12 กรกฎาคม 2548 13:27 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
กังวานแตรดุริยางค์อึ่งอ่างร้อง
เสียงแซ่ซ้องสานสดับบอกสรรพสิ่ง
เสพสังวาส ณ หนทางคนร้างทิ้ง
ตากความนิ่งของน้ำฝนซึ่งคนเมิน
หอมหวนกลิ่นดินคลุ้งฟุ้งสวรรค์
โยงถิ่นฝันฟ้ากว้างสัตว์ห่างเหิน
ชักชวนเทพเปิดทางให้ย่างเดิน
จึงดำเนินมากินดินถิ่นโลกา
เขาดื่มด่ำคร่ำเคร่งเพ่งกสิณ
ตากฝนรินฟุ้งระลอกฝุ่นหมอกฝ้า
กายเปียกชื่นชุ่มฉ่ำหยาดน้ำฟ้า
ม่านมายาตรลบกลิ่นอบอวล
ในระหว่างทวยเทพเสพกามรส
เขาเพ่งหยดน้ำเย็นเป็นส่วนส่วน
ต่อต้านสุขสำเนียงเสียงคร่ำครวญ
ซึ่งก่อกวนอารมณ์ลมหายใจ
จนจิตนิ่งจึงนำกำเนิดเห็น
แจ้งชัดเจนคลายเงื่อนความเคลื่อนไหว
เกิดปัญญารู้เห็นสิ่งเป็นไป
ระหว่างในวงเทพซึ่งเสพกาม
11 กรกฎาคม 2548 03:08 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
ซากุระร่วงหล่นบนแอ่งน้ำ
คือนิยามสรวงสวรรค์อันแสนหวาน
รำลึกห้วงความฝันเมื่อวันวาน
แห่งชีวิตวิญญาณจากลานดิน
ดื่มด่ำความลุ่มหลง ณ ตรงหน้า
สีชมพูลานตาประดาสิ้น
สายฝนเล่นลำนำยังย้ำยิน
ชะล้างถิ่นธรณีที่คนจร
ซากุระสะอื้นโศกกับโชคร้าย
เปียกน้ำฝนปนทรายปลายเกสร
ชวนวังเวงเหว่ว้าวุ่นอาวรณ์
โหยหาความอาทรจนอ่อนใจ
เคยสวยสดงามอยู่ตามต้น
กลับต้องทนทุกข์กล้ำร่ำร้องไห้
ยอมคนเหยียบคนย่ำอยู่ร่ำไป
หนาวหมอกฝันควันไฟในโคลนตม
แล้วเกสรซึ่งชื้นความขื่นช้ำ
กลับเนื่องนำแน่นหนักสิ่งหมักหมม
เลี้ยงลำต้นรากใบให้ชื่นชม
ด้วยเศษซากโสมมอาจมกลี
รอผลิดอกออกสะพรั่งอีกครั้งใหม่
ท้าความฝันควันไฟในทุกที่
ตามวัฎฎะจักรวาลนับล้านปี
ขีดวิถีชีพไว้ให้ก้าวเดิน
8 กรกฎาคม 2548 12:32 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
จันทร์วาดภาพค่ำคืนเหนือผืนน้ำ
บันทึกความหลับใหลในเมืองหลวง
ปิดกั้นวันย้อนยอกโลกหลอกลวง
เปิดรับห้วงสรรพสีราตรีกาล
จุ่มพูกันแห่งกวีชุบสีแสง
แล้วลงแรงอารมณ์ผสมผสาน
เสกผสมกลมกลืนความชื่นบาน
จนเกิดงานศิลปะประทับใจ
นำเรื่องราวมาฝากจากฟากฟ้า
ร้อยดาราแลระยับประดับสมัย
พิมพ์พระจันทร์รูปเสี้ยวเกี่ยวสายใย
เคล้าแสงไฟเมืองฟ้ายามราตรี
ระบายภาพสะพานแขวนดินแดนฝัน
เทพสวรรค์วาดเสริมเติมแสงสี
ตึกแม้มืดดำหม่นปนราคี
ก็ยังมีแสงทองสาดส่องมา
เพลงค่ำคืนขื่นขมบ่มความเศร้า
แทรกความเหงาเงียบงันซ้อนหรรษา
เพลงลำน้ำภูมิลำเนาเจ้าพระยา
ปลุกวิชาจิตรกรก่อนอรุณ
จนตะวันขึ้นประทับประดับฟ้า
ไอร้อนแรงก็วิ่งหาความว้าวุ่น
แสงพระจันทร์หลอมสลายหายเป็นจุณ
กลับสู่สุญภาวะสภาพเดิม
