ็บกับใจที่ช่างอ่อนไหว...

	ผมนั่งพิงโขดหินใกล้กับผาหล่มสัก ผมมาที่นี่เพื่อเก็บภาพเก่าๆ ของเราสองคนที่นี้ไว้ในความทรงจำให้ได้มากที่สุด เพื่อเก็บไว้ย้ำเตือนความทรงจำที่หอมหวาน ด้วยไออุ่นแห่งรักที่เรามีให้กัน ณ ที่แห่งนี้ นางจะนึกถึงสิ่งเหล่านี้บ้างไหมนะ หรือว่าหล่อนหายไปจากความทรงจำหมดแล้ว

	ผมเปลี่ยนมานั่งที่โคนต้นไม้ ณ ตรงที่ ๆ เราเคยนั่งรอชมพระอาทิตย์ตกด้วยกัน ผู้คนยังคงหลงใหลแสงสวยในม่านหมอกเหมือนเดิม ตะวันเริ่มรอนแสงลงเรื่อยๆ ผู้คนที่มาเที่ยวเริ่มทยอยมารวมตัวกันมากขึ้น เพื่อจะบันทึกภาพที่สวยที่สุด ณ ผาหล่มสักแห่งนี้ แปลกดีนะนาง คนเราชอบแสวงหาในสิ่งที่ได้มายากๆ แล้วเก็บไว้ภาคภูมิใจ ที่จริงแล้ว ไม่ว่าตะวันที่นี่หรือที่ไหนๆ ก็ดวงเดียวกัน คนส่วนมากดั้นด้นค้นหาในสิ่งที่คนอื่นยอมรับว่าสวย ว่างาม ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งเดียวกัน ผมว่าหากใจเรายอมรับเพียงอย่างเดียว สิ่งต่างๆ คงมีค่าและความหมายไม่ต่างกันหรอก

	ดวงตะวันเลื่อนต่ำลงเรื่อย ๆ แล้วจูบลาขอบฟ้าด้วยอาลัย ผมอาศัยคู่หนุ่มสาวที่เดินหยอกล้อกัน เมื่อช่วงเย็นเป็นเพื่อนเดินกลับที่พัก ระหว่างที่เดินกลับที่พักสายลมหนาววูบใหญ่ พัดเข้ามาใส่กลุ่มคนที่เดินกลับพร้อมกัน ไอหมอกที่ลอยอยู่รอบๆ ตัวเรา ปล่อยไอเย็นทักทายผู้คนที่เดินมาอย่างเริงร่า ชายหนุ่มที่เดินข้างหน้าผมถอดเสื้อกันหนาวสวมทับให้กับหญิงสาวของตนอีกชั้นหนึ่งก่อนจะโอบไหล่เดินคู่กันไปอย่างน่าเอ็นดู...นาง.. ความรักไม่ว่าที่ไหน หรือกาลใด ก็สดใสและให้ความสุขกันคนอื่นที่อยู่ในห้วงแห่งความรักเสมอ...

	นาง...เมื่อกลางวันที่ผ่านมา ผมลงไปเที่ยวที่น้ำตก ซึ่งมีใบเมเปิ้ลหล่นเกลื่อนบนแผ่นหินเต็มไปหมด คิดจะเก็บทับไว้ในหนังสือเพื่อฝากคุณ แต่เมื่อคิดถึงคำห้ามของคุณในครั้งก่อนที่ห้ามผมไว้.. อย่าทำผิดกฎเขาเลย ถึงอย่างไรเราก็รับความรู้สึกของที่นี่ไว้ในหัวใจหมดแล้ว ใบเมเปิ้ลก็คงสวยอยู่ในใจของเราตลอดไป หากทุกคนปฏิบัติตามกฎที่เขาตั้งไว้และเห็นคุณค่าของธรรมชาติอย่างคุณ มันคงรักษาความสมดุลและความงามตามธรรมชาติของมันไว้ตราบที่ธรรมชาติจะเอื้ออำนวย...

	นาง...เป็นเพราะเวลาหรือเปล่า...ทำให้เราเหมือนคนแปลกหน้าของกันและกัน บางครั้งห่างเสียยิ่งกว่าห่าง เหงาเสียวยิ่งกว่าเหงา และบางครั้งเจ็บเสียยิ่งกว่าเจ็บ...

	ครั้งแรกที่ผมเจอนางกับนัส เพียงแว๊บแรกที่ผมเห็นสายตาที่เขามองคุณ ผมก็รู้ได้ทันทีว่า เขามีความรู้สึกอย่างไรกับคุณ ผู้ชายด้วยกันเท่านั้นถึงจะเข้าใจ ผมดีใจกับคุณด้วยนะ ที่มีคนที่เพียบพร้อมอย่างนัสมาดูแลและเอาใจใส่คุณ แต่ผมไม่เคยคิดว่า นางจะลืม ความผูกพัน ความห่วงใยที่เราเคยร่วมถักทอมาด้วยกัน แต่มันเป็นสิทธิที่คุณจะเลือกสิ่งที่ดีกว่าให้กับตัวเอง...มาถึงตรงนี้ผมรู้ได้ทันทีว่า ผมคงไม่มีความหมายเหมือนก่อนแล้ว และความรู้สึกแล้วบางอย่างที่ผมไม่เคยรู้จัก ก็เกิดขึ้นกับผมอย่างช่วยไม่ได้...สำหรับความรู้สึกแล้ว ใครไม่เคยเจอกับตัวเองก็คงไม่รู้ว่ามันปวดร้าวแค่ไหน...ผมไม่อยากเจอหน้าใคร ยอมรับว่าร้าวรานกว่าจะฝืนทนสู้หน้าใครได้

	นาง...ผมไม่โทษคุณหรอกนะ เพราะนัสเขาคงปกป้องคุณได้ดี และเขามีความเป็นผู้นำทั้งจิตใจและความรู้สึก ซึ่งต่างจากผมที่ช่างอ่อนไหวและไม่สามารถเป็นผู้นำให้แก่นางได้ และผมไม่อยากให้คนมีอนาคตต้องมาจมอยู่กับคนที่ไร้หลัก ไม่อยากให้ใครต้องมามีสภาพเหมือนตัวเอง เท่าที่เป็นอยู่ ก็ทรมานพอแล้ว...
	วันนี้ผมตั้งใจอ่านหนังสือ ขอความรักบ้างได้ไหม ที่นางซื้อให้วันที่เราไปดูหนัง และทานข้าวด้วยกัน รอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ผมไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหนเหมือนวันก่อน เพราะผมตั้งใจว่า ผมจะเก็บแรงไว้กลับพรุ่งนี้...
	คืนนี้ดาวพราวฟ้า...แต่แสงดาวหม่นเศร้าพิกล คงเหมือนใจของผมในยามนี้...รอบๆ กายมีเกล็ดน้ำแข็งสีขาวพร่างพราวเกาะอยู่ตามยอดหญ้าเต็มไปหมด เสียงเพลงยังแว่วมาตามสายลม กี่โมงกี่ยามแล้วนะที่ผมนั่งอยู่อย่างนี้...มันเป็นการให้เวลาตัวเองที่ยาวนานที่สุดก็ว่าได้ เพราะผมไม่เคยมีช่วงเวลาอย่างนี้บ่อยนักหรอก...

