3 กุมภาพันธ์ 2546 18:08 น.
เจนนี่
................. มื อ ข อ ง แ ม่ ..................... ภาพหญิงชรา ที่เดินหาบขนมขายอยู่ริมถนน ทำให้ผมหยุดชะงักอยู่ชั่วขณะ แม้ว่า แกจะเดินจากไปแล้ว แต่ภาพหญิงแก่ ที่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ เดินฝ่าเปลวแดดออกไปนั้น ยังคงติดตรึงอยู่ในสายตาของผม จนยากที่จะสลัดออก มือหยาบกร้านที่มีแต่เส้นเอ็นปูดโปนของหญิงแก่ ทำให้ ผมนึกถึง มือของผู้หญิงคนหนึ่ง.... ผู้หญิงซึ่งทำทุกอย่างเพื่อลูกน้อยของตนได้โดยไม่หวังอะไร นอกจากรอยยิ้มของลูก ผู้หญิงคนนั้น.... คือ แม่ของผมเอง แม่เป็นแม่ค้า ที่หาบขนมขายอยู่ข้างถนน วันไหน ขายดี ก็มีเงิน พอจับจ่ายตามอัตภาพ หากวันไหน ขายไม่ได้ ก็ต้องใช้เงินอย่างกระเบียดกระเสียร แต่แม่ก็ไม่เคยยอมให้ผมรู้จักกับความหิวโหย อะไรที่อยากกิน แม่มักหามาให้ผมเสมอ ไม่ว่า ของสิ่งนั้น มันจะทำให้แม่ต้องอดสักกี่มื้อก็ตาม เวลาที่ผมนั่งกินขนมอย่างเอร็ดอร่อย แม่มักจะมองดูเงียบ ๆ ริมฝีปากของแม่ปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆอย่างมีความสุข ตอนนั้น ผม ไม่เคยสนใจเลย ว่า ขนมชิ้นเล็ก ราคาแพงที่แม่หามาให้นั้น ต้องแลกมาด้วย หยาดเหงื่อของแม่กี่หยด ไม่เคยนึกสงสัยด้วยซ้ำ ว่า หลังจากที่ผมกินขนมจนอิ่ม จะมีอะไรเหลือตกถึงท้องแม่ไหม ? ผมรู้เพียงอย่างเดียวคือ แม่เป็น หญิงแก่ที่หาบขนมขาย ยามใดที่มโนธรรม มาย้ำเตือนให้ผมคิดถึงความเหน็ดเหนื่อยของแม่ สัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอด ก็มักจะหลบเลี่ยงความรู้สึกผิดในใจด้วยการบอกว่า ในเมื่อแม่เกิดผมมา มันก็เป็น หน้าที่ ของแม่ที่ต้องหาบขนมขาย เพื่อหาเลี้ยงผม ถ้าไม่มีอะไรกิน ขนมที่เหลือจากการขายมันก็ช่วยให้แม่อิ่มได้นี่นา สองมือของแม่ แตก ระแหง หยาบกร้าน เพราะกรำงานหนัก มือที่หยิบจับ งานสารพัด ทั้งงานบ้าน งานครัว และงานเร่ขายของ มือที่เหลาไม้กลัด เจียนใบตอง ห่อขนม แล้วจัดเรียงใส่ลังนึ่ง มือที่จับพร้าผ่าฟืน ก่อไฟนึ่งขนม แต่เช้าตรู่ มือที่จับไม้คาน หาบกระจาดหนักอึ้งไปเร่ขายขนมจากเพลาสายจนบ่ายคล้อย แล้วมือนั้นอีกนั่นแหล่ะ ที่คอยป้อนข้าวป้อนน้ำ คอยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้เมื่อลูกชายนอนซมเพราะพิษไข้ ยามเด็ก เมื่อผมมองมือของแม่ บางครั้งผมต้องแอบเมินหน้าหนีด้วยนึกรังเกียจ มือแม่ มีแต่เส้นเอ็นปูดโปน หยาบ หนา เต็มไปด้วยริ้วรอยไม่น่ามอง ผมไม่ชอบความรู้สึกยามที่มือสาก ๆ มาจับต้องผิวอ่อนบางของผมเลย ความมีสติ ทำให้ผมไม่กล้าเอ่ยความรู้สึกนี้ออกมาให้แม่ได้ยิน แต่มันก็ปิดบังแม่ไม่ได้หรอก ยามใดที่มือนั้นยื่นมาจับต้องดึงผมไปกอดไว้แนบอก ยามนั้น ผมก็มักจะเบี่ยงตัวหนีด้วยความรู้สึกขยะแขยง แม้ไม่เอื้อนเอ่ยออกมาเป็นวาจา แต่แววตาที่ผมแสดงออก มันก็บอกถึงความรู้สึกภายในอย่างโจ่งแจ้ง แววตาที่ทำให้แม่ชะงัก แม่มองหน้าผมอย่างเข้าใจ แล้วก็มีท่าทีงก ๆ เงิ่น ๆ อย่างคนรู้สึกผิด