12 กุมภาพันธ์ 2546 18:14 น.
เจนนี่
ความเศร้าได้คืบคลานเข้ามาอย่างช้าๆ ความหลังที่แม้จะดูเลือนลาง แต่คงมีเพียงการบันทึกเท่านั้นที่ทำให้เราจำความหลังนั้นได้ แสงแดดยามเช้าที่ส่องผ่านเข้ามาในตัวรถ ทำให้เขานึกถึงเรื่องราวเก่าๆ เขาจึงหยิบไดอารี่สีแดงในกระเป๋าออกมาอ่าน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
นี่มันก็ผ่านมาหลายเดือนแล้ว มีเพียงภาพๆหนึ่งที่ฉันยังคงจำได้จนติดตา มันคือ ภาพเขานั่นเอง !! ใช่..ฉันยังจำเขาได้ เด็กหนุ่มรูปร่างสันทัดและสูงมาก ใบหน้าอันอ่อนโยนของเขาเป็นใบหน้าที่ทำให้ฉันหวั่นไหวเสมอ และฉันยังจำได้อีกว่า ฉันพบเขาครั้งแรกเมื่อ 3 ปีที่แล้วเป็นตอนที่เขาย้ายบ้านมาอยู่ที่นี่ ทุกอย่างมันเหมือนกับความฝันที่ฉันและเขาเรียนอยู่ห้องเดียวกันและสิ่งที่ทำให้ฉันดีใจที่สุดก็คือ เขาชวนฉันกลับบ้านพร้อมกับเขา นั่นทำให้ฉันสนิทกับเขามาขึ้นสนิทมากจนฉันคิดว่า ฉันรักเขาเข้าแล้วล่ะ
วันนี้เป็นวันแรกที่ฉันอยู่ ม.4 ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อว่า ฉันกับเขาอยู่คนละห้อง เมื่อโรงเรียนเลิก ฉันเก็บกระเป๋าแล้วเดินออกจากโรงเรียนอย่างเศร้าๆ และหวังที่จะได้พบเขา และแล้วฝันของฉันก็เป็นจริง เขากำลังวิ่งตรงมาทางฉัน
จีจี รอเราด้วยสิ
อ้าว...เอิร์ธ มีอะไรเหรอ ฉันถึงกับต้องเงยหน้าคุยกับเขา
รอเราหน่อยได้ไหม วันนี้เราจะกลับด้วย
จ๊ะ ฉันตอบตกลงอย่างรวดเร็ว
เราสองคนกลับบ้านด้วยกันหลายครั้ง ส่วนมากแล้วเอิร์ธมักพาเพื่อนของเขามาด้วย
เอ่อ..ถึงบ้านเราแล้วล่ะ ขอบใจนะที่กลับเป็นเพื่อนเรา แล้วเจอกันที่โรงเรียนนะ ขณะที่ฉันกำลังหันหลังแล้วเดินเข้าบ้าน เอิร์ธก็ดึงฉันไว้
เดี๋ยวก่อน! จี เรามีอะไรจะบอก
ฉันจึงหันหลังกลับไปถามแต่ก็ต้องตกใจ มีอะไรหรอ เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าแดงเชียว
เอ่อ..ก็..เอ่อ..ที่เราจะบอกก็ .. คือว่าเอ่ออ.อ
อะไรล่ะ พูดว่าเอ่ออยู่ได้ เขาหน้าแดงขึ้นไปอีก
เอ่อก็เราเก็บไว้ในใจมาสักพักแล้ว แต่เราไม่มีโอกาสที่จะบอก จี
เมื่อเขาพูดจบ ก็ทำให้ฉันรู้สึกว่า ใบหน้าร้อนผ่าว ใจเต้นแรงและเร็ว เขาจะคิดเหมือนฉันหรือเปล่านะ เขาจะบอกว่า เขาชอบเราหรือเปล่า ฉันคิด
เอ่อ..ทีเราอยากจะบอกก็คือเรา..เราไปล่ะนะ บาย
แล้วเขาก็เดินจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ ส่วนฉันก็ได้แต่ยืนนิ่ง ใบหน้าร้อนผ่าวและแดงก่ำไปถึงใบหู
หลายวันต่อมาฉันไม่มีโอกาสได้คุยกับเอิร์ธเลย แต่ทุกครั้งที่เราเจอกัน เขาจะยิ้มให้ฉันเสมอ ทำให้ฉันดีใจจนแอบปลื้มในตัวเขาไปเสียแล้ว
ช่วงพักกลางวันของวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังเดินขึ้นห้องเรียน ฉันก็ได้ยินเติมพูดกับเอิร์ธ..
