8 มีนาคม 2546 02:12 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
เมื่อพญาอินทรี จะคลี่ปีก
ใครจะไม่หลบหลีก ไม่ปลีกหนี
ข้าเป็นเจ้าเวหา พญาอินทรี
ใครไม่เกรงฤทธี จะบีฑา
พญาอินทรีเป็น-สัตว์-ชั้นสูง
มักชักจูงชี้แจง แฝงคาถา
สูตรไฮเทคเทคโนโลยี มีวิชา
ต้องยกให้อเมริกา อารยธรรม
เป็นผู้นำอุดมการณ์--เสรีภาพ
คอยปรามปราบพวกหยาบช้า บ้าระห่ำ
คอมมิวนิสต์ เทอร์โรริสต์ -ชิท----->ระยำ
ข้านี่แหละผู้นำ จำจนตาย
เป็นผู้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจ
คอยคอนโทรลความคิด มิตรสหาย
ใครหูเบา เขางอก ออกเป็นควาย
ลัทธิร้าย เกมส์ชั่ว กินหัวกู
บัดนี้...อเมริโกง หลงโมหะ
เคล้าโทสะ โลภะ คลุ้งคละอยู่
ปล้นสะดม คางคก จิ้งจกงู
-บาร์บาเรี่ยน- หรือจะสู้ ศิวิไลซ์
เมื่อเทพีเสรีภาพ กระหายเลือด
นกพิราบก็ถูกเชือดไม่เหลือไส้
สังเวยรัฐเสรีประชาธิไตย
จึงจรรโลงความจัญไร ไร้จรรยา
หยุดเสียเถิดพญาอินทรีบ้าบิ่น
หยุดเล่นลิ้น ปลิ้นปด บทคาถา
หยุดเข่นฆ่า เพื่อนมนุษย์ ดุจผักปลา
เพื่อบรรเลง เพลงตัณหา อารยชน
หรือจะสิ้น เทพี เสรีภาพ
เหลือแต่คราบ ความบัดสี อย่างปี้ป่น
หากอินทรี ยังริสร้าง ทางทุกข์ทน
น้ำตาคน จะเจิ่งนอง ทั่วท้องฟ้า
4 มีนาคม 2546 21:53 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
ลมหายใจ เจียนขาด บาดใจนัก
เมื่อเห็นภาพ มันหนุนตัก ยอดรักอยู่
หมดเรี่ยวแรง แข็งขืน จะฝืนดู
น้ำตาพรู ไหลพร่าง อย่างแค้นใจ
ป่าวประกาศ เป็นกลอนแปด แผดศัพท์เสียง
ร้อยรอยช้ำ ร่ำเจรียง สำเนียงไหว
ใครจะหนุน ตักใคร ก็ช่างใคร
จะขอลบ จากใจ ไม่ขอจำ
เสียแรงรัก ภักดี กี่ปีแล้ว
ห่วงดั่งแก้ว นพเก้า เฝ้าครวญคร่ำ
เสียแรงเขียน เพลงร้อย เป็นถ้อยคำ
กลั่นลำนำ ย้ำสลัก ว่ารักจริง
น้ำตาริน ไหลพร่าง อย่างเงียบเงียบ
มันเย็นเฉียบ ช้ำใน เพราะใจหญิง
ชีวิตสิ้น แหล่งพัก ไร้หลักพิง
เพราะความรัก ถูกทิ้ง ยิ่งน้อยใจ
กลั้นใจปลุก ปลอบขวัญ ที่ปั่นป่วน
คิดทบทวน ครวญคร่ำ พลางร่ำไห้
กลั้นเสียงโฮ อโหสิกรรม ย้ำหทัย
จะหลบลี้ หนีไป ไม่จดจำ
ถึงเอามีด กรีดใจ ก็ไร้ค่า
เมื่อเธอสิ้น ปรารถนา อารมณ์ร่ำ
เหลือแต่มีด กรีดพร้อย เป็นถ้อยคำ
เพื่อหลั่งเลือด อโหสิกรรม ย้ำความคิด
4 มีนาคม 2546 05:20 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
ต้นมะยมปลูกไว้ได้หวังผล
ทั้งรสชาติฝาดล้นปนเปรี้ยวหวาน
ไว้ขบเคี่ยวเคี้ยวเล่นแก้รำคาญ
ปลูกเอาไว้ในบ้านอร่อยดี
ปลูกมะยมคงนิยมสมคุณค่า
พิจารณาความเหมาะสมให้ถ้วนถี่
คนจะชื่นชมได้ด้วยความดี
ด้วยบารมีของบุคคล....ใช่ต้นไม้
ต้นมะขามปลูกไว้ให้หวังผล
รสมะขามอร่อยล้นคนขานไข
อีกลำต้นที่เบ่งบานเป็นก้านใบ
เป็นต้นใหญ่ให้ร่มเงา เราพักพิง
ปลูกมะขามปลูกไว้ให้ใครขาม
ลองหวนคิดพินิจความตามสรรพสิ่ง
ผู้มีเกียรติ์บารมี....ผู้ดีจริง