แม่ไม่พูดอะไรสักคำ มือหยาบกร้านนั้นกำแน่นค่อย ๆ ตกอยู่ข้างลำตัว ไหล่ของแม่ลู่ลง... หลังจากวันนั้น มือของแม่ไม่กล้าที่จะเอื้อมมากอดผมอีกเลย ตอนนั้น ผมรู้สึกสบายใจนะ ที่ไม่ต้องสัมผัสกับมือที่หยาบกระด้างที่น่ารังเกียจนั่น แต่เมื่อ เวลาผ่านไป ผมกลับเกิดความรู้สึกที่ต่างจากเดิม... จริง ๆ แล้วสิ่งที่น่ารังเกียจ ไม่ใช้มือหยาบกร้าน ของแม่หรอก มือที่เนียนสวยราวกับลูกผู้ดี ของผมต่างหาก ที่น่าขยะแขยง ขณะที่ มือแม่กร้านเพราะ กรำงานหนักเพื่อเลี้ยงผม แต่มือที่อ่อนนุ่มของผม ไม่เคยทำประโยชน์เพื่อใครเลย นอกจากตัวเอง น่าขันนะ เมื่อผมเติบใหญ่ และประสบความสำเร็จในชีวิต หลายครั้งหลายครา ที่มีโอกาสจับต้องมือของผู้หญิงมากหน้า มือที่ นิ่ม หอมกรุ่นกับเล็บเคลือบสีสด และเรียวปากนุ่มสวยช่างฉอเลาะนั้นไม่ได้ทำให้ผมโหยหาเลยสักนิด สิ่งที่ผมร่ำร้อง กลับเป้น มือที่หยาบกระด้างของผู้หญิงเพียงคนเดียว... ผู้หญิงที่หาบคอนกระจาด เดินเร่ขายขนมอยู่ข้างถนนเพื่อเลี้ยงลูกชาย ผู้หญิงไม่ค่อยพูด ที่มักใช้สายตาเฝ้ามองผมอยู่เงียบ ๆ สายตาที่สื่อความรู้สึกของแม่คนนึงซึ่งมีต่อลูก สายตาอ่อนโยนคู่นั้น เหมือนกับจะบอกผมเสมอว่า ผมคือ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของแม่... อาจจะเป็นเพราะพ่อจากไปอยู่กับผู้หญิงคนอื่นตั้งแต่ผมยังเล็ก ก็ได้ ทำให้แม่พยามทำทุกอย่างเพื่อชดเชยความเป็นลูกไม่มีพ่อให้ผมเท่าที่แม่ค้าหาบขนมขายอย่างแม่ จะทำได้ แม่คงกลัวว่าผมจะกลายเป็นเด้กมีปัญหา เพราะขาดพ่อล่ะมั้ง แต่แม่ไม่เคยรู้หรอกว่า ในสายตาของผม ผู้ชายที่ทำให้ผมเกิดมา ไม่ได้มีความสำคัญกับผมเลยสักนิด ผมเกลียดผู้ชายคนนั้น ..... ตาแก่ที่กินเหล้าจนเมา เอะอะ โวยวาย ทำร้ายแม่ผม หลายครั้งที่ ผมเห็นพ่อใช้คำพูดถากถาง ระราน อาละวาดใส่แม่ แม่ผู้น่าสมเพชของผม ก็ไม่เคยลุกขึ้นมาต่อต้านเลยสักนิด แม่มักยอมพ่อเสมอ ยอมถูกซ้อมเป็นกระสอบทราย แล้วก็แอบไปนั่งร้องไห้คนเดียวเงียบ ๆ ยอมทำงานหนักเดินขายของวันละหลาย ๆ กิโล เพื่อเอาเงินมาเลี้ยงครอบครัว ส่วนเงินเดือนของพ่อน่ะหรือ ? มันจมลงในขวดเหล้าหมดแล้ว สภาพของแม่ที่ผมเห็น ทำให้ผมได้แต่นึกในใจว่า ถ้าผมแต่งงาน ผมจะหา เมีย อย่างแม่ แต่ถ้าผมเป็น ผู้หญิง ผมจะไม่ยอมมีชีวิตที่น่าเวทนาแบบแม่ เด็ดขาด ! ผู้หญิงที่ยอมเป็นกระโถนรองรับอารมณ์ของผู้ชาย ผู้หญิงที่ยอมให้สามีโขกสับอย่างกับทาสในเรือนเบี้ย ยอมทำงานบ้านจนดึกจนดื่น ยอมตื่นแต่เช้ามาทำขนมขายเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว ยอมแม้กระทั่งให้ผู้หญิงอื่นมาแย่งผัวตัวเองไปต่อหน้าต่อตา แม่ยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้นโดยไม่เคยคิดจะต่อสู้เรียกร้องสิทธิอะไรเลย แม่มีปากเสียงกับพ่อเพียงครั้งเดียว ตอนที่พ่อจะเอาผมไปอยู่ด้วย ตอนนั้นผมเห็นแม่สู้ยิบตาราวกับ หมาจนตรอก เลยทีเดียว พ่อยอมให้ผมอยู่กับแม่อย่างไม่คิดจะเยื้อแย่ง " น้ำหน้าอย่างเธอ จะเลี้ยงลูกได้สักแค่ไหนกันเชียว