4 กรกฎาคม 2548 16:55 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
เกิดแก่เจ็บตายกล้ำ...................กลืนกมล
กรรมกลับกลอกหลอกทน...........ทุกข์แท้
ตามวัฏวิ่งเวียนวน.....................ระแวงวุ่น
ซ้ำซากย้ำฉากแม้........................หมื่นล้านผ่านสมัย
หน่ายเกิดแก่เจ็บตายวุ่นวายโศก
ปลงต่อโลกลามนรกความหมกไหม้
สลับสุขทุกข์ยากหลากโรคภัย
ระหว่างความเคลื่อนไหวไฟบาปเย็น
ตัดตอนอัตตาต้อง.....................ตรึกตาม
ครวญคิดสิ่งผิดทราม.................เสื่อมเว้น
ไหนแน่ไม่แน่ปราม......................ปลงปลด
รู้จักรักเกลียดเร้น........................ระงับร้ายคลายหมอง
จึงรับทราบอาจมสังคมโลกย์
ทั้งทรามโศกสุขวุ่นซึ่งขุ่นข้อง
เข้าใจเรียนรู้รับปรับมุมมอง
ด้วยแสงทองศรัทธาภาษาธรรม
เกิดรำงับกิเลสร้าย..................เลวทราม
ดับอัคคีคุกคาม.......................ใคร่ย้ำ
ด้วยไตรสิกขานิยาม.................โยงจิต
ตาพิศจิตหั่นห้ำ.......................แหกลี้ผีอกุศล
กิเลสร้ายตายก่อนวงจรวัฎ
หลุดกำหนัดก่อนหนีความปี้ป่น
"ตาย" ก่อน "ตาย" ตัดชั่วตัดตัวตน
หนีทุกข์ทนท้าอธรรมนำจิตจาร
จึงดับทางทุกข์สิ้น.................สุดกระแส
อริยมรรคแทนจักรแปร..........ปรับค้าน
ละวิบัติอัตตาแผล.................ผีกิเลส
ตายก่อนกายตายต้าน.............ต่อสู้กู้แสวง
27 มิถุนายน 2548 12:11 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
แมงเม่าบินไต่เต้า......................ตอมตะวัน
สรวงเซ่นแสงสูรย์สวรรค์..............วอดสิ้น
ตามแรงราคโมหันต์......................โหมหื่น
เพทุบายหลอกปลิ้น..........................ปลอกปล้อนหลอนผี
ยิ่งหลงรสจำเรียงโสตเสียงแสง
ยิ่งโหมแรงหื่นรับล้านสรรพสี
ตามกระแสเศษโลกโศกกาลี
จึงอยากมีมักมากยากปรับปรน
เห็นเปลวไฟเปียกชื่น......................เป็นชล
กามอิ่มอาบฉาบกมล......................มั่วสร้าง
จึงแมงเม่าวกวน............................เวียนวัฎ
ไฟหมาดอุจาดล้าง...........................เล่ห์ร้ายคลายกระแส
เผาผลาญม่านบังตาประสาใบ้
ด้วยแรงไฟรุกกระหน่ำความย่ำแย่
ร้อนต่อร้อนร้ายเวียนจึงเปลี่ยนแปร
ลบภัยแพ้ภาพพิษอวิชชา
แมงเม่าตายตกต้อง.........................ตามประสา
หลงม่านมารปิดตา...........................ตอกย้ำ
แสงสีสุตมายา...............................โยงเสนียด
จึงช่วยคนหนีช้ำ..............................ระบุชี้กลีหมอง