เอิร์ธ ตกลงแกจะเอายังไงกันแน่ ตัดสินใจเสียทีสิวะ
รออีกหน่อยไม่ได้หรือไงเรายังไม่กล้าไปพูดเรื่องนี้กับพ่อแม่เราวะ
ทำไมวะ แล้วแกจะรอให้ไอ้มิคมันมาฆ่าแกก่อนหรือไง
เออก็ได้ บอกก็บอก แต่นายต้องไปกับเรานะ
เออ..ไปแน่ อย่าลืมล่ะ
แล้วเขาก็เดินจากไป หลังจากที่ฉันฟังแล้ว มันก็ทำให้ฉันตกใจมาก เอิร์ธน่ะเหรอ ไปมีเรื่องกับคนต่างโรงเรียน ทำไมเขาไม่มาปรึกษาฉันบ้างนะ ฉันคิดเรื่องนี้ตลอดทั้งวัน จนกระทั่งเลิกเรียน
ขณะที่ฉันกำลังจะเดินออกจากโรงเรียนอย่างกระวนกระวาย ฉันก็เห็นกลุ่มนักเรียนชายกลุ่มหนึ่งมาเดินป้วนเปี้ยนอยู่หน้าโรงเรียน มันทำให้ฉันตกใจกลัวเป็นอย่างมาก และ
จี!!! เสียงของเอิร์ธนั่นเอง ที่ทำให้ฉันตกใจ แต่ก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด
มีอะไรเหรอ เอิร์ธ
วันนี้เรากลับด้วยนะ
อ๋อ..ได้สิ
แต่วันนี้กลับทางหลังโรงเรียนได้ไหม
ทำไมล่ะ กลับด้านหน้าก็ได้นี่ ฉันถามเขา ทั้งๆที่ฉันก็น่าจะรู้คำตอบดี
เอ่อ..ไว้เราจะเล่าให้ฟังวันหลังนะ รีบไปเถอะ
เดี๋ยวสิ ก่อนที่ฉันจะพูดจบ เขาก็จับมือฉันและพาวิ่งไปหลังโรงเรียนทันที
ขณะเดินกลับบ้าน เราทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียว นี่คงเป็นการกลับบ้านด้วยกันที่เงียบเหงาที่สุด ทำให้ฉันรู้สึกอยากจะร้องไห้
ถึงแล้ว จี อ่าว..เป็นอะไรไปล่ะ ร้องไห้ทำไม แล้วเขาก็ส่งผ้าเช็ดหน้ามาให้ฉัน
ขอบใจนะ ฉันเช็ดหน้าด้วยความอายและใบหน้าร้อนผ่าว
ไม่เป็นไรหรอก เขาตบบ่าฉันเบาๆ แล้วจีร้องไห้ทำไมล่ะ อย่าร้องเลยนะ มีอะไรก็เล่าให้เราฟังสิ เร็วเข้า..ยิ้มหน่อยสิ เดี๋ยวไม่สวยนะ เขาบอกฉัน นั่นไม่ทำให้ฉันสบายใจขึ้นแม้แต่น้อย แต่ฉันก็พยายามยิ้ม แล้วเช็ดน้ำตาอีกครั้ง
เอิร์ธ แล้วทำไมต้องกลับทางด้านหลังด้วยล่ะ ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
เอ่อ..ไม่มีอะไรหรอก
นี่ๆ อย่ามาโกหกกันนะ
โธ่ๆ ก็ได้ งั้นคืนนี้จะโทรหานะ
อืม ฉันตอบ แล้วก็รีบไล่ให้เขากลับไปเพราะมันเย็นมากแล้ว
ในคืนนั้นฉันรอโทรศัพท์จากเขา รอแล้วรออีก 2ทุ่ม...3 ทุ่ม 4ทุ่ม ... รอรอไปเรื่อยๆจนฉันเผลอหลับไป
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ความจริงแล้วเรื่องมันจบเพียงแค่นี้ แต่หลังจากผมได้อ่านมัน ผมก็รู้ว่าต้องเขียนเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้จบ เอาเป็นว่า
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน ผมไปมีเรื่องกับมิค มีเรื่องกับเขาเพราะ เป้ง วันนั้นผมกำลังเดินทางกลับบ้านพร้อมกับไซ ผมก็ไปแวะซื้ออาหารตามปกติ ผมได้ยินเป้งคุยกับเพื่อนของเขาเรื่องจี ผมไม่ขอบอกแล้วกันว่า เขาพูดว่าอย่างไรบ้าง แต่สิ่งที่เขาพูดทำให้ผมโกรธมาก ผมจึงเดินเขาไปต่อยเขา เป้งโกรธมาก พวกเราจึงชกต่อยกัน แต่พวกเราโชคดีเพราะขณะนั้นมีตำรวจเดินผ่านมา เป้ง ผมและไซจึงรีบวิ่งหนี วันต่อมาผมคิดว่าเป้งคงไปฟ้องมิค เขามาดักทำร้ายผม โทรศัพท์มาขู่ผมต่างๆนานา ผมกลัวมาก ผมจึงไปปรึกษาเติมที่โรงเรียน เติมบอกผมว่า ผมควรจะบอกพ่อกับแม่ ผมทำใจแทบตายกว่าจะกล้าพูดออกไป ท่านทั้งสองคนตกใจมาก เราคุยกันนานนานมากนานจนผมลืมโทรไปหาจี
เช้าวันต่อมา ผมตื่นขึ้นและตกใจมาก ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าผมลืมโทรหาเธอ ผมจึงรีบออกจากบ้านตั้งแต่เช้า เพื่อมารอเธอที่หน้าบ้านของเธอ และผมก็คิดว่า นี่คงเป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึง
จี!!! เราขอโทษ
ขอโทษเรื่องอะไร เธอถามผมอย่างงงๆ เหมือนกับว่าเธอลืมไปแล้ว
ก็เรื่องเมื่อคืนไง ขอโทษนะที่ไม่ได้โทรไปตามที่เราบอกเธอ
อ๋อ..ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่ามาหาเราที่บ้านทำไมล่ะ ไปบอกเราที่โรงเรียนก็ได้นี่
