17 พฤษภาคม 2548 23:38 น.

วันหนึ่งในเมืองนั้น:ไก่ทอดที่ไม่อร่อยที่สุดในโลก

เจ้าขาว

สิบเอ็ดโมงตรง 
ผมแวะไปที่ซุปเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่งแถววังหิน 
ตั้งใจจะหาอะไรกินก่อนออกไปทำธุระต่อ 
พอเลี้ยวรถเข้าไป ภาพที่เจอคือกลางลานจอดนั้นถูกกั้นด้วยสังกะสี 
่เข้าใจเอาเองว่าทางซุปเปอร์ฯคงกำลังปรับปรุง อาจจะเพิ่มร้านค้ากลางแจ้งขึ้น 

ที่จอดรถวันนั้นจึงแลดูวุ่นวายสับสน เนื่องจากรถต้องถอยเข้าๆออกๆอยู่ตลอดเวลา 
ขณะที่ผมกำลังหันรีหันขวางถอยรถอยู่ 
ก็มีชายคนหนึ่งมาช่วยโบกรถให้ 
ผมค้อมศรีษะให้ด้วยความขอบคุณ 
แต่พอผมจะลง จึงสังเกตเห็นว่าเค้ามากับเด็กตัวเล็กๆอีก1คน 
และทั้งคู่ส่งสายตาวิงวอน พร้อมแบมือขอบางอย่างจากผม 
นอกจากเงิน20บาทที่ผมส่งให้ อะไรบางอย่างก็หลุดลอยจากผมไปพร้อมกัน 

----------

ไก่ทอด 2ชิ้น ไก่กระเทียม 6ชิ้น มันบดเล็ก 1ถ้วย โคล่าแก้วใหญ่ ทั้งหมดถูกจัดลงบนถาดอย่างรวดเร็ว 
ผมค่อยๆยกถาดออกจากเคาเตอร์ ขณะกวาดตาเลือกทำเลอยู่นั้น 
สายตาคู่เดิมจับจ้องผมผ่านกระจกร้าน ก่อนจะค่อยๆมองจ้องตรงมื้อเที่ยงของผม 
ผมหลบตาอย่างรวดเร็ว และรีบหาที่นั่ง 
แต่อนิจจา....ฟ้ากำหนดให้ผมนั่งลงตรงโต๊ะริมกระจกบานนั้นพอดี 
ผมพยายามทำตัวปกติ และตั้งใจจะรีบกินรีบไป 
ซักพักทั้งคู่ก็จากไป แต่ครั้งนี้พวกเขากลับทิ้งบางอย่างไว้กับผม 

อาหารพร่องลงไปอย่างรวดเร็วตามขนาดความหิวของผม 
แต่อย่างไรก็ตาม ตอนหิวๆ ผมมักสั่งเกินพอดีเสมอ 
ไก่ทอดชิ้นสุดท้าย ผมใช้เวลาละเลียดอยู่นานเกินปกติ 
ช่วงเวลานั้นเองที่สมองผมเริ่มเปิดฉากสงคราม 
ฝ่ายหนึ่งบอกผมว่า ผมควรทำอะไรสักอย่าง 
ฝ่ายหนึ่งบอกผมว่า ผมไม่ควรจะทำอะไร 
ทั้งสองฝ่ายยกเหตุผลร้อยแปดมาโรมรันกัน 

ชั่วเวลาไม่ถึง10นาที แต่เหมือนสงคราม 100 วัน 
สงครามที่เหมือนจะสูญเสียเพียงไก่ทอด 1 ชิ้น 

แต่นี่ไม่ใช่สงครามครั้งแรก และคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย 
ตราบเท่าที่เมืองแห่งนี้ยังทำตัวเป็นเมืองหลุมดำที่คอยดูดดึงสารพัดสิ่งเข้ามา เพื่อเมือง ไม่ใช่คนในเมือง 
สิ่งที่ผมควรจะทำ อาจจะเป็นแค่เพียงความคิดตลอดกาล 
ในเมืองที่ความดีมีเงื่อนไข 
การทำอะไร ที่ผมคิดว่าดี หลายครั้งมีราคาสูงเกินกว่าผมยอมรับได้ ส่วนหนึ่งเพราะผมเองก็ไม่มั่นใจในผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น 
ประสบการณ์ชีวิตเมืองสั่งสอนผมจนหวาดกลัว 
เงิน และเวลาที่เสียไปไม่เคยเท่าเทียมความรู้สึกที่สูญเสีย 
การอยู่นิ่งๆกลายเป็นหลุมหลบภัย ที่หลายๆคนในเมืองใช้หยุดพักรวมถึงตัวผมเอง 

เมืองเหมือนพายุทอร์นาโด 
มันดูดกลือนทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไป 
แต่ท้ายสุด มันเองก็กลับว่างเปล่า 

. . . . . . . 

คุณพ่อลูกสามเดินไปสั่งอาหาร 
เด็กๆส่งเสียงเลือกเมนูกันวุ่นวาย 
ถ้าย้อนภาพกลับไปตอนที่ทั้งสี่กำลังเดินเข้ามา 
คุณพ่อดึงประตูออกเด็กๆวิ่งเข้าไป 
ชั่วขณะนั้น พ่อทำตัวเป็นหลุมหลบภัยให้กับลูกๆ 
เบื้องหลังของพ่อคือเด็กมอมแมมคนหนึ่งที่โดนบังไว้มิดชิด 

อาหารถูกยกมาที่โต๊ะ 
พ่อลูกสามก็วุ่นวายกับการดูแลจัดจานช้อนให้เด็กๆ คอยดูแลเช็ดปาก บีบซอสมะเขือเทศ ตักมันบดให้ 
ผู้พ่อนั่งฝั่งเดียวกับผม ฝั่งตรงข้ามของพ่อเป็นฉากเดียวกับที่ผมมอง 
ผมพึ่งรู้สึกว่า ลูกๆเองก็คงกลายเป็นหลุมหลบภัยสำหรับพ่อเช่นกัน 

พนักงานบรรจงจัด ไก่ทอดสูตรเผ็ด 2 ชิ้น มันบด และมันฝรั่งทอดเต็มกล่อง ลงในถุงกระดาษ 
ไม่ใช่ผมคนเดียวที่รู้สึกว่าไก่ทอดไม่อร่อย 
มันเป็นรสชาติเดียวกับแฮมเบอร์เกอร์ในคืนนั้น........				
11 พฤษภาคม 2548 01:36 น.

คนเมืองที่ข้าพเจ้ารู้จัก#04: แวน ฟอเรสกัมป์ตัวจริง

เจ้าขาว

     เวลาหกโมงเช้า ผมตื่นขึ้นมารับโทรศัพท์ด้วยความหงุดหงิด
    "นี่ขาว เราแวนนะ"
    "เออ ว่าไง"
    "ตั้งpass word window2000 ทำไง"
    "ต้องเข้าไปตรง....."
    "ขอบใจมาก"แล้วมันก็วางสาย
    หลังจากไม่เจอกัน2ปีกว่าตั้งแต่เรียนจบ นี่คือทั้งหมดที่เราคุยกัน

    สมัยแวนอยู่มหาวิทยาลัย แวนเป็นนักกีฬาวิ่งแข่งคนเดียวของสาขา
    แวนเคยเป็นนักวิ่งประจำเขตรึอะไรสักอย่าง ทำให้แวนมีรองเท้าวิ่งแข่งโดยเฉพาะ
    ตอนที่รับน้อง พวกเราต้องตื่นตีสี่ เพื่อวิ่งไปที่ทำการอำเภอ
    ซึ่งห่างออกไป10กิโลเมตรจากมหาวิทยาลัย สาขาของผมถูกปล่อยออกวิ่งเป็นสาขาสุดท้ายตอนตีห้า
    หลังจากวิ่งเกาะกลุ่มอยู่ได้ซักพัก แวนก็หันมาบอกว่า
    "นาย เราไปก่อนนะ"
    แล้วเสื้อสีขาวของแวนก็ค่อยๆเคลื่อนไปในฝูงนักศึกษาน้องใหม่กว่าพันคน
    ก่อนจะกลืนหายไปในความมืด
    เรามาพบตอนหลังว่าแวนไปถึงเป็นคนแรกของมหาวิทยาลัย!
    เพราะรุ่นพี่ที่เตรียมการรับน้องยังไปไม่ถึงอำเภอ(คงไม่คิดว่าจะมีใครฝีเท้าดีขนาดนั้น) และมีรุ่นพี่ขี่มอเตอร์ไซด์ตามแวนไปแค่คนเดียว เพราะตอนนั้นมืดมากถ้าไม่มีไฟหน้าอาจจะตกลงคูน้ำข้างทางได้
    แต่แวนก็วิ่งอยู่แค่เทอมแรกเท่านั้น ก่อนจะเปลี่ยนมาขี่จักรยานด้วยเหตุผลประมาณว่า"ขาดแรงบันดาลใจ"

    พอเปลี่ยนมาขี่จักรยาน มันก็ซื้อจักรยานBMXมา แต่ขึ้นชื่อว่าแวนแล้ว
    ของซื้อจากร้านมันธรรมดาเกินไป แวนจึงเอากระดาษทรายมาขัดสีตัวถังออก
    แต่เพราะคุณภาพสินค้าดีมาก รึแวนเหนื่อยก่อนก็ไม่รู้
    การขัดสีจักรยานจึงจบลงโดยที่แวนไม่สามารถขัดสีได้เกลี้ยงทั้งคัน
    ดูเปรอะๆเป็นด่างๆดวงๆ และบางส่วนก็ยังไม่ขัด
    ถ้าใครไม่รู้อาจจะเข้าใจว่าใช้มา20ปีแล้ว
    หลังจากพ่นเคลียร์เพื่อกันสนิม(ซึ่งไม่ได้ผล) แวนก็จัดแจงเอาไปตัดตัวถังที่ร้าน นัยว่าให้รถเข้ากับสรีระที่ไม่สูงของมัน
    แล้วก็เปลี่ยนอุปกรณ์ราคาแพงเข้าไปสารพัด
    สุดท้ายก็ได้สิ่งที่ดูคล้ายๆจักรยาน1คัน แวน
    ตั้งชื่อมันว่า"เจ้าทุย"ตามลักษณะพวงมาลัยแบบมีที่พักแขน ซึ่งทำให้รถBMXคันนั้นดูคล้ายมีเขาควายติดอยู่

    ครั้งหนึ่งขณะที่แวนและเพื่อนๆกำลังปั่นจักรยานขึ้นดอยสุเทพ
    ก็มีกลุ่มนักปั่นจักรยาน(ทราบภายหลังว่าเป็นทีมระดับจังหวัด)ขับแซงขึ้นไป
    แวนหันมาบอกทุกคนในกลุ่มว่า
    "นาย เราไปก่อนนะ"

    พวกเราพยายามจินตนาการถึงสีหน้านักปั่นกลุ่มนั้น
    ยามที่เห็นเจ้าทุย แซงจักรยานภูเขาราคาแพงระยับขึ้นไปถึงยอดดอย
    ก่อนจะปั่นกลับลงมาสมทบกับเพื่อนๆ แล้วปั่นขึ้นไปยอดดอยอีกครั้ง
    เราเห็นพวกนั้นเหลือบสายตามองมาสองสามครั้งขณะที่ถูกโค้ชอบรมเป็นการใหญ่

    หลังจากมีโอกาสไปปั่นจักรยานร่วมแข่งกับทีมดังกล่าวอยู่ระยะหนึ่ง
    แวนก็ถอนตัวออกมา
    คราวนี้แวนเริ่มเขียนบทกวี และหัดวาดรูปแนวแวนแวน
    วิถีชีวิตเยี่ยงศิลปินช่วงนี้ของแวนดูจะขาดหายไปจากความทรงจำของเพื่อนๆ
    แวนเริ่มเก็บตัวยิ่งกว่าเก่า ไม่ทักทายใคร(เดิมก็ไม่ค่อยทักอยู่แล้ว)
    จนกระทั่งเรียนจบ

    ปัจจุบันแวนกลายเป็นนักเอนิเมชั่นคนหนึ่ง มีผลงานออกอากาศตามโทรทัศน์หลายรายการ
    แต่แวนยังคงลึกลับอยู่เช่นเดิม ไม่มีข่าวคราวให้เพื่อนๆรู้
    แต่ที่แน่ๆ แวนหยุดวิ่งแล้ว

[ 2 พ.ค. 2548 , 01:58:19 น. ]				
8 พฤษภาคม 2548 20:23 น.

คนเมืองที่ข้าพเจ้ารู้จัก#03: อาจารย์เกือ

เจ้าขาว

สมัยที่ผมยังเรียนปริญญาโทอยู่ ผมได้เป็นลูกศิษย์อาจารย์เกืออย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
    เนื่องจากวิชาที่ท่านสอนเป็นวิชาบังคับ
    ผมไม่ค่อยชอบท่านเท่าไหร่นัก พอๆกับที่ท่านก็ไม่ค่อยชอบผม
    อาการไม่ถูกชะตาของเราสองคน ชัดเจน ผ่านทางการสนทนา ทั้งในและนอกเวลาเรียน

    ดังนั้นเมื่ออาจารย์เกือชักชวนนักศึกษาเข้าร่วมงานวิจัยด้วย
    ผมจึงไม่อยู่ในสายตาท่านตั้งแต่แรก ซึ่งผมก็โล่งใจ
    หนึ่งเป็นเพราะผมควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีนักเมื่อสนทนากับท่าน
    สองรุ่นพี่ที่เคยร่วมงานกับท่านมาได้ปรามผมไว้ล่วงหน้า
    และการณ์ก็เป็นไปตามที่รุ่นพี่ผมเตือนไว้ เพื่อนๆผมโดนท่านอาจารย์ที่เคารพเบี้ยวเงินอย่างถ้วนหน้า
    คนที่หนักที่สุดคือ40,000บาท ทั้งที่งานวิจัยดังกล่าวมีค่าจ้างในหลักล้าน

    สุดท้ายเพื่อนคนนั้นจึงวางแผน
    อาศัยจังหวะที่คุยกับเพื่อนในห้องพักเปรยให้ท่านได้ยิน ว่าพ่อได้จ้างคนทวงหนี้แล้ว ท่านจึงเรียกเข้าไปคุยขอผ่อนชำระรายเดือน

    ที่ผมนึกถึงท่านขึ้นมา ก็เพราะรุ่นน้องที่ไปร่วมงานวิจัยกับท่านปีนี้โทรมาเล่า
    น้ำเสียงไม่ออกอาการชื่นชม แต่เป็นอารมณ์โกรธแค้น
    "วันนั้นนะพี่ พอส่งงานเรียบร้อยแล้ว แกก็ชวนพวกพมไปเลี้ยงข้าว
    พวกผมก็ดีใจกันใหญ่ จู่ๆแกก็พาเดินไปหลังมหาวิทยาลัย ไปร้านXXXนั่นแหละพี่ พวกผมทีแรกก็งง ระดับอาจารย์ไมพาเลี้ยงร้านข้างถนนอย่างนี้
    แต่ก็ถือว่ากินฟรีเลยไม่มีใครพูดไร"
    "่ทีแรก แกก็บอกว่าจะกินอะไรเต็มที่ สั่งตามสบาย"
    "พอเปิดเมนูปุ๊บ แกก็เก็บเมนูที่พวกผมดูทันทีเลยพี่ แล้วบอกว่าแกจะสั่งเอง"
    "แล้วแกก็สั่งเกาเหลาชามนึง ข้าวเปล่าสี่ถ้วย ไม่สั่งน้ำด้วยพี่ พวกผมก็อึ้งพูดไรไม่ออก"
    "พอกินเสร็จนะพี่ แกก็เดินออกมาเข้าร้าน7/11 ซื้อชาเขียวออกมาดูดอยู่คนเดียวแล้วก็ขอตัวกลับบ้าน"
    พอฟังจนจบ ผมก็เกิดอารมณ์ที่บรรยายไม่ถูก
    มันผสมระหว่าง ขำ เศร้า และสมเพช่

    ถึงตอนนี้คงไม่ต้องบอกแล้วกระมังว่าทำไมผมเรียกท่านว่า
    "อาจารย์เก(ลื)อ"

[ 1 พ.ค. 2548 , 13:40:05 น. ]				
6 พฤษภาคม 2548 17:45 น.

คนเมืองที่ข้าพเจ้ารู้จัก#2: มันชื่อ..ปลา(คาร์ฟ)

เจ้าขาว

วันแรกที่ผมเจอปลา คือตอนรับน้องที่มหาวิทยาลัย
    ปลาดูเป็นคนอัธยาศัยดีมาก ใครมาคุยก็คุยด้วย ร่าเริงตลอด
    ถ้าใครที่รู้จักปลาใหม่ๆจะหลงใหลในเสน่ห์ของเค้า โดยเฉพาะสาวๆ
    ก็ลองมีใครมาออดอ้อนอย่าง"สวัสดีคร๊าบบบบบบ" "คุณน่ารักจังคร๊าบบบบ"
    เอะอะก็"......คร๊าบบบบบบบ"
    ไม่หลงก็หมั่นไส้สักอย่างนั่นแหละ

    แต่เวลาผ่านไป ปลาก็ทำให้ใครๆรู้ว่าเค้าไม่ใช่คนมีมนุษย์สัมพันธ์ดีอย่างททุกคนี่เคยเข้าใจ
    เพราะหลังจากเวลาแห่งการทักทายและเยินยอคู่สนทนาจบลง
    ที่เหลือจะเป็นการเดี่ยวไมโครโฟนเรื่องความเก่งและดีของปลาล้วนๆ

    ครั้งหนึ่งพวกเราช่วยกันจัดงานแสดงผลงานนักศึกษา
    ปลาถือโอกาสพาเพื่อนสาวคนใหม่มาเที่ยวชมงาน
    "นี่ผลงานของเพื่อนปลาเองคร๊าบบบบบ "
    "สวยจังเลยนะคะ"
    "ใช่สวยมากเลยคร๊าบบบบ"
    "ปลาก็ทำได้นะคร๊าบบบบ แต่งานถึกๆอย่างนี้ปลาไม่ค่อยชอบหรอก อย่างปลาต้องแบบ ดูดีแล้วไม่ใช้เวลามาก"
    "เหรอคะ"
    "สมัยเรียนนะ เส(เจ้าของผลงาน)เป็นคู่แข่งปลาเลยนะคร๊าบบบ แต่ปลาไม่ค่อยชอบทำงานถึกๆ ดูไม่ค่อยใช้สมอง ปลาเลย.......ฯลฯ"
    สาวน้อยคนนั้นคงพึ่งรู้ตัวว่าไม่ได้มากับปลาธรรมดา
    เธอมากับ"ปลาคร๊าบบบ"

    นิสัยเหยียบเพื่อน เมื่อรวมกับความเห็นแก่ตัวของปลา(วิเคราะห์จากทัศนคติของเพื่อนๆในรุ่นที่มีต่อปลา)
    ส่งผลให้ในเวลาไม่นาน ปลาไม่มีใครคบ
    เพื่อนคนหนึ่งเคยเข้าไปคุยกับปลาโดยพยายามบอกให้ปลาปรับปรุงตัวเสียใหม่
    ปลาก็รับฟัง ก่อนที่คำพูดจากปากของปลาจะทำเอาเพื่อนคนนั้นผงะ
    "ทำไมเราต้องปรับตัวเข้าหาเพื่อนๆด้วย เพื่อนๆสิต้องรู้จักปรับตัวเข้าหาเรา"
    วรรคทองนี้ส่งผล 3 ประการ
    ประการหนึ่ง ปลากลายเป็นต้นแบบของเหล่านักสู้ ผู้ยืนหยัดทานกระแสสังคม
    ปลาแสดงให้เห็นว่า เพื่อน กิจกรรม ชมรม ล้วนเป็นสิ่งสมมติ ที่คนอื่นๆให้ค่ากันไปเอง
    "เพื่อนไม่มีประโยชน์" คือประโยคที่ปลาหยิบมาสอนน้องรหัส ในวันรับน้องปีถัดมา

    ผลประการที่สองคือ ไม่มีใครเป็นเพื่อนปลา ทั้งที่เรียน ที่ทำงาน และแถวบ้าน

    ประการสุดท้าย

    ผมยังจำปลาได้ไม่ลืมเลยคร๊าบบบ....ปลาคร๊าบบบบ

 [ 30 เม.ย. 2548 , 01:47:03 น. ]				
5 พฤษภาคม 2548 19:44 น.

คนเมืองที่ข้าพเจ้ารู้จัก#01: เธอชื่อเปิ้ล

เจ้าขาว

เปิ้ล อายุ21 เป็นสาวชาวกรุงเทพ รูปร่างสูง หุ่นนางแบบ
ปีนี้เปิ้ลจะรับปริญญาใบแรกในชีวิต
ผมรู้จักกับเปิ้ลผ่านน้องสาว
เธอมักจะมาทำรายงานกับน้องผมที่บ้านบ่อยๆ
บางครั้งก็จะกินข้าวด้วยกัน
นิสัยการ"รับประทานอาหาร"ของเปิ้ลมีความพิเศษเฉพาะตัว
จนไม่สามารถใช้คำว่า"กิน"ได้
ทั้งท่าทางการ"รับประทานอาหาร"ที่สุดแสนจะเรียบร้อย
บ่งบอกถึงการอบรมอย่างเข้มงวดของที่บ้าน
(ใครนึกภาพตามไม่ออกลองหาเพลง"dinner"
ของ สมเกียรติ์ อริยชัยพาณิชย์ อัลบั้ม Mr.Z มาเปิดฟัง)
ประกอบกับการรักษาอนามัยอย่างเคร่งครัด
เปิ้ลไม่ดื่มน้ำประปาที่กรองผ่านเครื่องกรองน้ำตามบ้าน
เธอจะดื่มแต่น้ำขวดเท่านั้น มิเช่นนั้นเธอก็จะซื้อน้ำอัดลมมาไว้ดื่ม
เวลาไปกินเนื้อย่าง หรือสุกี้ เธอจะมีตะเกียบคีบของดิบและตะเกียบคีบของสุก

ครั้งหนึ่งเธอป่วยเป็นภูมิแพ้ หมอวินิจฉัยว่าแพ้ฝุ่น คุณแม่ของเธอถึงกับเอาน้ำยาฆ่าเชื่อทำความสะอาดบ้านทั้งหลัง
นอกจากจะผสมถูพื้น ฝาผนังและเพดานแล้ว ยังเอามาเช็ดข้าวของทุกชิ้นในบ้านอีกด้วย
ผมไม่สงสัยเลยว่าเธอได้นิสัยอนามัย(จัด)นี้มาจากใคร
แต่ผมสงสัยตัวเอง

หากพิจารณาตามข้อเท็จจริง
โดยอาศัยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เรามีอยู่
พฤติกรรมการใช้ชีวิตของเปิ้ลมีเหตุผล และควรปฏิบัติตามอย่างยิ่ง
แต่ผมกลับละเลย
เพียงการเปลี่ยนตะเกียบที่ใช้คีบระหว่างอาหารดิบกับอาหารสุก
ผมรู้สึกว่ายุ่งยากมาก ทั้งที่มันช่วยป้องกันผมจากพยาธิและโรคอื่นๆได้มากมาย

บางทีเปิ้ลอาจจะเป็นชนชั้นนำในการดำเนินวิถีชีวิตในยุคใหม่
ยุคที่เราต่างต้องรู้จักดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากมลพิษ และโรคภัยไข้เจ็บ
ยุคที่คนขี้เกียจอย่างผมต้องตายจากไปพร้อมเตาหมูกระทะ
ยุคที่แม้แต่ผู้ชายก็มีน้ำยาทำความสะอาดเฉพาะจุด
...เคยลองใช้กันบ้างรึยังครับ				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเจ้าขาว
Lovings  เจ้าขาว เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเจ้าขาว
Lovings  เจ้าขาว เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟเจ้าขาว
Lovings  เจ้าขาว เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงเจ้าขาว