อีกหน่อยลูกมันคงต้องหาบขนมขายทั้งชาติ เหมือนเธอ นั่นแหล่ะ " นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่แม่และผมได้ยินจากปากของพ่อ มันเป็นคำพูดที่ทำให้แม่ฮึดสู้ แม่ทำงานหนักตัวเป็นเกลียวเพื่อหาเงินส่งผมเรียนสูง ๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้ทำให้แม่ผิดหวังเลย การเรียนของผมอยู่ในขั้นดีเยี่ยมจนได้รางวัลจากทางโรงเรียนเสมอ เปล่าหรอกนะ ผมไม่ได้ตั้งใจเรียนเพื่อแม่หรอก ตลอดเวลาผมไม่ได้คิดที่จะทำอะไรเพื่อแม่เลยสักครั้ง แต่ที่ผมตั้งใจเรียน ก็เพราะรู้ว่า การศึกษาเป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้ผมหลุดพ้นจากบ้านในสลัมโทรม ๆ แห่งนี้ต่างหาก ความทะเยอทะยานในอดีตเป็นแรงผลักดัน ที่ทำให้ผมประสบความสำเร็จในชีวิต โดยมี โอกาสดี ๆ ที่โชคชะตาหยิบยื่นให้ เป็นตัวช่วยสนับสนุน สิ่งเหล่านี้ ทำให้ผมหลงระเริงอยู่นานทีเดียว มันทำให้ผมหยิ่งผยอง คิดว่า ตัวเองนั้นเก่งกล้า สามารถก้าวจากจุดศูนย์ขึ้นมายืนผงาดอยู่ได้ด้วยขาตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ ความจริงแล้วความสำเร็จของปริญญาระดับด๊อกเตอร์ที่แปะข้างฝาบ้านของผมนั้น มีแม่ อยู่เบื้องหลังเสมอ แม่ผู้จบ ป. 4 แต่ไม่มีเงินซื้อใบสุทธิ ขาของผมยืนผงาดออยู่ได้ ด้วยการเหยีบบ่าของแม่ โดยแท้ และผมก็ไม่เคยสนใจเลยสักนิดว่า บ่าที่เหยียบเป็นฐานนั้นจะชอกช้ำเพียงใด เพราะเจ้าของบ่า ไม่เคยปริปากบอกผมเลย ไม่ว่า เวลาจะผ่านไปเท่าไร แม่ก็ยังคงเป็นคนพูดน้อยทำมากเสมอ แม่เป็นผู้ฟังที่ดีมาตั้งแต่ผมยังเด็กแล้ว ทุกครั้งที่ผมมีความกังวล แม่จะคอยรับฟังเสมอ เวลาที่ผมระบายสิ่งที่อัดอั้นตันใจ หลายครั้งที่แม่ฟัง จำนวนเงิน ที่ลูกชายเอ่ยขอ ยามต้องการจะซื้อ ของต่าง ๆ เพื่อให้มีเหมือนลูกคนอื่น แม่ไม่เคยแย้งแต่จะ นิ่ง...ฟัง... หลังจากวันนั้น แม่ขายของจนค่ำมืดกว่าปกติ อยู่หลายวัน และ วันหนึ่งแม่ก็ยื่นเงินให้ผม เพื่อไปซื้อของที่อยากได้ ยามที่ผมรับเงินจากมือของแม่ ผมรู้สึกว่า มือของแม่หยาบกร้านกว่าเคย.... แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนักหรอก เพราะถึงมือ มือนี้จะต้องหยาบกร้านเพิ่มขึ้นสักแค่ไหน มันก็ยังคงหยิบยื่นมความสะดวกสบายให้ผมได้เหมือนเดิม และมันก็เป็นเช่นนี้เสมอมา ไม่ว่ายามที่ผม สุข หรือ ทุกข์ มือของแม่จะอยู่เคียงข้าง คอยช่วยประคับประคองผมเสมอ ตราบชั่วชีวิตของแม่ จนกระทั่ง วันนี้... หลายสิ่งในชีวิตของผมเปลี่ยนไป..... ผมมีชื่อเสียง มี เกียรติยศ มีคนนับหน้าถือตา มีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันงาม มีเงินทอง มีมือนุ่มนิ่มของผู้หญิงสวย ๆ คอยคลอเคลีย ทุกสิ่งที่ผมเคยต้องการล้วนมากองอยู่แทบเท้าของผม แต่สิ่งที่ผมอยากได้มากที่สุดกลับขาดหายไป ณ วันนี้ ข้างกายของผม ไม่มีมือของแม่..... แถลงการณ์ท้ายเรื่อง ขอมอบเรื่องนี้เป็นของขวัญวันเกิด ให้กับผู้หญิงที่ผู้เขียนรักมากที่สุดในโลก...
