3 พฤศจิกายน 2545 17:59 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
เห็นหิ่งห้อย ลอยละไล้ ไหวระยับ
ดาวประดับ โพยมเสี้ยว เกี่ยวกิ่งไม้
เห็นนางฟ้า บนจวงจันทร์ ผันแพรวพราย
เก็บดอกไม้ มาบอกรัก กับดวงจันทร์
อนิจจา น่าสงสาร เจ้าหิ่งห้อย
เจ้าเรียงร้อย คอยนางฟ้า ด้วยกาพย์ฉันท์
แต่หิ่งห้อย หรือจะแข่ง แสงพระจันทร์
อย่าริรั้น คั้นแสง จะแห้งตาย
หวิวพระพาย ชายพัด สะบัดโบก
กลิ่นรอยโศก ลั่นระทม ดมแล้วหน่าย
วะแว่วเสียง เรระไร ใจละลาย
หน้าไม่อาย เจ้าหิ่งห้อย นั่งร้อยกลอน
อันนางฟ้า เธอไม่มา หาเจ้าดอก
จะช้ำชอก ถ้าออกบิน ปีนสิงขร
แรงก็ไร้ ไปไม่เทียบ ศศิธร
แสงก็อ่อน นอนรอรัก มาหักทรวง
28 ตุลาคม 2545 11:02 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
ให้คลั่งแค้น แน่นสุม กลุ้มตระหนก
ใจระทก วกวน สับสนใหญ่
ถูกเธอหยาม ประนามซ้ำ ระกำใจ
ความรักไซร้ เปลี่ยนเป็นแค้น เผาแผ่นทรวง
จะมุ่งหวังสิ่งใดได้อีกเล่า
ก็ใจเรา เธอเผาทิ้ง ทั้งหิ้งหวง
จะกัดฟัน ลุกขึ้น แล้วยืนทวง
หรือจะห่วง อยู่ห่างห่าง พลางรับกรรม
แม้เธอไปจุติเป็นนางฟ้า
จะขอเป็น ภูตา ให้เหยียบย่ำ
จะขอปลอม ยอมชั่ว มั่วอธรรม
ถึงใจช้ำ ย้ำรอยแผล แค่เจ็บใจ
แม้เธอใส่ส้นสูงงามสง่า
จะขอเป็น ขี้หมา ให้เหยียบไว้
กลิ่นเหม็น ติดตีน ไปจนตาย
ขอตามไป แม้ไร้ดิน สิ้นวิญญาณ
แม้เธอเป็นผู้พิพากษา
จะขอรับ โทษอาญา จากศาล
ใช้อักษร เหน็บแนม เยาวมาลย์
เอากลอนกาทน์ และแผลพร้อย มาร้อยเรียง
แม้เธอร้องเพลงรักหวานแหวว
จะควักแก้ว หูทิ้ง ทั้งโสตเสียง
เล่นเปียโน คลอน้ำตา มาคู่เคียง
สัมพันธ์เพรียง เสียงกวี กล่อมคีตา
แม้เธอแต่งงานออกเรือนไป
จะขอเป็นคนใช้ ให้จิกด่า
จะทรมาน ควักทิ้งทั้งแก้วตา
กลางวิวาห์ ที่คาใจ ใช้ประจาน
จะจดจำ พิษซ้ำ เธอทำเจ็บ
จะตามเหน็บ ไปชั่ว กาลปวสาน
จะรักเธอ ตราบฟ้าดิน สิ้นกาล
จะจองผลาญ อาฆาต ทุกชาติไป
27 ตุลาคม 2545 11:29 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
ขอให้เซื่อ ทุกสิ่งไป คั้นได้เฮ็ด
ในขอบเขต บ่ล่วงความ ตามผะหยา
ขอให้เซื่อ คั้นใจย้ำ นำธรรมา
บุญฮักษา เพิ่นว่าไว้ ให้เฮาจำ
ให้จื่อจด บ่คดโกง ละเฮ็ดเถิด
สุดประเสริฐ เฮ็ดไป นำใจย้ำ
ขอให้เซื่อ สิ่งดีไว้ คั้นได้ทำ
ออนซอนนำ บุญค้ำหนุน ผู้เฮ็ดดี
ขอให้เฮ็ด เฮ็ดดีไว้ นำใจเซื่อ
แบ่งปันเผือ เมื่อเพิ่นด้อย ถ้อยวิถี
บ่เว่าตั๋ว บ่มั่วกาม เฮ็ดความดี
เฮ็ดจังซี่ ที่ใจเซื่อ บ่เหลือแฮง
เฮ็ดนำความ ตามที่เซื่อ เพิ่นว่าไว้
เฮ็ดด้วยใจ ด้วยศรัทธา บ่กำแหง
บ่ลำบาก ยากผู้อื่น บ่หลื่นแฮง