ก็เราอยากจะอธิบายเรื่องระหว่างทางน่ะ ผมตอบ แต่ผมไม่ได้หมายความอย่างที่พูด เพราะเหตุผลจริงๆของผมก็คือ สารภาพรักกับเธอในวันนี้ ผมหลงรักเธอมานานแล้วรักเธอมาตั้งแต่พบเธอครั้งแรกก็ว่าได้ แต่ผมไม่กล้าที่จะบอกรักเธอเพราะผมเปลี่ยนใจในตอนหลัง แต่คราวนี้คงไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว
อืม.. เธอตอบพร้อมรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมหวั่นไหวเสมอ และผมก็ไม่คิดว่า จะได้เห็นรอยยิ้มนี้เป็นครั้งสุดท้าย
ระหว่างทาง ผมก็อธิบายให้เธอฟังว่า ทำไมถึงต้องกลับทางหลังโรงเรียน ทำไมถึงไม่ได้โทรหาเธอ ทำให้ผมได้รู้ว่า เธอพอจะรู้เรื่องราวมาบ้างแล้ว เธอถามผมหลายครั้งว่า ทำไมผมถึงทำอย่างนั้น แต่ผมก็ตอบเธอไม่ได้ เราเดินคุยต่อไปเรื่อยๆผมคิดว่า เธอคงเข้าใจผม ผมยังคงอธิบายต่อไป
และแล้ว ผมก็ตัดสินใจจะเปลี่ยนเรื่องคุย ผมจะสารภาพกับเธอ จะบอกเธอว่า ผมรักเธอ แต่ผมก็ไม่มีโอกาสอีกครั้ง เพราะ
มิค นั่นทำให้ผมตกใจมากจนหน้าซีดไปเลย คงเป็นเพราะผมกลัว ผมดึงเธอไว้ไม่ให้เดินต่อ เธอเลยหันมามองผม
เอิร์ธ มีอะไรเหรอ
ป่าว...ไปกันเถอะ ผมจับมือเธอแน่น แต่...เราก็ไปไม่ได้เพราะมิคและเพื่อนของเขา 4-5 คนขวางทางเรา
จะไปไหน มาคุยกันก่อนเซ่... มิคบอก แล้วเขาก็ผลักผม ใครวะ !! สวยนี่หว่า
นี่แหละจี เป้งพูด พร้อมกับมองผมด้วยสายตาที่เกลียดชัง
อ๋อคนนี้เองน่ะเหรอ แล้วมิคก็เดินตรงมาทางจี ผมเตรียมพร้อมที่จะพาจีวิ่ง แต่
อย่ายุ่งกับเธอนะ!! เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของผม แต่เป็นเสียงที่ผมคุ้นเคย เสียงของเติมนั่นเอง เขาเดินเข้ามาพร้อมกับไซและหิน พวกเขาเดินเข้ามาขวางมิคไม่ให้เข้าใกล้จี
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับแก ไอ้เติม มิคจึงหันไปคุยกับเติมแทน
ก็เพื่อนเรานิ ทำไมจะยุ่งไม่ได้ล่ะ
อ๋อ..เพื่อนแกเหรอ.. งั้นขอบอกแกไว้เลยนะว่า เพื่อนแกเนี่ยมาหาเรื่องพวกเราก่อน แกต้องจัดการกับเพื่อนแกด้วยนะโว้ย!!!
เออ..เรื่องนั้นเรารู้ งั้นก็ขอโทษด้วยแล้วกัน
แล้วเติมก็ชกหน้ามิคอย่างแรงทำให้มิคล้มลง จากนั้นพวกเราก็ชกต่อยกับพวกมิค ผมพยายามพาจีออกไปจากตรงนั้น แต่ผมก็ทิ้งเพื่อนไม่ได้ เติมเลยหันมาบอกผมว่า ไม่ต้องห่วงให้รีบพาเธอออกไป ผมจึงจับมือเธอวิ่ง ตอนนั้นเธอมีสีหน้าหวาดกลัวมาก เธอจับมือผมแน่นและน้ำตาของเธอไหลพรากไม่หยุด
เอิร์ธ ระวัง!!!! หินพูด
ปัง!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!..เสียงปืนดังขึ้น ในขณะที่ผมไม่ได้ระวังตัว
ร่างของผู้หญิงที่ผมรักที่สุดล้มลง ผมทรุดลงไปนั่งกับพื้นแล้วโอบร่างของเธอไว้ในอ้อมแขนของผม ขณะนั้นน้ำตาของผมไหลพรากไม่หยุด แต่เธอยังไม่ตาย เธอพูดกับผมด้วยเสียงที่เบาเบามาก ผมพยามยามฟัง แล้วผมก็ได้ยินในสิ่งที่เธอพูด เป็นคำที่ผมไม่คิดว่าเธอจะพูดออกมา
เอิร์ธเราเรารักเอิร์ธนะ
ไม่!!!!!!!!!!!!! ผมตะโกนลั่น
เธอนอนนิ่ง เธอหลับตาลงหลับตาลงพร้อมกับรอยยิ้ม น้ำตาของผมไหลพรากไม่หยุดอีกครั้ง เธอจากไปจากไปแล้วจากไปอย่างไม่มีวันกลับ..จากไปทั้งๆที่ผมยังไม่ได้มีโอกาสบอกเธอเลย ว่าผมรักเธอ
หลังจากเสียงปืนหยุดลง ทุกคนก็หยุดนิ่งเช่นกัน เติม หินและไซวิ่งเข้ามาหาผม ทั้งสามคนตกใจมาก แต่ทั้งสามคนก็ยังคงนิ่งสนิท ต่างคนต่างทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งนิ่งและเสียใจกับการตายของจี ส่วนเพื่อนของมิคต่างวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนหายไปหมด แต่มิคทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างเงียบๆ ผมคิดว่า เขาคงตกใจและคิดว่าตัวเองทำสิ่งนี้ลงไปได้อย่างไร และผม ผมได้แต่นั่งร้องไห้ น้ำตาไหลของผมไม่หยุด ผมกอดเธอกอดเธอไว้ให้นานที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้