	ดึกมากแล้ว ดาวหลบไปนอนหลายดวง คงเหลือเพียงไม่กี่ดวงที่ยังลอยเด่นเหนือฟากฟ้า แต่ทว่าแสงที่ส่องประกายออกมายังหม่นเศร้าเหมือนเดิม...ไฟเริ่มราเชื้อ...เสียงเพลงเงียบไป ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในความมืดมิดเหน็บหนาว ท้องฟ้าครึ้มแลดูหม่นคล้ายฝนจะตก ดึกดื่นป่านนี้ทุกคนคงเข้านอนหมดแล้ว บางคนอาจหลับอยู่ในอ้อมกอดของคนรัก บางคนอาจหลับอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น แต่ผมยังไม่หลับหรอก เพียงแต่เปลี่ยนมานั่งในเต็นท์ แทนการจุดบุหรี่สูบ อาศัยแสงเทียนแรงน้อยบันทึกถึงนางเหมือนเดิม...เสียงสายฝนลงเม็ดอยู่นอกเต็นท์ คงเป็นฝนหลงฤดูที่โปรยสายลงมาพร้อมความหนาวเย็น...
	สายฝนโปรยลงมา
	คงเป็นน้ำตาฟ้าใส
	ฟ้ามันคงปวดใจ
	จึงร้องไห้ออกมา
	คงเหมือนคนอกหัก
	ที่คนรักมาร้างลา
	คงเหลือเพียงน้ำตา
	ที่ไหลออกมา...ล้างใจ
	นาง...ฟ้ามันคงร้องไห้เป็นเพื่อนผม...ฟ้ามันร้องไห้ ไม่นานมันคงหยุดเองตามธรรมชาติ แต่ในหัวใจของผมตอนนี้ซิ...มันร้องไห้ไม่มีทีท่าจะหยุดลงง่ายๆ...อีกไม่นาน...ฟ้าคงสาง...    				
									วิชญ์
									ภูกระดึง

*******************
				
21 สิงหาคม 2549 14:02 น.

ลมหนาว ดาวหม่น และคนอ่อนไหว (2)

