6 พฤษภาคม 2547 21:31 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
สี่ปีจากนี้
คือนาทีที่ดอกไม้ใกล้จะผลิ
รอเธอเติมไฟฝันอันเริ่มริ
ด้วยสติของศรัทธาปัญญาชน
เพียงเธอท้าแสงแดดอันแผดกล้า
เพียงเธออาจหาญฝ่าพายุฝน
เก็บหยาดเหงื่อทุกหยดอย่างอดทน
ยืนหยัดด้วยตัวตนจนมั่นใจ
เพื่อเรียนรู้ชีวิตจากชีวิต
เนรมิตคืนวันเคยฝันใฝ่
ค่อยค่อยเติมเชื้อฟืนสู่เปลวไฟ
เธอต้องใช้ความมานะพยายาม
จนเธอเอื้อมคว้าดาวประดับฟ้า
หลั่งจากการบุกป่าฝ่าขวากหนาม
ระบายสีดอกไม้ให้สวยงาม
ก้าวเดินตามคุณธรรมเป็นสำคัญ
ในสังคมปัจจุบัน ณ วันนี้
เมื่อคนดีถูกอธรรมรุมห้ำหั่น
เจตภูตเบ่งบ้าเข่นฆ่ากัน
สารพันไฟกามจะลามลวน
เธอคงเห็นปัญหาหนักอันหมักหมม
จนสังคมปัจจุบันนั้นปั่นป่วน
รอเธอกู้และแก้ความแปรปรวน
เธอทั้งมวลไม่ทำใครจะทำ!
24 มีนาคม 2547 15:52 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
(ว่าง)เปล่าค่ะ...(ว่าง)เปล่า ไม่ได้โป๊
หนูแค่โชว์ศิลปะสมัยใหม่
จะล่อนจ้อนทั้งตัวหนักหัวใคร
หนูต้องแคร์ทำไมถ้าได้ตังค์
จะเจริญก้าวหน้าเป็น-อารยะ-
ต้องกราบตีนคารวะพวกฝรั่ง
ทิ้งวิถีไทยไทยให้ผุพัง
เพราะล้าหลังล้าสมัยไม่ทันกิน
คือแบบอย่างของหญิงสมัยใหม่
อย่าปล่อยให้สัตว์เพศผู้มันดูหมิ่น
มีรายได้ขาวสะอาดปราศจากมลทิน
ถ่ายภาพศิลป์สร้างสรรค์บันเทิงตา
คนเขาบ่นบอกหนูนี้ที่เป็นเหตุ
ยุพวกเปรตให้ข่มขืนและฉุดคร่า
เสียงผู้ใหญ่ตำหนิติติงมา
สิทธิ์ของหนูนี่หว่าอย่าแส่ติง
ทำโหวกเหวกโวยวายได้ตังค์ไหม
ประชาชนชาวไทยที่รักยิ่ง
เซ็งพวกคนอวดรู้ไม่รู้จริง
นี่แหละสิทธิผู้หญิงอย่าว่ากัน
เป็นแนวทางแก้ไข -ไข้หวัดนก-
ที่คนตื่นตระหนกกลัวนกเขาไม่ขัน
หนูเลยต้องเปลืองผ้ามาประชัน
บูชายัญวิญญาณ -นก-บ้านเรา
13 มีนาคม 2547 10:35 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
เป็นแค่ผู้ชายคนนี้
บนพื้นฐานวิถีที่แตกต่าง
สวนกระแสความคิดสวนทิศทาง
ทุกก้าวย่าง..ถ่อย..เถื่อนไม่เหมือนใคร
แต่เป็นคนดื่มด่ำธรรมชาติ
จนมิอาจเก็บซ่อนความอ่อนไหว
แค่เป็นคนละเอียดละเมียดละไม
ทั้งหัวใจชีวิตจิตวิญญาณ
แค่รักจันทร์รูปเคียวเกี่ยวกิ้งไม้
รักแสงดาวพราวพรายในหมอกม่าน
