18 มีนาคม 2551 17:59 น.
เจ้าพานทอง
ละลิ่วลอยละอองทรายในสายลม
พันคะนึง หนึ่งอารมณ์ ถมทรวงข้า
ร่ายบรรเลงเพลงทรายหลายทิวา
เพื่อตามหาโฉมชื่นมาคืนใจ
อยู่ไหนหนอรอไปใจละห้อย
ชะเง้อคอยในรอยทรายให้โหวงไหว
พายุพัดพาฝุ่นดินถมถิ่นใจ
จมหทัย ท่วมอุรา...แสนอาดูร
กลทรายระบายสีแสงสีแสด
ตัดสีแดดของแดดฟ้ามาแต่สูริย์
แต่ไร้เจ้า...ก็เปล่าดายไม่สมบูรณ์
ทวีคูณคือความปวดรวดร้าวใจ
เดินลากขามาหาฝันอันสลาย
ย่ำเนินทรายมาหลายเขต...เหตุไฉน
จึ่งมิพบสบตางามตามหฤทัย
ที่วาดหวัง ที่ตั้งใจจะได้เจอ
แม้ไม่พบ ก็ขอเพียงเคียงนางฝัน
ในภวังค์ดั่งเพลงทัณฑ์ฉันเพ้อเผลอ
แม้เมื่อตื่นไม่พบหน้า หาไม่เจอ
ก็มีเธอแนบหทัยไม่คลายครา
30 มีนาคม 2550 10:23 น.
เจ้าพานทอง
เดินเดี่ยวเปลี่ยวร้างอย่างคนเศร้า
มืดมัวหม่นเมาความนิ่งเฉย
อ้างว้างทางไกลไม่ถึงเลย
ยังไม่เคยถึงฝันวันสบาย
เหลี่ยวหาหน้าใครไม่มีเห็น
เพียงเป็นคนผ่านแล้วพลันหาย
มีแค่ตัวเปล่าเราเดียวดาย
กอดเข่าคู้กายหัวใจราญ
ลมฉิวผิวแสบแทบด่าวดิ้น
เกือบสิ้นลมหายใจไม่ร้องขาน
เสียงแหบแห้งโหยโรยวิญญาณ
หมดลานไขเท่าไรไม่ก้าวเดิน
ยินเพียงเสียงแว่วก็แล้วจาก
สุขพรากใจวะหวิว...แค่ผิวเผิน
กอดแต่ลมห่มแต่เศร้า...เขามองเมิน
เป็นส่วนเกินเศษผงคงไม่เอา
ไหล่ลู่คู้หลังแล้วถั่งเดิน
ต้องเผชิญแต่อับโชคโลกอับเฉา
ลากสังขารผ่านถนนบนทางเรา
ทางสายเก่าที่เราช้ำย่ำจุดเดิม
6 มีนาคม 2550 15:38 น.
เจ้าพานทอง
พลิกหน้าหารสทุกบทแทรก
จึงจำแนกแจกสารทั้งงานไข
ตัวละครสอนคดีมีเรื่อยไป
เป็นนิยามความนัยที่ว่ายเวียน
แค่ลองตริตรองดูจะรู้จัก
ระหว่างวรรคระหว่างคำที่กร่ำเขียน
มีภาษิตสะกิดใจให้พึงเรียน
มีจำนรรจ์อันแนบเนียนให้เพียรดู
นี่แหละคือนิยายขยายคน
คือถนนทอดผ่านกาลคงอยู่
เป็นเส้นสายลายชีวิตให้พิศดู
เป็นคำครูครองธรรมนำปัญญา
หากหลงทางอย่างตัวละครเป็น
ก็ลองเฟ้นเน้นหนักประจักษา
มาคลี่แลมาแก้ไขเพิ่งได้ตา
เบิกสว่างสางปัญหา...ยาหัวใจ
เนื้อนิยายดั่งนิยามความเป็นคน
เสนอผลสนนค่าปัญญาใส
เก็บเหตุการณ์สานสนุกมาปลุกใจ
ย้อนดูรู้คำไข...ให้แก่ตน
7 กุมภาพันธ์ 2550 14:30 น.
เจ้าพานทอง
+
+
+
จะกี่ชาติจะตามไปไม่คลาดครา
จะเสาะหาดวงใจในห้วงฝัน
จะสื่อใจถึงใจให้แก่กัน
แม้สุดหล้าฟ้ากั้นไม่พรั่งพรึง
เพื่อได้พบสบสุขอันสดใส
เพื่อหัวใจไสวสวยด้วยคิดถึง
เพื่อดำเนินเพลินรักประจักษ์จึง
เพราะซาบซึ้งถึงคำพร่ำอาวรณ์
ด้วยใจภักดิ์เพ็ญเดือนที่เลื่อนฟ้า
ด้วยดาราเริงใจไม่ถ่ายถอน
ด้วยน้ำค้างกลางหาวกล่าวคำกลอน
เป็นสำเนียงเสียงสุนทรอ่อนละมุน
เพียงนัยน์ตาพาสบพบสำราญ
เพียงนงคราญผ่านมาพากลิ่นกรุ่น
เพียงเอื้อนคำนำภาษามาเจือจุน
ก็เป็นบุญอุ่นใจ...ได้ผูกพัน
แค่ชะเง้อเพ้อฝันก็พลันใฝ่
แค่ชะแง้แลไปก็ใจหวั่น
กลัวเธอจากพรากไปห่างไกลกัน
แต่ก็คงเป็นเช่นนั้น...ฝันลางเลือน
แม้ตามเจอก็เผลอปล่อยให้ลอยจาก
กลับทุกข์มากหลากสลดรสรักเฝื่อน
สุดเอื้อมคว้าและคงไว้ให้ย้ำเตือน
ดั่งดาวเดือนที่เกลื่อนฟ้า...ลับลาลอย
16 มกราคม 2550 10:08 น.
เจ้าพานทอง
เมื่อฝนซา ฟ้าสาง เมื่อยามสาย
คลับคล้ายกลาย กลับเปลี่ยน วนเวียนหา
ยามฝนซัด ฟ้าร้องครืน ตื่นอุรา
เหมือนเวลา พาเธอเปลี่ยน เวียนฤดู
เคยชมชื่น หมื่นฝัน ร่วมกันผ่า
ซับน้ำตา เวลาท้อ ขอคงอยู่
เคยร่วมทุกข์ สุขแท้ แม่โฉมตรู
เคยร่วมสู้ คู่ชะตา นาทีตรม
แต่แล้ววัน เวลา กลับพาเปลี่ยน
ฤดูเวียน เปลี่ยนผัน พลันขื่นขม
รักเคยร่วม เรียงเคียงคู่ ชูชื่นชม
ร้าวระบม จมเจ็บปวด รวดร้าวรอน
กลิ่นน้ำหอม ยังห้อมห่ม พรมหัวใจ
คืนสว่าง วันไสว ไม่ถ่ายถอน
จิตยังจำ อยู่ค่ำเช้า เฝ้าอาวรณ์
เธอจากจร ห่อนจำ ฉันรำเค็ญ
หวังเพียงกาล เวลา จะพานพ้น
ให้จำนน ต่อความเศร้า แสนยากเข็น
บรรเทารอย ที่กรีดลึก ทิ้งแผลเป็น
ไม่ให้เห็น ดังเช่นนี้ ที่โศกครวญ
ร่วมกันบรรเลงโดยคุณ MixColumne