เดอะ เคิร์ก

	เลิกได้ก็ดีนะ บุหรี่ เหล้า มันไม่มีประโยชน์กับสุขภาพเราหรอก.. ความปรารถนาดีและความห่วงใยที่นางมีให้กับผมในวันหนึ่ง
	สุขภาพตัวเองแท้ๆ ยังไม่ห่วง แล้วใครที่ไหนจะมาห่วงเราล่ะ... นางบอกผมอีกครั้ง ในวันที่เห็นผมยังสูบมันอยู่
	นางขอได้ไหม...คิดว่าทำเพื่อนางก็แล้วกันนะ นางขอร้อง เมื่อเห็นผมไม่มีทีท่าว่าจะเลิกง่ายๆ  บทที่ผมจะเลิก ผมก็เลิกเอาดื้อๆ เหมือนกัน...ถ้าหากผมรู้จักคุณช้ากว่านี้ ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าชีวิตผมอาจจะต้องทิ้งไปกับสิ่งเหล่านี้ก็ได้
	นาง...ผมยอมรับนะว่า การได้รู้จักคุณ ทำให้ชีวิตผมมีความหวังขึ้น ทำให้มีกำลังใจในการอยู่ในโลกนี้อย่างมีความหมาย ซึ่งก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยตั้งความหวัง ไม่เคยอยู่เพื่อวันพรุ่งนี้ แต่ผมอยู่ไปวันๆ เท่านั้น คุณคนเดียวที่มาช่วยจุดประกายแห่งชีวิต ประกายแห่งฝันให้กับผม...
	หมอกคืนนี้ยังลงจัดเหมือนเดิม อากาศเพิ่มความเย็นลงเรื่อยๆ น้ำค้างพร่างพรูบนยอดหญ้า และบนเต็นท์ สัมผัสความหนาวเย็นได้ จากสายลมที่พัดมากระทบผิวกาย แต่ผมยังอยู่กับเสื้อกันหนาวตัวเดิม อาศัยแสงเทียนแรงน้อยเขียนบันทึกถึงนาง ความรัก ความผูกพัน ถูกบันทึกผ่านตัวอักษร เรียงร้อยถ้อยคำอันหลากหลาย ทั้งขมปร่า ไหวหวาม ความสุข และปวดร้าว...ลงสมุดบันทึกเล่มสีชมพูเล่มนี้ ที่นางซื้อให้เป็นของขวัญในวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา...
	เปิดบันทึกหน้าก่อนๆ ที่ผ่านมา เราได้ถักทอสายใย สานฝัน ความรัก ความผูกพันไม่น้อยเลยทีเดียว เคยท่องเที่ยว ร่วมสุขร่วมทุกข์กันมา หลากหลายรูปแบบ ยังชัดเจนในความรู้สึก เราเคยร่วมฟันฝ่าอุปสรรคนานัปการ เคยร้องไห้ก็หลายหน ผมเคยถามตัวเองว่า เป็นเพราะผูกพันกันมากหรือเปล่า จึงดูเหมือนว่า เราไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรครอบข้าง...
	นาง...รู้ไหม บันทึกเล่มนี้ ไม่มีชื่อใครเลย นอกจากชื่อของนาง ผมบันทึกเหตุการณ์ทั้งสุข เศร้า เหงา ร้าวราน ไว้ในสมุดบันทึกเล่มนี้ตามเหตุการณ์แต่ละช่วงที่เกิดขึ้น แต่มีความหมายต่อผมเสมอ... และผมยังจำบันทึกหน้าแรกได้เสมอ ตัวอักษรแต่ละตัวที่ผมจรดปากกาลงบนสมุดบันทึก แต่ละบรรทัดล้วนออกมาจากความรู้สึกของใจทั้งสิ้น เพราะความรู้สึกที่ดี ที่จริงใจ ที่เจือไปด้วยความรักของอณูแห่งใจที่ผมมีต่อคุณเท่านั้นที่จะได้บันทึกลงไป
	แต่ช่วงหลังมานี้ บันทึกของผมไม่ค่อยได้บันทึกคำว่า รัก ลงไปเหมือนแต่ก่อนเลย เพราะความรู้สึกที่ดีดี ที่ผมเคยได้รับจากนาง มันเริ่มเลือนหาย และเจือจางทีละนิดๆ ไปกับกาลเวลา ซึ่งไม่แตกต่างอะไรจากสายหมอกของที่นี่เท่าไหร่นัก เมื่อต้องแสงอาทิตย์ ก็สลายเลือน ไม่เหมือนความรักนะนาง...ตราตรึงตราบนานเท่านาน
	นาง...โดยปกติผมจะบันทึกทุกอย่างเกี่ยวกับตัวคุณด้วยความสุขใจ ด้วยรัก ด้วยห่วงใยและด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้..ใจสั่งมา ให้กลายเป็นบันทึกของใจ แต่คืนนี้ผมเขียนบันทึกด้วยความเหงาอย่างจับใจ น้ำตาหยดรดตัวอักษรอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นหยดที่เท่าไหร่แล้ว น้ำตาของผู้ชายอ่อนไหวคงเป็นของคู่กัน นางคงรู้ดีกว่าใครในเรื่องนี้ น้ำตาเกเร น้ำตาของผู้ชายอ่อนไหว คงไม่สำคัญอะไร มันอยากออกมา มันก็มา โดยเฉพาะเวลามีเรื่องมากระทบความรู้สึก มันก็จะพาลจะไหลออกมาจากขอบตาเสียทุกครั้งไป...