ผู้คนย่อมเคารพยิ่งกว่าสิ่งใด
เหมือนขนุนที่ปลูกไว้ให้ลิ้มรส
ใครพลาดก็อดรสผลไม้
กลิ่นขนุนหอมหวนเย้ายวนใจ
หวานอร่อยชวนให้มาลิ้มลอง
ปลูกขนุนใช่หวังให้ใครหนุนนำ
การกระทำสิคอยย้ำกรรมสนอง
บุญบาปใดก่อไว้ตามครรลอง
เราจะต้องตามจดตามชดใช้
ต้นไม้มิได้ให้คุณตามชื่อ
ประโยชน์คือ หวังคอยใช้สอยได้
ดุจดั่งคน วัดคุณค่า ที่หัวใจ
แม้ชื่องาม แต่เลวไซร้ ก็ไร้คุณ
9 กุมภาพันธ์ 2546 15:54 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
เห็นกิ่งต้นชงโคโล้ลมเล่น
แดดยามเย็นทอไล้จูบใบหญ้า
กลิ่นลมอุ่นละมุนอ่อนก่อนกุมภา
เป็นสัญญาณขานว่าต้องลากัน
กว่าลำต้นชงโคจะโตได้
จนผลิก้านดอกใบให้ลือลั่น
ต้องพากเพียรเขียนอ่านอยู่นานวัน
กว่าจะถึงฝั่งฝันวันสวยงาม
เริ่มปีหนึ่งเธอสวมรองเท้าขาว
ทุกย่างก้าวกังขาฝ่าขวากหนาม
มากภาระแบกรับกับนิยาม
สืบทอดนาม จามจุรี ศรีจุฬา
ขึ้นปีสองชงโคน้อยค่อยสดชื่น
เริ่มรู้อ่อนผ่อนยืนขืนลมกล้า
เริ่มรู้ -หยัด- รู้ -อยู่- สู้มายา
เริ่มเรียนรู้ฤทธาเทวาลัย
ขึ้นปีสามต้นชงโคก็แตกกิ่ง
ให้ผู้คนพักพิงอิงอาศัย
ทั้งผลิดอกออกช่อล้อลมไกว
เทวาลัยจึงสวยด้วยสองมือ
ขึ้นปีสี่ชงโคโตเต็มที่
ด้วยคุณธรรมความดีที่ยืดถือ
เป็นประทีปส่องประเทืองให้เลื่องลือ
สมกับชื่อมิตรรักอักษรา
ถึงตอนนี้ต้นชงโคก็โตแล้ว
ผลิดอกแก้วกิ่งใบให้รักษา
ป้องชงโคกล้าใหม่ที่ก้าวมา
ทนแสงแดดแผดกล้าท้าลมทวน
นาทีนี้พี่ชงโคก็โตพร้อม
ต่างผลิดอกออกห้อมล้อมรอบสวน
ทุกนาทีส่งสีเรื่อและเชื้อชวน
มอบแด่มวลศรัทธา ประชาชน
8 กุมภาพันธ์ 2546 22:07 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
แต้มสีสวย อีกนิด นะผีเสื้อ
แล้วเริงเล่น ลมระเรื่อ เมื่อแสงส่อง
เคล้าไอหมอก หยอกเยื้อไม้ ประกายกรอง
ฉันอยากมอง มุมในฝัน ของวันสวย
เติมกลิ่นหอม อีกหน่อย นะดอกไม้
จะออดอ้อน วอนพระพาย ให้พัดช่วย
โชยกลิ่นย้อน รอนร่ำ เมื่ออำนวย
เติมสีสวย ด้วยรวงทอง ของเกสร
นกน้อยจ๋า....ช่วยร้องเพลงหน่อยได้ไหม
ขับขานกล่อม พงไพร ให้พักผ่อน
ช่วยบรรเลง เพลงพ้อ คลอบทกลอน
อยากฟังเสียง เพลงอ้อน ก่อนหมอกจาง
เติมไออุ่น อีกนิด นะภูหนาว
ห่มผ้าห่ม* สีขาว คราวฟ้าสาง
ผิงไอแดด แผดร่าย เป็นรายทาง
ที่โอบป้อง ประคองร่าง กลางสายลม
เติมสีเขียว อีกนิด นะผืนดิน
แม้ไร้สิ้น ความหวัง ทั้งขื่นขม
ฉันอยากเก็บ เกล็ดหญ้า น้ำตาพรม
มาผสม ชโลมฝัน วันงดงาม
ซับน้ำค้าง ในแววตา หน่อยได้ไหม
แล้วช่วยซับ แผลใจ ที่ใครหยาม
หยิบสำลี สีหม่น บนฟ้าคราม
มาซับน้ำ ตาไว้ ก่อนไหลริน
เติมความรัก สักหน่อย นะหัวใจ
เติมความหวัง เอาไว้ อย่าให้สิ้น
แล้วจงหยัด ยืนอยู่ สู้ชีวิน
บนแผ่นดิน ผืนสวย ด้วยความรัก
26 มกราคม 2546
แต่งที่ ปากแม่น้ำมูล สู่แม่น้ำโขง ชายแดนไทย-ลาว
อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี