29 กรกฎาคม 2551 13:53 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
She is like a village brook
Flowing incessantly
Babbling softly;
There's no show of wave, no whirl of eddies in her water
A tree bowed down from the bank, within her deep shade
Confines the sky above
Of no imporance is her world on whose dust
Wild flowers bloom unseen,
Honey doth not know its own worth
No bees ever praise her
The lamp in the alcove she ligts and puts out,
Her days pass rendering simple service,
Her bath over her tresses loose,
With aparajita flowers,
In the morn, silent offerings she makes
And with mind undivided she sings her hymns.
At mid-day, neath her window
She watches in the pool,
Deep layers of moss
An o'er it sport the butter-flies
In the misty imagination
And in thoughts not effable in words
Her mind remains engrossed
Amidst the inarticulate rustling of noon
The calm of the evening she carries inside her veil
She wends her way to the river
A pitcher on her hip
Skirling the groves of bamboos
With slow steps she passed by -
Is her name Shyamali?
Rabindranath Tagore
ดังน้ำเย็นหล่อเลี้ยง..........เล่นไหล แม่เอย
ผ่านหมู่บ้านธารใส...........ตลอดคล้อย
กระซิบเสียงศัพท์สาวไหน............หนอแผ่ว เพลินแม่
ดังศัพท์สินธุ์อ้อยสร้อย...........สุดสิ้นสับสน
ยลไม้โน้มกิ่งโค้ง...................เคียงวิถี
จากฝั่งฟากนที......................หยอกเย้า
ส่วนลึกสุดเงาสตรี.................ตรึงอก เธอฤา
ต้องเก็บกักกอดเฝ้า......................ฟากฟ้าทั้งผืน
คืนวันโลกดุจสิ้น............สำคัญ
ผกาป่าอวดประชัน.............ดอกไม้
เหนือธุลีฝุ่นดินอัน..................สูญเปล่า
ถึงงดงามก็ไร้...................ซึ่งผู้เพลินมอง
ลองน้ำผึ้งไม่รู้..........................รสหวาน ดังแม่
ผึ้งไม่สรรเสริญสาร....................รสแล้ว
โคมประทีปรติกาล......................ผนังติด เตียงนอ
เธอจุดดับไม่แคล้ว-.......................คลาดร้างกิจสตรี
ลีลาศผมหมาดน้ำ-...............มันชโลม
แซม อปราชิต โฉม....................แช่มช้อย
สงบสงัดโอษฐ์เอ่ยโอม..................เอมอิ่ม อรุณเฮย
โศลกศักดิ์สิทธิ์สวดร้อย.....................จิตสร้างสุขศานติ์
ใต้บานหน้าต่างโอ้............อิ่มเอม
ยามเที่ยงเพลินพิศเกษม..........สระน้ำ
เพลินพิศพืชสระเปรม-.........ปรีดิ์อก ฤาแม่
เหนือสระผีเสื้อล้ำ-............เลิศพลิ้วเพลินลม
ชมจินตนาภาพฝ้า..............ฝุ่นควัน
ความคิดไกลกว่าสรร..........ศัพท์สร้าง
ดื่มด่ำเมื่อเที่ยงวัน.................ภวังค์จิต เธอนอ
สรรพสิ่งเกินกล่าวอ้าง.........เอ่ยย้อนบรรยาย
ภายในผ้าปิดหน้า............อิสตรี
คือสุขสายัณห์ศรี.............สวัสดิ์เร้น
เธอนวยนาดสู่นที..............ธารป่า
เหยือกผูกติดตะโพกเน้น............เสน่ห์ชี้ชมเชย
เลยเดินลัดเลาะพู้น................ไผ่พนา
เนิบนาบทุกลีลา....................เลิศล้ำ
อ้อยสร้อยทิพย์มนตรา.............ตรึงผูก เราฤา
เธอชื่อศยามล ย้ำ..................เรียกอ้อนออดเธอ
รพินทรนาถ ฐากูร: ประพันธ์
เชษฐภัทร วิสัยจร: แปล
16 กรกฎาคม 2551 19:53 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
สายลมสีเล่นซึ้ง................หลอนทรวง
ลอบปอกลอกป่วนลวง............ปากลิ้น
ปาหี่เป่าหูปวง........................หัวป่วน
ส่งทุกข์สุขทั้งสิ้น..................ถ่ายสร้างทางเสียง
เคียงเอ่ยเคียงออดอ้อน.................เอาใจ
รักหลอกรักบอกไป.................ไป่ร้าง
ท่าทีท่าสาไถย.......................แถกลบ เกลื่อนเฮย
ท้ายสุดท้ายจากอ้าง......................อกรั้นตัณหา
พาลมปากแม่ซึ้ง..........................สั่งลา
ลาจากบ้านสัญญา...................ยืดย้ำ
ย้ำบอกจะกลับพัฒนา.....................ชนบท
บทสุดท้ายแม่ช้ำ-....................ชอกเก้อรอคอย
พล่อยลมปากพ่อค้า......................คนกลาง
คอยกดชาวนาพลาง...............พูดชี้
พาชาติชอกช้ำวาง...............วงเงื่อน
เวรโง่ชาวนาปี้-....................ป่นแค้นขาดทุน
วุ่นอลัชชีเฒ่าอ้าง.............อวดธรรม
อวดเทศน์บอกหวยอำ..........แอบใช้
แอบฉวยฉกศีลนำ..........ชนวนปาก เป่านอ
ชนวนป่วนญาติโยมใบ้................บอดสิ้นธรรมนิยม
ผมรวยแล้วเลิกแล้ว....................เชื่อผม
อ้างชาติศาสน์กษัตริย์ลม...........ปากอ้าง
แจกเงินแจกประชาจม...............เงินแจก
หลอนชาติขายชาติมล้าง.............แลกซื้อเสียงหลอน
สอนหนอนไชรากแก้ว...............กลางเมือง
เถื่อนเกลื่อนกรุงเหี้ยเรือง...........รุ่งแจ้ง
พาหมาจ่ายสตังค์เปลือง................กระเป๋าแหก
เปรียบเทียบพายุแกล้ง................กวาดเกลี้ยงเงินกู
พรูลมปากเล่าเร้า....................ลาญสยาม
ตัวแตกแยกลามปาม.............ป่วนปล้น
ทุจริตปิดความตาม..............ตีเล่ห์ ลวงนอ
เสียงส่วนใหญ่ขนล้น............เลือกแล้วลืมหลง
พาสัดทะนง อสัตย์ซ้อง..........สัตว์กิน
พาผิดศาสน์พังภินท์..........ผิดเพี้ยน
พาขายชาติทรัพย์สิน.............ขายสนุก สนานเฮย
พาเทียบทวยเทพเฮี้ยน..............เทียบแสร้งเสวยสวรรค์
สีสันปากมนุษย์เว้า..................วนระบาย
พันลึกสุดบรรยาย................ยั่วย้อน
เถิดตรองก่อนตัวตาย..............ตามตก กันนอ
คะเนพิษลมปลิ้นปล้อน...........ป่วนแล้วนครสยาม
11 มิถุนายน 2551 23:28 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
หอมกาแฟบดฟุ้ง.................ชวนฝัน
ลิ้มรสฟองนมสวรรค์...............วาบลิ้น
เติมหวานนิดหน่อยมัน............พอเหมาะ
ด้วยรักจากใจสิ้น.................เสกด้วยกาแฟ
หอมฟุ้งกาแฟบด
แล้วชิมรสฟองนมสวรรค์
น้ำตาลขมหวานมัน
เธอเนรมิตจากจิตใจ
ร่ำร่ำเครื่องบดร้อง
อกรวนรวนชวนสงสัย
หอมกลิ่นกาแฟใคร
ยิ่งครุ่นคิดชวนติดตาม
เธอสวมชุดนอนขาว
แดดยามเช้าเย้าหยอกถาม
สบายดีไหมคนงาม
เธอตอบว่า สบายดี
จ๊ะเอ๋ฉันโผล่ทัก
กอดเต็มรักแล้วจั๊กกะจี้
คนบ้าแหมน่าตี
มาทีเผลอ เอ้อ คนเรา
ทำทีจิบกาแฟ
แต่แอบจุ๊บแก้มที่เก่า
ออดอ้อนฉันวอนเว้า
ขอน้ำตาลตาหวานเติม
ขอนมอีกนิดหน่อย
เอร็ดอร่อยพลอยฮึกเหิม
แดดอุ่นละมุนประเดิม
ดูดดื่มหวิวลูบผิวมัน
หวานขมรสกลมกล่อม
เหงื่อหอมหวนชวนเคลิ้มฝัน
พลังเติมก่อนเริ่มวัน
ที่วุ่นวายในเมืองกรุง
กาแฟที่หลงใหล
ให้รุกรักรู้จักปรุง
รสกลิ่นเร้าบำรุง
คือเรี่ยวแรงแห่งชีวา
ยิ่งขมก็ยิ่งรัก
ยิ่งหวานหนักยิ่งโหยหา
กลิ่นซึ้งยังตรึงตรา
รักยิ่งซึ่งติดตรึงใจ
คู่รักแห่งกาแฟ
สร้างคู่แท้แห่งยุคสมัย
ขับเคลื่อนความเป็นไป
ให้โลกสวยด้วยความรัก
6 มิถุนายน 2551 19:48 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
ลูกครึ่งหรือลูกเสี้ยว
ดูแล้วเสียวสับสนความ
กาหงส์คงสวยตาม
เสน่ห์ตนแต่นานปี
สีขาวคือสีดำ
แท้สีใดไม่เคยมี
มายามาย่ำยี
มาเย้ายั่วให้มัวเมา
ผีเสื้อคือหนอนน้อย
พลอยแยกยากลำบากเรา
ยังงงยังงมเงา
ยิ่งงึมงำยิ่งโง่งม
ลากลายเป็นจิ้งจอก
ความกลิ้งกลอกก็กลืนกลม
พาพวกซื่อผสม
ผสานพิษเพื่อสิทธิ์ทราม
ดวงจันทร์คืนวันเพ็ญ
อาจกลายเป็นคืนมืดตาม
สองขั้วสองเขตคาม
คือโลกสร้างทางสมดุล
น้ำคลองคือฝนฟ้า
ที่ระเหยระเหิดหมุน
วงจรแห่งวงจุล-
ชีวิตวิจิตรเจริญ
ขอทานเป็นเศรษฐี
ด้วยวิธีอดออมเงิน
เศรษฐีโดนประเมิน
เป็นขอทานเพราะมารกลืน
คนดีอาจทำชั่ว
คนโฉดอาจเปลี่ยนจุดยืน
เทวทัตสำนึกคืน
ก็ตรัสรู้กอบกู้ธรรม
ทางซ้ายหรือทางขวา
อย่ายึดติดพินิจนำ
สิ่งแน่ไม่แน่จำ
จงสังวรสอนใจกัน
สองขั้วหรือสองข้าง
จงปล่อยวางอย่ายึดมัน
วิถีเชื่อมโยงสรรค์
สร้างสมดุลหมุนจักรวาล
6 มิถุนายน 2551 15:14 น.
เชษฐภัทร วิสัยจร
ประชันปัญหาประชาพินิจ
ประชุมความคิดประดิษฐ์คำถาม
ประสมคำตอบประกอบนิยาม
ประพันธ์เพื่อปรามประณามบาปกรรม
ประทับปัญญาประสาพิจารณ์
ประณีตชำนาญประมาณสูงต่ำ
ประโลมวิญญาณประสานศีลธรรม
ประจานระยำประจำหัวใจ
ตรึกตรองลองเตือนเหล่าเพื่อนรัก
ทึกทักทวนถามความสาไถย
ผลประโยชน์เปื้อนย่ำกระหน่ำไทย
เราก็หลงใหลไปตามกล
สี่แพร่งแสงพร่าจากอาทิตย์
ส่องติดสาดเตือนเพื่อนทุกหน
สี่คอกเสาค้ำจากคำคน
เขาต้อนหวังผลเหล่าคนทราม
สี่ทางก้าวไปตรองให้ทั่ว
สี่แพร่งคอกวัวบาปยั่วหยาม
สี่พุทธสัจธรรมนำป้องปราม
สี่คอกครวญถามตามปัญญา
พุทโธวิถีกลางสี่แพร่ง
ลงแรงต่อสู้หยัดอยู่กล้า
ตรึกตั้งตรองสติพิจารณา
เปิดหูเปิดตาสมาธิ
อยากเยื้องอยากย่างไปทางไหน
เถิดไทยทั้งผองตรองสติ
สร้างสรรค์ส่งเสริมความเริ่มริ
ชำนิชำนาญสานเส้นทาง
อคติตัดตอนลดถอนบาป
เชื่อมภาพผิดแผกความแตกต่าง
มัฌฌิมายืนยงอยู่ตรงกลาง
วิถีเสกสร้างวางสัมพันธ์
ประสมความคิดประสิทธิ์วงศ์ชาติ
ประพัฒน์ผองญาติประศาสน์เขตขัณฑ์
ประดับเมตตาประสาจำนรรจ์
ประทีปทิพย์ปันประจัญกลีกล
ประทับมนุษย์ประดุจดวงมาน
ประเทืองวิญญาณประสานเหตุผล
ประเทศกำเนิดประเสริฐกมล
ประหนึ่งวีรชนประพนธ์แผ่นดิน