และแล้วทุกอย่างก็จบลงอย่างรวดเร็ว ผมเสียใจเสียใจมาก ผมเจ็บปวดที่เสียเธอไป แต่ก็คงไม่เจ็บปวดเท่าพ่อแม่ของเธอ พ่อแม่เธอไม่ได้โทษอะไรพวกผมเลยแม้แต่น้อย แต่มันก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น
ผม เติม หินและไซ พวกเราทั้งสี่คนก็ไปงานศพของจี เติม หินและไซนั่งอยู่กับผม คอยปลอบใจผม เราคุยกันว่า เราจะทำอย่างไรต่อไป เขาทั้งสามคนมีแผนไว้แล้ว ส่วนผม...ผมบอกพวกเขาว่า ผมคงไม่ได้เจอพวกเขาอีก เพราะผมกำลังจะย้ายบ้านพวกเราจึงสัญญากันว่า จะกลับมาเจอกันอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง หลังจากงานศพเลิก พวกเราก็แยกย้ายกันไป
...ก่อนผมจะกลับ แม่ของจีก็เรียกผม
เอิร์ธ แม่คิดว่า เอิร์ธควรจะเก็บสิ่งนี้ไว้นะ
แม่ของจีพูดแล้วจึงยื่นสมุดสีแดงเล่มเล็กให้กับผม มันเป็นไดอารี่ของจี เป็นไดอารี่ที่ทำให้ผมรู้เรื่องราวทั้งหมด ผมอ่านอ่านไปเรื่อย ผมคิดถึงเธอมากมากกว่าใครในโลก แม้มันจะผ่านไปหลายวันแล้ว แต่ผมยังคงนั่งโทษตัวเองอยู่ ผมผิดเองผมผิดที่สร้างเรื่องนี้ไว้แล้วไม่แก้ปัญหา ทำให้ผมต้องสูญเสียเธอ แต่ละวันที่ผมดำเนินชีวิตต่อไปนั้น ไม่มีวันไหนที่ผมจะลืมเธอเลย
จีเราขอโทษ
เอิร์ธ รัก จี
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
3 กุมภาพันธ์ 2546 18:17 น.
เจนนี่
คุณครูทอมป์สันโกหกนักเรียนชั้น ป.5 ของครูทั้งชั้นซะแล้ว ตั้งแต่วันแรกเลยด้วย คุณครูบอกเขาว่าครูรักเด็กๆ เท่ากันหมดเลย แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ามีเด็กตัวเล็กๆ ท่าทางขี้เกียจคนนึงชื่อ เท็ดดี้ สต๊อดดารด์ ครูทอมป์สันได้จับตาดูเท็ดดี้มาปีนึงและสังเกตว่าเขาไม่ค่อยเล่นดีๆ กับเด็กคนอื่นเท่าไหร่ ว่าเสื้อผ้าของเขาสกปรกและเค้าตัวเหม็นหึ่งอยู่ตลอดเวลาด้วยแหละ และบางทีเท็ดดี้ก็เกเรด้วยถึงขั้นที่ว่าครูทอมป์สันสนุกกับการตรวจของเท็ดดี้ด้วยหมึกสีแดง กากบาทไปหนาๆ และใส่ตัว F ตัวใหญ่ๆ ลงไปบนหัวกระดาษ ที่โรงเรียนที่คุณครูทอมป์สันสอน คุณครูต้องทบทวนประวัติของเด็กแต่ละคนด้วย และครูก็ไม่ยอมตรวจประวัติของเท็ดดี้จนกระทั่งเหลือแฟ้มสุดท้าย แต่ทันใดนั้นเมื่อคุณครูตรวจแฟ้มเข้า ครูทอมป์สันก็แปลกใจใหญ่เลยครับ เมื่อพบว่าครูชั้น ป.1 ของเท็ดดี้วิจารณ์มาว่า "น้องเท็ดดี้เป็นเด็กที่ฉลาดและร่าเริง ทำงานเรียบร้อย มารยาทดี เป็นเด็กที่น่ารักมากทีเดียว" คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.2 เขียนว่า "เท็ดดี้เป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก เพื่อนๆ ชอบกันทุกคน แต่กำลังมีปัญหาเพราะแม่ของเท็ดกำลังป่วยหนัก และชีวิตทางบ้านต้องลำบากมากแน่ๆ" คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.3 เขียนว่า "เขาเสียใจมากที่เสียแม่ไปเขาพยายามเต็มที่แล้วแต่คุณพ่อก็ไม่ค่อยให้ความรักความสนใจเขาเท่าไหร่ และชีวิตที่บ้านเขาต้องส่งพลกระทบต่อเขาแน่ๆ ถ้าไม่มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ" คุณครูที่สอนเท็ดดี้ตอน ป.4 เขียนว่า "เท็ดดี้ไม่ยอมเข้าสังคมและไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าที่ควรไม่ค่อยมีเพื่อนและหลับในห้องเรียน ตอนนี้ คุณครูทอมป์สันรู้ถึงปัญหาแล้ว และอับอายในการกระทำของตนเองมาก ครูรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิมอีกเมื่อนักเรียนในห้องซื้อของขวัญวันคริสต์มาสมาให้ ห่อในกระดาษสีสดๆ พร้อมผูกโบว์อย่างดี ยกเว้ณแต่ของเท็ดดี้ ของขวัญของเท็ดดี้ถูกห่ออย่างหยาบๆ ในกระดาษลูกฟูกหนาๆ ที่ได้มาจากถุงใส่กับข้าว ครูทอมป์สันกัดฟันเปิดกล่องของเท็ดดี้ดูกลางกองของขวัญอื่น ๆ เด็กบางคนเริ่มหัวเราะเมื่อเห็นว่าเท็ดดี้ให้กำไลลูกปัดที่ไม่ครบเส้น และขวดน้ำหอมที่เหลือน้ำอยู่ก้นขวดแก่เธอ แต่ครูก็หยุดเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ เมื่อครูเอ่ยขึ้นว่ากำไลเส้นนั้นสวยเพียงใด สวมมันไว้ที่ข้อมือ และฉีดน้ำหอมไปบนข้อมือด้วย เท็ดดี้ สต๊อดดารด์อยู่เย็นให้นานพอที่จะพูดว่า "ครูทอมป์สันครับ วันนี้ครูตัวหอมเหมือนที่แม่ผมเคยหอมเลยครับ" หลังจากที่นักเรียนทุกคนกลับบ้านครูทอมป์สันก็ร้องไห้อย่างนั้นเป็นชั่วโมง วันนั้นเอง คุณครูเลิกสอนหนังสือ เลิกสอนการเขียนและเลิกสอนเลขคณิต คุณครูเริ่มสอนเด็กๆ แทน คุณครูทอมป์สันเอาใจใส่เท็ดดี้เป็นพิเศษ เมื่อครูพยายามช่วยเขา จิตใจของเขาก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ยิ่งครูให้กำลังใจเท็ดดี้เท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตอบรับเร็วขึ้นเท่านั้น ภายในสิ้นปีนั้น เท็ดดี้ได้กลายเป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในห้อง และแม้ว่าคุณครูจะบอกว่าครูรักเด็กทุกคนเท่ากัน เท็ดดี้ก็ได้กลายไปเป็น "ศิษย์โปรด" ของครู หนึ่งปีต่อมา คุณครูพบจดหมายอยู่ใต้ประตู จดหมายนั้นมาจากเท็ดดี้ บอกครูว่าคุณครูยังเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี หกปีต่อมาครูก็ได้จดหมายจากเท็ดดี้อีก บอกว่าเขาเรียนจบม.ปลายแล้ว ได้ที่สามในทั้งระดับ และคุณครูยังคงเป็นครูที่ดีที่สุดที่เขาเคยเจอมาในชีวิต สี่ปีหลังจากนั้น คุณครูก็ได้จดหมายอีก บอกว่าแม้ว่าชีวิตเขาจะลำบากบ้าง เขาก็ไม่ได้เลิกเรียนหนังสือ และจะจบปริญญาตรีในเร็วๆ นี้ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง (เหรียญทอง) และยังย้ำกับครูทอมป์สันว่าคุณครูเป็นครูที่ดีที่สุดและเป็นครูคนโปรดของเขาในชีวิตเขา จากนั้นสี่ปีผ่านไปแต่จดหมายอีกฉบับหนึ่งก็มา ครั้งนี้เขาอธิบายว่าหลังจากที่เขาได้รับปริญญาตรีแล้ว เขาตัดสินใจที่จะเรียนต่ออีกนิด จดหมายนั้นอธิบายว่าคุณครูยังเป็นครูคนที่ดีที่สุดที่เขาเคยมี แต่ตอนนี้ชื่อของเขายาวขึ้นอีกหน่อย จดหมายนั้นลงชื่อว่า นพ. ทีโอดอร์ เอฟ สต๊อดดารด์ เรื่องยังไม่จบแค่นี้นะ คือว่า ฤดูใบไม้ผลินั้นก็ยังมีจดหมายมาอีก เท็ดดี้บอกว่า เขาได้เจอสาวคนนึงและก็จะแต่งงานกัน เขาอธิบายว่าพ่อของเขาได้เสียไปเมื่อสองสามปีก่อนและเขาสงสัยว่าคุณครูทอมป์สัน จะตกลงมานั่งในที่นั่งสำหรับพ่อเจ้าบ่าวในงานแต่งงานหรือไม่ แน่นอนที่สุด ครูทอมป์สันก็มา และทายสิว่าเกิดอะไรขึ้น คุณครูใส่กำไลข้อมือเส้นนั้น เส้นที่มีลูกปัดหายไปหลายลูก และต้องฉีดน้ำหอมที่เท็ดดี้จำได้ว่าแม่เขาฉีดตอนที่ฉลองเทศกาลคริสต์มาสครั้งสุดท้ายด้วยกัน ครูกับศิษย์กอดกันกลมเลย และคุณหมอเท็ดก็กระซิบในหูคุณครูทอมป์สันว่า "ขอบคุณมากนะครับคุณครูที่เชื่อในตัวผม ขอบคุณมากที่ทำให้ผมรู้สึกสำคัญและแสดงให้ผมเห็นว่าผมสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้" ครูทอมป์สันกระซิบตอบพร้อมน้ำตานองหน้าว่า "หมอเท็ดจ๊ะ เธอเข้าใจผิดแล้วแหละ เธอต่างหากที่สอนครูว่าครูสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้ ครูไม่รู้จักการสอนจนกระทั่งครูได้พบได้รู้จักเธอนั่นแหละ" เติมเต็มหัวใจของคนอื่นด้วยความรักเสียแต่วันนี้...........ส่งต่อเรื่องนี้ไปให้ คนอื่นได้อ่านด้วยและโปรดจำว่า ไม่ว่าคุณจะไปไหน หรือทำอะไร คุณจะมีโอกาสที่จะสัมผัสและ/หรือเปลี่ยนอนาคตของคนอื่นเสมอ ขอให้คุณสัมผัสและเปลี่ยนอนาคตของคนอื่นในทางทีดีด้วยล่ะ
3 กุมภาพันธ์ 2546 18:08 น.
เจนนี่
................. มื อ ข อ ง แ ม่ ..................... ภาพหญิงชรา ที่เดินหาบขนมขายอยู่ริมถนน ทำให้ผมหยุดชะงักอยู่ชั่วขณะ แม้ว่า แกจะเดินจากไปแล้ว แต่ภาพหญิงแก่ ที่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ เดินฝ่าเปลวแดดออกไปนั้น ยังคงติดตรึงอยู่ในสายตาของผม จนยากที่จะสลัดออก มือหยาบกร้านที่มีแต่เส้นเอ็นปูดโปนของหญิงแก่ ทำให้ ผมนึกถึง มือของผู้หญิงคนหนึ่ง.... ผู้หญิงซึ่งทำทุกอย่างเพื่อลูกน้อยของตนได้โดยไม่หวังอะไร นอกจากรอยยิ้มของลูก ผู้หญิงคนนั้น.... คือ แม่ของผมเอง แม่เป็นแม่ค้า ที่หาบขนมขายอยู่ข้างถนน วันไหน ขายดี ก็มีเงิน พอจับจ่ายตามอัตภาพ หากวันไหน ขายไม่ได้ ก็ต้องใช้เงินอย่างกระเบียดกระเสียร แต่แม่ก็ไม่เคยยอมให้ผมรู้จักกับความหิวโหย อะไรที่อยากกิน แม่มักหามาให้ผมเสมอ ไม่ว่า ของสิ่งนั้น มันจะทำให้แม่ต้องอดสักกี่มื้อก็ตาม เวลาที่ผมนั่งกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย แม่มักจะมองดูเงียบ ๆ ริมฝีปากของแม่ปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆอย่างมีความสุข ตอนนั้น ผม ไม่เคยสนใจเลย ว่า ขนมชิ้นเล็ก ราคาแพงที่แม่หามาให้นั้น ต้องแลกมาด้วย หยาดเหงื่อของแม่กี่หยด ไม่เคยนึกสงสัยด้วยซ้ำ ว่า หลังจากที่ผมกินขนมจนอิ่ม จะมีอะไรเหลือตกถึงท้องแม่ไหม ? ผมรู้เพียงอย่างเดียวคือ แม่เป็น หญิงแก่ที่หาบขนมขาย ยามใดที่มโนธรรม มาย้ำเตือนให้ผมคิดถึงความเหน็ดเหนื่อยของแม่ สัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอด ก็มักจะหลบเลี่ยงความรู้สึกผิดในใจด้วยการบอกว่า ในเมื่อแม่เกิดผมมา มันก็เป็น หน้าที่ ของแม่ที่ต้องหาบขนมขาย เพื่อหาเลี้ยงผม ถ้าไม่มีอะไรกิน ขนมที่เหลือจากการขายมันก็ช่วยให้แม่อิ่มได้นี่นา สองมือของแม่ แตก ระแหง หยาบกร้าน เพราะกรำงานหนัก มือที่หยิบจับ งานสารพัด ทั้งงานบ้าน งานครัว และงานเร่ขายของ มือที่เหลาไม้กลัด เจียนใบตอง ห่อขนม แล้วจัดเรียงใส่ลังนึ่ง มือที่จับพร้าผ่าฟืน ก่อไฟนึ่งขนม แต่เช้าตรู่ มือที่จับไม้คาน หาบกระจาดหนักอึ้งไปเร่ขายขนมจากเพลาสายจนบ่ายคล้อย แล้วมือนั้นอีกนั่นแหล่ะ ที่คอยป้อนข้าวป้อนน้ำ คอยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เมื่อลูกชายนอนซมเพราะพิษไข้ ยามเด็ก เมื่อผมมองมือของแม่ บางครั้งผมต้องแอบเมินหน้าหนีด้วยนึกรังเกียจ มือแม่ มีแต่เส้นเอ็นปูดโปน หยาบ หนา เต็มไปด้วยริ้วรอยไม่น่ามอง ผมไม่ชอบความรู้สึกยามที่มือสาก ๆ มาจับต้องผิวอ่อนบางของผมเลย ความมีสติ ทำให้ผมไม่กล้าเอ่ยความรู้สึกนี้ออกมาให้แม่ได้ยิน แต่มันก็ปิดบังแม่ไม่ได้หรอก ยามใดที่มือนั้นยื่นมาจับต้องดึงผมไปกอดไว้แนบอก ยามนั้น ผมก็มักจะเบี่ยงตัวหนีด้วยความรู้สึกขยะแขยง แม้ไม่เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นวาจา แต่แววตาที่ผมแสดงออก มันก็บอกถึงความรู้สึกภายในอย่างโจ่งแจ้ง แววตาที่ทำให้แม่ชะงัก แม่มองหน้าผมอย่างเข้าใจ แล้วก็มีท่าทีงก ๆ เงิ่น ๆ อย่างคนรู้สึกผิด