6 สิงหาคม 2551 18:05 น.
เจรามี่
ใต้ร่มไม้ที่เราได้เอนกายพัก
ร่มที่มีความรักความรู้สึก
ร่มไม้ที่ผูกพันไว้ในส่วนลึก
ใต้ร่มกัลปพฤกษ์ตรึกตรึงใจ
ร้อนฝนหนาววนเวียนเปลี่ยนฤดู
จากหม่นหมองมาสู่วันสดใส
วันคืนคืนความฝันวันเยาว์วัย
ที่เคยวาดหวังไว้ให้พากเพียร
รอคอยเรียนรู้โลกกว้างให้ตระหนัก
ให้ผ่อนพักก่อนถึงกาลแปลงเปลี่ยน
ให้ตระหนักในกาลที่วนเวียน
ให้เราเรียนรู้เรื่องราวทุกคราวไป
วิจิตรงามยามชมพูอยู่เต็มต้น
แม้นต้องลมก็หล่นปลิวไสว
ผู้คนพาชมชื่นให้ชื่นใจ
อยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ร่มใบบัง
กลีบลอยลิ่วพลิ้วพร่างพรายเป็นสายฝน
กระซิบมนต์ชวนหวนไปในความหลัง
เกสรลงเรียงร้อยคอยมาฟัง
เป็นกำลังให้เราก้าวเดินไป
แล้วลอยลงร่วงโรยเพื่อโปรยฝัน
ที่เคยเป็นเพียงควันอันเหลวไหล
กลับเติมเต็มด้วยหวังดีทั้งดวงใจ
เติมฝันคนฝันไกลในความจริง
คอยค่อยคิดพินิจมองละอองฟ้า
วนเวียนมาเปลี่ยนแปลงไปในทุกสิ่ง
วันหนึ่งคงจากร่มที่เคยพักพิง
ที่เหลือทิ้งมีเพียงความทรงจำ
แสงสลัวพราวพร่างในยามเย็น
จนเหลือเห็นเพียงเงาเค้าในยามค่ำ
สายัณห์มีสีสันฟ้อนร่อนระบำ
เป็นผู้นำตะเกียงน้อยคอยแสงจันทร์
ขอกางปีกบินจากแผ่นดินนี้
สู่ท้องฟ้าราตรีที่แดนฝัน
ที่เคยมองหวังอยู่ทุกคืนวัน
เพื่อร่วมสรรค์ร่มสร้างทางดังใจ
พลอยราตรีหลากสีหรี่กะพริบ
ระยับยิบเกลื่อนกล่นเวหนไหน
พเนจรผ่านห้วงหาวแล้วคลาไคล
เราทำได้เพียงร่ำคำร่ำอำลา
ใต้ร่มลมอ่อนโอบให้อบอุ่น
ให้คนครุ่นคิดคอยละห้อยหา
กาลฟ้าเปิดอีกครั้งจะกลับมา
ปรุงชะตาคว้าฝันไกลให้เป็นจริง
2 สิงหาคม 2551 20:00 น.
เจรามี่
นั่งคอยดูฤดูใหม่ใกล้เปลี่ยนผ่าน
ได้ขับขานบทเพลงของบุปผา
วนเวียนเปลี่ยนมาเมื่อถึงเวลา
เหมันต์จากคิมหันต์มาลาฤดู
เมื่อหน้าแล้วไม้แห้งทิ้งใบกรอบ
เหมือนโดยรอบแต่ยังมีชีวิตอยู่
คูณหลับใหลแต่ว่ายังคงรับรู้
เตรียมพรั่งพรูบทเพลงเมื่อถึงกาล
ลืมตาตื่นตาผลิดอกออกระย้า
ตามคบคาตามกิ่งยิ่งสนาน
ดอกตูมเขียวรายเรียงเคียงเป็นพุ่มพาน
รอวันบานบนช่อที่โรยลง
ค่อยค่อยตื่นเปิดตาอย่างช้าช้า
คลี่กลีบทักทายมาภาษาส่ง
จากวันนี้นิรันดร์เรามั่นคง
จะไม่หลงไม่ลืมแม้เมื่อไร
สะพรึบพรั่งเพริศเพราเป็นพุ่มมาศ
ดารดาษต้องแดดสว่างไสว