เฮ็ดนำแสง พุทธรรม สิค้ำจุน
อภิธานศัพท์
บทที่หนึ่ง
1.เซื่อ แปลว่า เชื่อ
2. คั้น แปลว่า ถ้า
3.ล่วงความ แปลว่า ดื้อ ไม่เชื่อฟัง
4. ผญา แปลว่า สุภาษิตโบราณอีสาน
5. เฮา แปลว่า เรา
6. เพิ่น แปลว่า เขา ( สรรพนามบุรุษที่สาม )
บทที่สอง
1.จื่อจด แปลว่า จดจำ
2.ออนซอน แปลว่า ยินดี ชื่นชม
3.นำ แปลว่า ด้วย
บทที่สาม
1. เผือ แปลว่า thee vous หรือ vosotros เป็น สรรพนาม พหูพจน์บุรุษที่สอง ในภาษาอีสานโบราณ
ปัจจุบันนี้ไม่มีคนใช้แล้ว
2.เว้า แปลว่า พูด
3.ตั๋ว แปลว่า โกหก
4.จังซี่ แปลว่า อย่างนี้
5.บ่เหลือแฮง แปลว่า ไม่เกินแรง
บทที่สี่
1. หลื่นแฮง แปลว่า เกินกว่าแรง
2. สิ แปลว่า จะ
24 ตุลาคม 2545 22:58 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
ค่ำคืนนี้ ฉันมีดาว พราวเป็นเพื่อน
แสงนวลเดือน เยือนริมริ้ว ทิวเฉลียง
แสงจันทร์สด บดแสงดาว พราวระเบียง
ลมหนาวเบี่ยง เลี่ยงทิวไผ่ ไล่ดารา
วะแว่วเสียง เรไร ให้ใจแป้ว
คงไม่แคล้ว ให้คิดถึง คำนึงหา
ถึงความเก่า เรื่องเศร้า ที่ผ่านมา
เหมือนจากลา แต่ยังหวน ให้ครวญตรอง
อยากเก็บฟ้า ดารา มาถักสาน
เก็บวันวาน ผ่านความทุกข์ ที่หม่นหมอง
มาผสม ชโลมฝัน สีจันทร์ทอง
เก็บใส่กล่อง ตอกเข็มหมุด ลึกสุดใจ
เก็บน้ำค้าง กลางแววตา มาถักร้อย
อดใจคอย รอยฝัน ของวันใหม่
เหมือนน้ำค้าง กลางป่า พนาไพร
คอยแสงใส ไออุ่น อรุณกาล
จะเก็บกลิ่น ประทิ่นหอม ตรอมอโศก
เก็บรอยโศก โชคร้าย ที่ผันผ่าน
เก็บกลิ่นกลั่น ลั่นระทม เคยชมซาน
ใส่กลอนกานท์ ที่ขานรับ กับปากกา
เก็บความรัก ถักไว้ ในใจฉัน
เก็บคืนวัน เคยฝันเฝ้า พะเน้าหา
จะขอเก็บ เศษใจ คนไร้ค่า
เคล้าน้ำตา มาแทนหมึก เขียนร้อยกรอง
รติกาล จะผ่านผัน รอวันใหม่
แผลในใจ จะผ่านพ้น วันหม่นหมอง
ปลอบดวงใจ ที่สับสน ไร้คนมอง
รอแสงทอง ของอรุณ สุนทรีย์
21 ตุลาคม 2545 01:20 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
ด้วยใจรัก จึงสมัคร เข้ามาเล่น
ด้วยว่างเว้น วันวุ่นวาย จึงได้เขียน
ด้วยความเหงา เร้ารุมจิต จึงคิดเรียน
จึงหัดเขียน เรียนกลอน สอนใจคน
ใช่เชี่ยวชาญ งานกลอนกันท์ ฉันทลักษณ์
ใช่รู้จัก สลักร้อย กลอยกลอนด้น
ใช่ช่ำชอง ซ้องเสียง สำเนียงกล
แต่ชอบยล ยินเสียง สำเนียงกานท์
อาจห่ามห้าว กร้าวคร้าม เพราะความหนุ่ม
อาจเสียงสุ้ม ทุ้มสะเทือน เหมือนเสียงขาล
อาจกระแทก แดกกระทั้น ให้ครันคราม
จังหวะความ ตามโคลงกลอน ท่อนกระเทือน
ก็ใจรัก มันรักแล้ว ไม่แคล้วหยุด
ก็กลอนฉุด มันฉุดใจ ไว้เหมือนเพื่อน
ก็โสตเสียง เคยเรียงไว้ ไม่ลืมเลือน
ผูกใจเพื่อน สมัครเล่น เช่นโคลงกลอน