รักแสงสีคีตศิลป์จินตการ
รักเพลงหวานแห่งความหวังพลังใจ
รักสีสันพรรณรายของสายรุ้ง
กลิ่นดินคลุ้งเวลาฟ้าเริ่มใส
รักจักจั่นเสียงเซ็งแซ่มาแต่ไกล
ต่างจากคน -ศิวิไลซ์- ในราตรี
ไม่ใช่คนชอบบูชาค่าสิ่งของ
ที่จะต้อง -ติดล้อ- ถือ -จอสี-
ไม่ได้หล่อลากดินสิ้นความดี
ไม่ได้มีเงินตราไว้ฆ่าฟัน
ไม่ได้เก่งหรือเท่แบบเสแสร้ง
ไม่ได้แล้งศีลธรรมหวังห้ำหั่น
ไม่ได้หวังสะสมพรหมจรรย์
ไม่ใช่ -ฉัน- ที่เธอ จะเผลอมอง
7 มีนาคม 2547 20:53 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
ฉันไม่ใช่กวี
เพราะไม่มีหัวใจอ่อนไหวหวาน
ไม่อาจสื่อชีวิตจิตวิญญาณ
ถ่ายทอดจินตนาการผ่านถ้อยคำ
ฉันไม่ใช่กวี
ไร้สรรพ์สีของอารมณ์รอบ่มร่ำ
ไม่อาจสื่อวิสัยทัศน์สัจธรรม
สะกดจนคนจำประทับใจ
ไม่อาจเขียนชีวิตด้วยชีวิต
ขาดข้อคิดคำคมสมสมัย
จนผู้อ่านก็แค่อ่านผ่านเลยไป
เพราะยังไร้ประสบการณ์การฝ่าฟัน
มิอาจกล่อมนกน้อยให้คล้อยหลับ
สุดคว้าดาวมาประดับกับความฝัน
ไม่อาจนับเม็ดทรายใต้เงาจันทร์
มาหลอมแก้วแววสวรรค์พรรณราย
และไม่อาจแต้มสีให้ผีเสื้อ
ให้สดใสทุกเมื่อเพื่อฟ้อนส่าย
เคล้ากลิ่นเกสรขจรขจาย
ที่เย้าหยอกดอกไม้ใต้หมอกบาง
แม้ฉันไม่ใช่กวี
ไร้ศักดิ์ศรีสับสนคนถากถาง
ถึงชีวิตอาภัพฝันอับปาง
ไม่มีทางกราบเท้าขอข้าวใคร!
2 มีนาคม 2547 14:30 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
อยากจะผูกคอตายหมายพิสูจน์
แทนคำพูดปลุกใจให้ฮึดสู้
ว่ายาพิษผิดหวังเหมือนดังครู
ดื่มเพื่อเรียนเพื่อรู้สู้กับมัน
และน้ำตาหยดนี้ก็มีค่า
เปรียบราคารอยรันทดสู้อดกลั้น
ทุกเส้นทางเถื่อนท่าเคยฝ่าฟัน
บันทึกแรงใฝ่ฝันกลั่นออกมา
แทนบทเพลงแสนหวานฝานรสขม
ที่เพาะบ่มสัจธรรมอันล้ำค่า
ช่วยส่งเสริมศักดิ์ศรีของชีวา
และเยียวยาความบัดสีของชีวิต
พิษผิดหวังครั้งนี้มีประโยชน์
อย่าถือโกรธโทษชะตาฟ้าลิขิต
แม้ใจแตกเป็นชิ้นอย่าสิ้นคิด
ต้องตั้งจิตตั้งสติวิจารณญาณ
ค่อยฮึกเหิมหัดสู้เรียนรู้ โลกย์
สุขและโศกขื่นและขมผสมผสาน
เมื่อกล้ำกลืนฝืนทนจนชำนาญ
จนสำราญกับความทุกข์ในทุกครั้ง
ก็จะสุขหัวใจที่ได้ทุกข์
และสนุกกับชีวิตที่ผิดหวัง
ถึงอ่อนล้าหัวใจไร้กำลัง
-กู-จะยังเชิดหน้าท้าความทุกข์