	ผมช่างอ่อนไหว เหมือนกับที่เพื่อนของคุณพูดนั่นแหละ...บางทีแค่อ่านบทกวีที่กระทบความรู้สึกน้ำตาก็ไหลออกมา...นาง น้ำตาผมหยดลงมาอีกครั้งแล้ว หยดลงตรงชื่อของคุณพอดี ผมไม่ได้เจตนาให้มันหยดลงตรงชื่อของคุณเลยนะ เพราะมันเหมือนกับว่า ผมร้องไห้เพราะนางเป็นต้นเหตุ... ที่จริงไม่ได้อย่างนั้นเลย ผมร้องไห้เพราะความช่างอ่อนไหวของผมเอง ไม่ใช่เพราะนางเลย..เพราะผมคิดว่า ความรักไม่เคยทำให้ใครร้องไห้ แต่เขาร้องไห้เพราะความรักของเขาเอง
	ตอนนี้รอบๆ ตัวผม ลมแห่งความหนาวเริ่มแผ่กระจายปกคลุมทั่วบริเวณ หมอกสีขาวพวยพุ่งออกมาเป็นทางยาวเหมือนทางช้างเผือก ก็สายหมอกสายสวยอย่างนี้มิใช่หรือที่นางชอบเสียนักหนา เจ้าหน้าที่บนภูเตือนนักท่องเที่ยวว่า คืนนี้อากาศจะติดลบ ให้เตรียมเครื่องกันหนาวและดูแลตัวเองให้ดี สำหรับผมแล้วจะหนาวแค่ไหน ผมเองก็ยังอยู่กับเสื้อกันหนาวเหมือนเดิม ไม่มีอะไรอื่นมาช่วยให้อุ่นขึ้นหรอก แต่ผมก็พร้อมเสมอกับความหนาวที่จะมาถึงในคืนนี้ ผมจะกระชับเสื้อให้แน่นขึ้น ผมต่อเทียนเล่มที่สาม บันทึกความรู้สึกด้วยมืออันสั่นเทา เพราะความหนาวเพิ่มมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว...ผมหยุดบันทึกชั่วคราวเพื่อทบทวนถึงสิ่งที่ผ่านมาในอดีต...
	ฉันไม่ดีพอ ที่จะเป็นได้เหมือนดั่งเธอหวัง ฉันไม่ต้องการให้รักเธอพัง
	ชีวิตยังอีกตั้งไกล ฉันไม่ดี ฉันโง่จะตาย  วันนี้เธออาจทนไหว   ฉันไม่ดี
	 ฉันเซ่อจะตาย ไปรักคนอื่น ดีกว่า...
	เสียงเพลงของกลุ่มหนุ่มสาวจากเต็นท์ถัดไป ที่นั่งล้อมกองไฟร้องเพลง เล่นกีต้าร์ร่วมกัน บางครั้งร่วมกันประสานเสียงด้วยความสนุกสนาน ก็คงเหมือนกับเราครั้งก่อน ต่างกันก็แต่ครั้งนี้ผมมาคนเดียว ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีคนเคียงข้าง ไม่มีใคร นอกจากความเหงาซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่ผมมีอยู่ในตอนนี้...
	น้ำค้างเริ่มลงมากขึ้น ผมถดตัวหนีน้ำค้างที่มาพร้อมความหนาว ผมพยายามหาวิธีสร้างความอบอุ่นให้แก่ตัวเอง แต่ในยามหนาวเช่นนี้ และอยู่บนภูสูงเสียดฟ้า ไกลสิ่งอำนวยความสะดวก คงจะลำบาก..ความหนาวภายนอก ถึงจะหนาวอย่างไร หากมีอุปกรณ์กันหนาวก็คงจะบรรเทาได้ แต่ความหนาวภายในใจ ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาบรรเทา ยิ่งหนาวยิ่งเจอ ยิ่งค้นหายิ่งหนาว ยิ่งคิดยิ่งปวดร้าว
	นางรู้ไหม...ผมเพิ่งเข้าใจความหนาวอย่างแท้จริง ก็คืนนี้แหละ คืนที่ไม่มีคุณคอยเคียงข้างเป็นเงาตามตัวเหมือนก่อน มือผมควานหาบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อเพื่อดับความหนาวที่แผ่กระจายอยู่รายรอบกาย มือชะงักเมื่อคิดถึงคำขอร้องของคุณ แต่แล้วผมก็ปัดออกเสียจากใจ เมื่อความเข้าใจ ความหวังดี จากคุณมันเหือดแห้งไปตามกาลเวลา บางทีผมอาจจะกลับไปเป็นเหมือนอย่างเดิม ในเมื่อไม่มีคุณ...ควันบุหรี่สีขาวจางๆ ลอยฟุ้งรอบๆ ตัวผมแล้วเลือนหายไป ไม่เหมือนความรักนะนาง...ความรักประทับอยู่ในใจตราบนานเท่านาน ผมหลับตาลง เมื่อนาฬิกาบอกเวลาเข้าสู่วันใหม่...
	บางคืน...ที่เหน็บหนาว
	ดวงดาว...ยังหลบหาย
	แต่ความรัก...ความห่วงใย
	ไม่เคยหาย...จากใจฉัน
				
21 สิงหาคม 2549 13:55 น.

ลมหนาว ดาวหม่น และคนอ่อนไหว(1)

เดอะ เคิร์ก

	บันทึกนี้อาจเป็นบันทึกสุดท้ายของผม เพราะจากนี้ไปผมคงไม่ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับนาง ผ่านตัวอักษรอีก ผมคงเพียงบันทึกเรื่องทั้งหมดของนางไว้ในใจผมแทน นางไม่ต้องถามผมหรอกนะว่า ผมจะไปทำอะไร ที่ไหน ต่อจากนี้ไป เพราะเรื่องราวของผมไม่มีค่าพอแก่การทรงจำหรอก..

	นาง...ผมจากคุณมาที่นี่ด้วยความตั้งใจของผมเอง มาอย่างไร้เพื่อนที่รักและคนที่รู้ใจ เหตุผลที่ผมมาที่นี่เพื่อต้องการค้นหาคำตอบให้กับตัวเอง ที่นี่มีแต่คนแปลกหน้า แต่สิ่งนี้แหละที่ทำให้ผมเลือกมาที่นี่ เพราะอย่างน้อยผมก็ไม่ต้องคอยตอบคำถามเดิมๆ เกี่ยวกับคุณ และที่สำคัญผมไม่อยากให้นางลำบากใจกับผู้ชายที่ไม่มีความหมายและความสำคัญอะไรอย่างผมอีก ผมยอมรับนะว่าผมว้าวุ่นสับสนกับจิตใจของตัวเองมาก ผมจึงตัดสินใจขึ้นมาหาความสงบถึงที่นี่ แต่ก็ยังไม่รู้หรอกนะว่า ผมจะหาทางออกให้ตัวเองได้มากแค่ไหน..

	ดูแฟนแกสิ ดูได้ที่ไหน แม่ของนางเคยบ่นกับนางไม่ใช่เหรอ วันแรกที่นางพาผมไปเที่ยวบ้าน เพื่อที่จะให้ทุกคนในบ้านยอมรับในตัวผม..แต่กลับตรงกันข้าม

	นุ่งกางเกงยีน สะพายย่ามดูไม่เหมาะสมกับแกเอาซะเลย คบเข้าไปได้ยังไง แม่ของคุณบ่นต่อ ที่จริงวันนั้นผมไม่ได้ตั้งใจฟังหรอก แต่บังเอิญผมออกจากห้องน้ำ และได้ยินสิ่งที่แม่คุณพูดอยู่พอดี

	คุณบอกผมเสมอว่า สมบัติหรือวัตถุภายนอกเป็นเพียงปัจจัยแห่งการดำรงอยู่ของชีวิตเท่านั้น ขอเพียงใจเรา ยึดมั่นในรัก และความเข้าใจ ในกันและกันก็เพียงพอ อะไรอื่นคงมาพรากเราออกจากกันไม่ได้หรอก เราเคยบอกกันอย่างนี้เสมอ ยามที่ความรักของเราถูกใครๆ ดูถูก..

	แต่บางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้เมื่อเวลาเจอคู่รักคู่อื่น ที่เขาเพียบพร้อมและเหมาะสมกันในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าสังคม การศึกษา หรือแม้แต่ฐานะ...ถึงแม้นางจะลดตัวมานั่งรถเมล์ ทานก๋วยเตี๋ยวริมฟุตบาทและเดินซื้อของราคาถูกกับผมก็ตาม ทั้งๆ ที่ฐานะอย่างนางสามารถซื้อรถส่วนตัวขับสักกี่คันก็ได้ ผมรู้ว่านางรักผม พอๆ กับที่ผมรักนาง แต่...สิ่งสำคัญคนในสังคมของนาง เขารับสภาพของผมไม่ได้ ถึงแม้นางยังคงเดิมและให้กำลังใจผมอยู่ก็ตาม แต่ผมก็ไม่แน่ใจเท่าไรกับสังคมรอบข้าง และการเวลาอาจทำให้เราเปลี่ยนแปลงได้

	นาง...บนภูนี้อากาศเย็นมากรอบๆ กายมีแต่สายหมอก ความเหน็บหนาวและผู้คนที่แสวงหาสิ่งเติมเต็มให้กับชีวิต ซึ่งบางคนไม่ต่างจากผมเท่าไร ยุคสมัยนี้ก็แปลกนะนาง ทั้งวัตถุ ทั้งเทคโนโลยีข่าวสาร เจริญก้าวหน้า ไปถึงไหนต่อไหน และความบันเทิงก็มีอยู่ทุกถิ่นที่ แต่ชีวิตคนยังคงแสวงหาสิ่งที่เรียกว่า ความสุข ตลอดเวลา แต่ก็หาไม่ค่อยพบ คนส่วนมากมักแสวงหาส่วนที่ขาดหายไปให้กับจิตใจ ผมเองก็เหมือนกันไม่ค่อยรู้รสชาติแห่งความเติมเต็มของใจเลยตั้งแต่ผมเป็นหนุ่มมา บางครั้งพยายามหาคำตอบให้ตัวเอง แต่สิ่งที่ค้นพบก็คือความว่างเปล่าเหมือนเคยเป็น...ผมมาได้คำตอบก็ต่อเมื่อผมมาเจอกับนาง

	หากผมเลือกได้ ผมคงเลือกที่จะไม่เจอนาง...เราไม่น่าเจอกันเลย เพราะคนช่างผันและช่างอ่อนไหวอย่างผม พอเจอใครที่มีเยื่อใยและพูดจาภาษาเดียวกันก็ทึกทักเอาว่าเป็นความรัก อาจเป็นเพราะผมเป็นคนช่างเหงา อ้างว้าง ร้างคนเข้าใจก็เป็นได้ เมื่อเจอผู้หญิงที่แสนดี อ่อนโยนที่เข้าใจและมาช่วยเติมสิ่งที่หายไปแห่งชีวิต ผมก็เลยรับนางมาเต็มหัวใจอย่างที่ไม่เคยมีให้ใครมาก่อน อาจเป็นเพราะชีวิตผมไม่เคยมีอะไรสมบูรณ์เหมือนอย่างครอบครัวคนอื่นเขา สิ่งนี้เองที่ทำให้ชีวิตผมมีปมด้อยของหัวใจตั้งแต่เกิด แม่ตายตั้งแต่ผมยังเด็ก พ่อมีภรรยาใหม่ ส่วนผมโตมาด้วยข้าวก้นบาตรของหลวงตา ซึ่งท่านสงสารและเมตตาต่อสัตว์โลกที่ไม่มีใครเลี้ยงดู...

	นางเป็นคนแรกและคนเดียวที่ทำให้ผมรู้จัก ความรัก ความอบอุ่นของใจ อาจเป็นเพราะมองโลกในแง่เดียวกัน มีความรู้สึกคล้ายกัน สิ่งสำคัญนางอาทรและเข้าใจผมทุกอย่าง

	เมื่อไรนางจะเลิกคบกับวิชญ์นะ คบได้ก็มีแต่ทำให้นางต่ำลงเปล่าๆ เพื่อนของคุณถามเข้าในวันหนึ่ง วันที่ผมตั้งใจไปนั่งรอคุณที่หน้าคณะ เพื่อนของคุณคงมองไม่เห็นผม จึงถามออกมาตรงๆ อย่างนั้น ผมเห็นคุณไม่พูดอะไรต่อ เมื่อเพื่อนถาม...ผมก็พอจะรู้ว่า ที่จริงคุณก็ไม่อยากให้ใครพูดถึงผมในแง่ไม่ดีหรอก แต่คนส่วนมากที่รู้จักคุณ เขาก็มักแสดงความเป็นห่วงคุณเสมอ มันก็สมควรอยู่หรอกที่คนน่ารักแสนดีเช่นคุณจะมีคนคอยห่วงใย เป็นธรรมดาที่คนทั่วไป เมื่อเห็นคุณกับผมไปไหนมาไหนด้วยกัน แล้วอดเป็นห่วงคุณไม่ได้ อย่าที่เพื่อนบางคนของคุณบอกว่า ดอกฟ้าไม่ควรคู่กับหมาวัด ถึงแม้ว่าคุณไม่แคร์และยังมีผมเป็นเงาติดตามตัวทุกหนทุกแห่ง แม้ใครจะว่าจะพูดถึงผมในทางที่ไม่ดียังไงก็ตาม คุณก็ยังพูดถึงผมในแง่ดีเสมอตลอดเวลา คงมีเพียงคุณคนเดียวที่ยังใยดีกับผู้ชายอย่างผม...