แม่ไม่พูดอะไรสักคำ มือหยาบกร้านนั้นกำแน่นค่อย ๆ ตกอยู่ข้างลำตัว ไหล่ของแม่ลู่ลง... หลังจากวันนั้น มือของแม่ไม่กล้าที่จะเอื้อมมากอดผมอีกเลย ตอนนั้น ผมรู้สึกสบายใจนะ ที่ไม่ต้องสัมผัสกับมือที่หยาบกระด้างที่น่ารังเกียจนั่น แต่เมื่อ เวลาผ่านไป ผมกลับเกิดความรู้สึกที่ต่างจากเดิม... จริง ๆ แล้วสิ่งที่น่ารังเกียจ ไม่ใช้มือหยาบกร้าน ของแม่หรอก มือที่เนียนสวยราวกับลูกผู้ดี ของผมต่างหาก ที่น่าขยะแขยง ขณะที่ มือแม่กร้านเพราะ กรำงานหนักเพื่อเลี้ยงผม แต่มือที่อ่อนนุ่มของผม ไม่เคยทำประโยชน์เพื่อใครเลย นอกจากตัวเอง น่าขันนะ เมื่อผมเติบใหญ่ และประสบความสำเร็จในชีวิต หลายครั้งหลายครา ที่มีโอกาสจับต้องมือของผู้หญิงมากหน้า มือที่ นิ่ม หอมกรุ่นกับเล็บเคลือบสีสด และเรียวปากนุ่มสวยช่างฉอเลาะนั้นไม่ได้ทำให้ผมโหยหาเลยสักนิด สิ่งที่ผมร่ำร้อง กลับเป้น มือที่หยาบกระด้างของผู้หญิงเพียงคนเดียว... ผู้หญิงที่หาบคอนกระจาด เดินเร่ขายขนมอยู่ข้างถนนเพื่อเลี้ยงลูกชาย ผู้หญิงไม่ค่อยพูด ที่มักใช้สายตาเฝ้ามองผมอยู่เงียบ ๆ สายตาที่สื่อความรู้สึกของแม่คนนึงซึ่งมีต่อลูก สายตาอ่อนโยนคู่นั้น เหมือนกับจะบอกผมเสมอว่า ผมคือ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของแม่... อาจจะเป็นเพราะพ่อจากไปอยู่กับผู้หญิงคนอื่นตั้งแต่ผมยังเล็ก ก็ได้ ทำให้แม่พยามทำทุกอย่างเพื่อชดเชยความเป็นลูกไม่มีพ่อให้ผมเท่าที่แม่ค้าหาบขนมขายอย่างแม่ จะทำได้ แม่คงกลัวว่าผมจะกลายเป็นเด้กมีปัญหา เพราะขาดพ่อล่ะมั้ง แต่แม่ไม่เคยรู้หรอกว่า ในสายตาของผม ผู้ชายที่ทำให้ผมเกิดมา ไม่ได้มีความสำคัญกับผมเลยสักนิด ผมเกลียดผู้ชายคนนั้น ..... ตาแก่ที่กินเหล้าจนเมา เอะอะ โวยวาย ทำร้ายแม่ผม หลายครั้งที่ ผมเห็นพ่อใช้คำพูดถากถาง ระราน อาละวาดใส่แม่ แม่ผู้น่าสมเพชของผม ก็ไม่เคยลุกขึ้นมาต่อต้านเลยสักนิด แม่มักยอมพ่อเสมอ ยอมถูกซ้อมเป็นกระสอบทราย แล้วก็แอบไปนั่งร้องไห้คนเดียวเงียบ ๆ ยอมทำงานหนักเดินขายของวันละหลาย ๆ กิโล เพื่อเอาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ส่วนเงินเดือนของพ่อน่ะหรือ ? มันจมลงในขวดเหล้าหมดแล้ว สภาพของแม่ที่ผมเห็น ทำให้ผมได้แต่นึกในใจว่า ถ้าผมแต่งงาน ผมจะหา เมีย อย่างแม่ แต่ถ้าผมเป็น ผู้หญิง ผมจะไม่ยอมมีชีวิตที่น่าเวทนาแบบแม่ เด็ดขาด ! ผู้หญิงที่ยอมเป็นกระโถนรองรับอารมณ์ของผู้ชาย ผู้หญิงที่ยอมให้สามีโขกสับอย่างกับทาสในเรือนเบี้ย ยอมทำงานบ้านจนดึกจนดื่น ยอมตื่นแต่เช้ามาทำขนมขายเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ยอมแม้กระทั่งให้ผู้หญิงอื่นมาแย่งผัวตัวเองไปต่อหน้าต่อตา แม่ยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้นโดยไม่เคยคิดจะต่อสู้เรียกร้องสิทธิอะไรเลย แม่มีปากเสียงกับพ่อเพียงครั้งเดียว ตอนที่พ่อจะเอาผมไปอยู่ด้วย ตอนนั้นผมเห็นแม่สู้ยิบตาราวกับ หมาจนตรอก เลยทีเดียว พ่อยอมให้ผมอยู่กับแม่อย่างไม่คิดจะเยื้อแย่ง " น้ำหน้าอย่างเธอ จะเลี้ยงลูกได้สักแค่ไหนกันเชียว อีกหน่อยลูกมันคงต้องหาบขนมขายทั้งชาติ เหมือนเธอ นั่นแหล่ะ " นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่แม่และผมได้ยินจากปากของพ่อ มันเป็นคำพูดที่ทำให้แม่ฮึดสู้ แม่ทำงานหนักตัวเป็นเกลียวเพื่อหาเงินส่งผมเรียนสูง ๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้ทำให้แม่ผิดหวังเลย การเรียนของผมอยู่ในขั้นดีเยี่ยมจนได้รางวัลจากทางโรงเรียนเสมอ เปล่าหรอกนะ ผมไม่ได้ตั้งใจเรียนเพื่อแม่หรอก ตลอดเวลาผมไม่ได้คิดที่จะทำอะไรเพื่อแม่เลยสักครั้ง แต่ที่ผมตั้งใจเรียน ก็เพราะรู้ว่า การศึกษาเป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้ผมหลุดพ้นจากบ้านในสลัมโทรม ๆ แห่งนี้ต่างหาก ความทะเยอทะยานในอดีตเป็นแรงผลักดัน ที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จในชีวิต โดยมี โอกาสดี ๆ ที่โชคชะตาหยิบยื่นให้ เป็นตัวช่วยสนับสนุน สิ่งเหล่านี้ ทำให้ผมหลงระเริงอยู่นานทีเดียว มันทำให้ผมหยิ่งผยอง คิดว่า ตัวเองนั้นเก่งกล้า สามารถก้าวจากจุดศูนย์ขึ้นมายืนผงาดอยู่ได้ด้วยขาตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ ความจริงแล้วความสำเร็จของปริญญาระดับด๊อกเตอร์ที่แปะข้างฝาบ้านของผมนั้น มีแม่ อยู่เบื้องหลังเสมอ แม่ผู้จบ ป. 4 แต่ไม่มีเงินซื้อใบสุทธิ ขาของผมยืนผงาดออยู่ได้ ด้วยการเหยีบบ่าของแม่ โดยแท้ และผมก็ไม่เคยสนใจเลยสักนิดว่า บ่าที่เหยียบเป็นฐานนั้นจะชอกช้ำเพียงใด เพราะเจ้าของบ่า ไม่เคยปริปากบอกผมเลย ไม่ว่า เวลาจะผ่านไปเท่าไร แม่ก็ยังคงเป็นคนพูดน้อยทำมากเสมอ แม่เป็นผู้ฟังที่ดีมาตั้งแต่ผมยังเด็กแล้ว ทุกครั้งที่ผมมีความกังวล แม่จะคอยรับฟังเสมอ เวลาที่ผมระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจ หลายครั้งที่แม่ฟัง จำนวนเงิน ที่ลูกชายเอ่ยขอ ยามต้องการจะซื้อ ของต่าง ๆ เพื่อให้มีเหมือนลูกคนอื่น แม่ไม่เคยแย้งแต่จะ นิ่ง...ฟัง... หลังจากวันนั้น แม่ขายของจนค่ำมืดกว่าปกติ อยู่หลายวัน และ วันหนึ่งแม่ก็ยื่นเงินให้ผม เพื่อไปซื้อของที่อยากได้ ยามที่ผมรับเงินจากมือของแม่ ผมรู้สึกว่า มือของแม่หยาบกร้านกว่าเคย.... แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนักหรอก เพราะถึงมือ มือนี้จะต้องหยาบกร้านเพิ่มขึ้นสักแค่ไหน มันก็ยังคงหยิบยื่นมความสะดวกสบายให้ผมได้เหมือนเดิม และมันก็เป็นเช่นนี้เสมอมา ไม่ว่ายามที่ผม สุข หรือ ทุกข์ มือของแม่จะอยู่เคียงข้าง คอยช่วยประคับประคองผมเสมอ ตราบชั่วชีวิตของแม่ จนกระทั่ง วันนี้... หลายสิ่งในชีวิตของผมเปลี่ยนไป..... ผมมีชื่อเสียง มี เกียรติยศ มีคนนับหน้าถือตา มีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันงาม มีเงินทอง มีมือนุ่มนิ่มของผู้หญิงสวย ๆ คอยคลอเคลีย ทุกสิ่งที่ผมเคยต้องการล้วนมากองอยู่แทบเท้าของผม แต่สิ่งที่ผมอยากได้มากที่สุดกลับขาดหายไป ณ วันนี้ ข้างกายของผม ไม่มีมือของแม่..... แถลงการณ์ท้ายเรื่อง ขอมอบเรื่องนี้เป็นของขวัญวันเกิด ให้กับผู้หญิงที่ผู้เขียนรักมากที่สุดในโลก...