เป็นต้นไม้เหลืองอร่ามต่างทั่วไป
ไม่ว่าใครผ่านมาพาชื่นชม
กาลต่อมาลมต้องต้องปลิวพลิ้ว
ลอยละลิ่วปลิวไปตามความเหมาะสม
ปลิวตามฝันปลิวตามความนิยม
ดอกคูณอมน้ำตาลาเพื่อนกัน
แสนโคกเศร้าเมื่อเราลาจากพวกพ้อง
ที่ทั้งผองเคยเคียงข้างร่วมสุขสันต์
เคยร่วมทางพร้อมหน้ามาทุกวัน
และแบ่งปันสุขทุกข์มาทุกคราว
ร่อนลมลอยคว้างอยู่ ณ กลางฟ้า
ณ นภาโผไปในกลางหาว
ออกรำร่ายร่ายรำร่ำเรื่องราว
ประดิษฐ์เป็นเรื่องยาวของดอกคูณ
มีสุขได้หัวเราะร่าน้ำตาไหล
มีกำเนิดเติบใหญ่และดับสูญ
มีแก่งแย่งชิงดีมีเกื้อกูล
คอยเพิ่มพูดถ้อยคำร่ำวาจา
ตระหวัดกลีบจารึกลายในอากาศ
โผบินทั่วเวหาสน์ทั้งเวหา
ตระเวนว่อนเวียนวนจนอ่อนล้า
ไม่อาจอยู่ท้องฟ้ามาลงดิน
ยามดอกคูณร่วงหล่นเกลื่อนกล่นพื้น
เป็นพรมผืนเหลืองทองทั่วดินสิ้น
ทุกดอกรวมกันอีกครั้งหลังชีวิน
รอโผบินอีกครั้งในหมู่ผู้คน
โปรดประจักษ์เพลงดอกคูณที่เล่นขาน
มีผลิบานครั้นแล้วก็ร่วงหล่น
เราทั้งหลายได้โปรดจงเตือนตน
ตราบฤดูยังเวียนวนน่ายลเอย
31 กรกฎาคม 2551 19:54 น.
เจรามี่
กลางแดดบ่ายสายตะวันอันแรงกล้า
ใต้ท้องฟ้าน้ำเงินครามอร่ามแสง
แผ่เหนือแหลมแม่พิมพ์ ณ เมืองแกลง
มีหมวกสวมบังแดดแรงแล้วก้าวไป
ถอดรองเท้าย่ำเปล่าลงกับพื้น
ย่ำลงผืนพื้นทรายทะเลใส
ย่ำวิ่งบนชายน้ำทะเลไกล
สบายใจไว้กังวลไว้ชั่วคราว
แดดยังจ้าจากฟ้าฟ้าสะอาด
จึงต้องจากจากหาดทรายสีขาว
ลงทะเลเล่นน้ำกันเกรียวกราว
เวลาคราวโอกาสที่มาเที่ยวกัน
บ้างปีนขึ้นเรือกล้วยไม่กลัวหล่น
ร่วงรายคนเมื่อเรือลองเลี้ยวหัน
พวกเล่นน้ำทะเลเฮฮากัน
เดินหาดนั้นคว้ากล้องจ้องผ่านจอ
คลื่นอ่อนโอบเม็ดทรายแสนละเอียด
คลื่นเซาะเลียดเลาะร่นแล้วซัดต่อ
คลื่นเซาะสาดใส่ฝั่งไม่เคยพอ
ไม่ย่อท้อเมื่อยล้าสักนาที
พอสายัณห์ตะวันเคลื่อนอาทิตย์คล้อย
แสงเศร้าสร้อยแสนโศกทุกสรรพ์สี
เงาไม้ทาบชาดฉานเหนือนที
ปฐพีทั่วภพสงบลง
ขยับไหวเพียงฝูงหมู่ปูลมน้อย
ที่คอยค่อยขุยทรายปั้นผุยผง
ระริกวิ่งตรงไปตามทางไม่ตรง
เลี้ยวหลบคนเพื่อคงเผ่าพงศ์ปู
ตะวันวับลับเมฆแล้วลาโลก
ยอดสนโบกดังเพียงเสียงลมอู้
คนคอยมองต้องละจากที่คอยดู
ย้อนกลับสู่ที่พักที่หลับนอน
ถึงเวลาจะได้พักโปรดพักเถิด
อะไรเเกิดออกไปจากใจก่อน
เมื่อคล้อยเย็นยามเย็นอย่าหลงร้อน
จะมีพรอรุณใหม่มาให้ใจ