	คืนที่ว่างเปล่าร้างไร้ผู้คน เราเดินไปบนทางเท้า ความเงียบปกคลุมเราสองคน เงียบเสียจนเราได้ยินเสียงเต้นของหัวใจเราเอง เราจูงมือกันเดิน ข้ามถนนไปอีกฟากหนึ่งเราเดินไปอย่างไม่รีบเร่งนัก บางขณะเราก็หยุดชื่นชมความงดงามของกลางคืน ท่ามกลางแสงไฟนวลใส นานครั้งเราจะพูดคุยกันถึงความเป็นไปของชีวิต และความฝันในอนาคตที่เราอยากทำ คุณเคยถามผมว่า...
	วิชญ์ จบแล้ว จะไปทำงานที่ไหน..
	จะไปเป็นครูบนดอยสอนเด็กชาวเขา หรืออาจไปสอนเด็กในชนบทสักแห่งที่มีครู ผมจำได้ว่าผมตอบคุณไปอย่างนั้น
	ทำไมละถึงต้องไปไหลขนาดนั้นด้วย ดูคุณมีท่าทีแปลกใจ
	ผมอยากไปสานฝันเด็กที่ด้อยโอกาสที่ไม่กล้าแม้แต่จะฝันถึงอนาคตของตัวเอง ซึ่งผมเคยตกอยู่ในภาวะอย่างนั้นมาก่อนจึงทำให้ผมสามารถเข้าใจพวกเขาได้ดี อีกอย่างหนึ่งการไปอยู่ในที่ที่เราไม่รู้จักใครเลย เราอาจเจ็บปวดน้อยกว่า ที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ได้ ผมอธิบาย

	คืนนั้นผมมองเห็นแววหม่นในดวงตาของคุณเมื่อผมพูดจบ แม้ว่าคุณจะพยายามซ่อนเร้นไม่ให้ผมเห็นความหวั่นไหว ในดวงตาของคุณก็ตาม...หลังจากที่เราเดินคุยกันมาได้ไม่ไกลนัก สายลมดึกของถนนราชดำเนินก็พัดผ่านเข้ามาสัมผัสเรา คุณยังกุมมือของผมไว้แน่นเหมือนเดิม ไออุ่นจากมือคุณ ส่งผ่านความรู้สึกของผมได้ ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือของคุณอย่างที่ไม่เคยได้รับจากที่ไหนมาก่อน...
	หากเราต้องจากกัน วิชญ์จะเสียดายความรักของเราไหม
	เสียดายสิ...เพราะความรักไม่ได้สร้างขึ้นมาง่ายๆ...แต่สร้างขึ้นมาจากการบ่มเพาะความห่วงใย ความเข้าใจของคนสองคน ถึงกระนั้นก็ตาม หากเราต้องจากกันจริงๆ ไม่ว่าด้วยเหตุในก็ตาม ผมก็พร้อมเสมอสำหรับการจากลา เพราะผมคิดว่า...เป็นการดีกว่า ที่จะได้เคยรักและสูญเสียมากกว่าจะไม่เคยได้รักใครเลย...

	คุณเงียบไป...ผมเลยไม่พูดต่อ ทั้งๆ ที่มีเรื่องมากมายเกี่ยวกับความรักของเรา หนึ่งในนั้นที่ผมอยากบอกให้คุณรู้ก็คือ...ความรักไม่เคยสูญหาย แม้ไม่ได้รักตอบ รักนั้นก็จะหวนกลับมาทำให้หัวใจของเราอ่อนโยน..

*****************				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเดอะ เคิร์ก
Lovings  เดอะ เคิร์ก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเดอะ เคิร์ก
Lovings  เดอะ เคิร์ก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเดอะ เคิร์ก
Lovings  เดอะ เคิร์ก เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเดอะ เคิร์ก