15 มิถุนายน 2546 12:42 น.
เจือจันทร์
@ฉันทอดกายหงายหน้าบนหญ้านุ่ม
เขียวชะอุ่มชุ่มละอองของน้ำฝน
แหงนมองไม้ใบบังยังเบื้องบน
ใต้โคนสนปฏิพัทธ์ระบัดใบ
@แสงแดดส่องล่องรอดตลอดช่อง
ขับหญ้าผ่องพลิ้วระเนนให้เอนไหว
หอมประทิ่นกลิ่นไม้ป่ามาแต่ไกล
ขับกล่อมใจพลิ้วผ่องใสให้ไหวเอน
@ยินนกร้องก้องไกลจากในป่า
แว่วเห่ช้าอารมณ์เราเจ้ากางเขน
ยินฆ้องกลองร้องมาเพลาเพล
แว่วพระเณรเถรชีที่สอนธรรม
@เสียงลมพัดระบัดเพลงบรรเลงโปร่ง
เห็นเรือโคลงเคลงไปมาช่างน่าขำ
แลดอกไม้ไหวระเริงเหลิงระบำ
เจ้างามล้ำจำลองไว้ในใจตน
@ชายชุดดำล่ำสันพลันปรากฏ
จับฉันกดคว่ำหน้าไว้ใต้เงาสน
ฟันมีดปาดขาดท้ายทอยถ่อยเหลือทน
ก่อนจักปล้นเอาความฝันของฉันไป
@ฉันทอดกายคว่ำหน้าบนหญ้านุ่ม
ใต้เงาพุ่มปฏิพัทธ์ระบัดไหว
เสียงลมพัดสงัดเยียบก็เงียบไป
คงเหลือไว้กางเขนนั้นกล่อมฉันนอน
11 มิถุนายน 2546 14:00 น.
เจือจันทร์
@ เย็นละไมไอละอองของอากาศ
สายฝนสาดซ่านกระเซ็นเป็นฟองฟอย
เย็นยะเยียบหยาดยะยาบทาบดินรอย
ราวกวีที่เรียงร้อยลงรอยดิน
@ โลกเรานี้มีตำนานการพลัดพราก
จำใจจากยากบรรจบสบถวิล
เป็นตำนานเล่าขานมาคู่ฟ้าดิน
ยังแว่วยินให้ได้ยลยามฝนมา
@ แต่แรกเริ่มเดิมทีที่โลกเกิด
ฟ้าบรรเจิดดินบรรจบคู่คบหา
สนิทแนบอิงแอบจิตชิดกายา
โอบกอดฟ้าบรรจงจูบลูบผิวดิน
@ อันความรักหวานล้ำมักซ้ำซาก
หวานนั้นยากจักคงอยู่คู่ธรรมศีล
มิเว้นแม้แต่ความรักของฟ้าดิน
ยังแยกผินแลผกผันห่างกันไกล
@ กาลต่อมาคู่ดินฟ้าถึงคราห่าง
เว้นที่ว่างเอาไว้จัดสัตว์อาศัย
เกิดพืชพันธุ์อันหลายหลากแลกว้างไกล
ให้ชีวิตทั้งน้อยใหญ่ได้เกิดตาย
@ แม้นพบหน้าไม่อาจพากายาใกล้
ได้ดั่งใจสมจิตปองประคองหมาย
ฟ้าทำได้เพียงหลั่งน้ำตาด้วยอาลัย
ดินทำได้เพียงมอบดอกไม้ปลอบใจฟ้า