31 มกราคม 2546 13:09 น.
เจนนี่
ชายหนุ่มเลิกงานและกลับเข้าบ้านช้า ด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า
และพบว่าลูกชายวัย 5 ขวบรอคุณพ่ออยู่ที่หน้าประตู
ลูก "พ่อครับ พ่อผมมีคำถามถามพ่อข้อนึง"
พ่อ "ว่ามาสิลูก,อะไรเหรอ"
ลูก "พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่"
พ่อ "ไม่ใช่โกงการอะไรของลูกนี่, ทำไมถามอย่างนี้ล่ะ" พ่อตอบด้วยความโมโห
ลูก "ผมอยากรู้จริง ๆ โปรดบอกผมเถอะ พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่"
ลูกพูดร้องขอ
พ่อ "ถ้าจำเป็นจะต้องรู้ละก็ พ่อได้ชั่วโมงละ 20 เหรียญ"
ลูก "โอ.." ลูกอุทาน แล้วคอตก พูดกับพ่ออีกครั้ง
ลูก "พ่อครับ ผมอยากขอยืมเงิน 10เหรียญ"
พ่อกล่าวด้วยอารมณ์
พ่อ "นี่เป็นเหตุผลที่แกถาม เพื่อจะขอเงิน แล้วไปซื้อของเล่นโง่ ๆ
หรืออะไรที่ไม่เข้าท่าหรอกเหรอ รีบขึ้นไปนอนเลยนะแล้วลองคิดดูว่าแกน่ะ
เห็นแก่ตัวมาก ชั้นทำงานหนักหลาย ๆ ชั่วโมงทุกวัน และไม่มีเวลาสำหรับเรื่อง
เด็กๆ ไร้สาระอย่างนี้หรอก"
เด็กน้อยเงียบลง เดินไปที่ห้องแล้วปิดประตู ชายหนุ่มนั่งลงและยังโกรธอยู่
กับคำถามของลูกชาย เค้ากล้าที่จะถามคำถามนั้น เพื่อจะขอเงินได้อย่างไร
หลังจากนั้นเกือบชั่วโมงอารมณ์ชายหนุ่มก็เริ่มสงบลง และเริ่มคิดถึงสิ่งที่ทำ
ลงไปกับลูกชายตัวน้อย บางทีเขาอาจจำเป็นต้องใช้เงิน 10 เหรียญนั้นจริง ๆ
และลูกก็ไม่ได้ขอเงินเขาบ่อยนัก ชายหนุ่มจึงเดินขึ้นไปบนห้องแล้วเปิดประตู
พ่อ "หลับหรือยังลูก"
ลูก "ยังครับ"
พ่อ "พ่อมาคิดดู เมื่อกี้พ่ออาจทำรุนแรงกับลูกเกินไป
นานแล้วนะที่พ่อไม่ได้คลุกคลีกับลูก , เอ้า นี่เงิน 10 เหรียญที่ลูกขอ"
เด็กน้อยลุกขึ้นนั่ง
ลูก "ขอบคุณครับพ่อ"
ว่าแล้วก็ล้วงลงไปใต้หมอนหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมา แล้วนับช้า ๆ
ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็โกรธขึ้นอีกครั้ง
พ่อ "ก็มีเงินแล้วนี่ แล้วมาขออีกทำไม"
ลูก "เพราะผมมีไม่พอครับ แต่ตอนนี้ผมมีครบแล้ว
พ่อครับ ตอนนี้ผมมีเงินครบ 20 เหรียญแล้ว
ผมขอซื้อเวลาพ่อชั่วโมงนึง
....พรุ่งนี้พ่อกลับบ้านเร็ว ๆ นะครับ ผมอยากกินข้าวเย็นกับพ่อ ..."
--------------------------------------------------------------------------------
31 มกราคม 2546 11:32 น.
เจนนี่
ดินสอ...มักเขียนเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้ยางลบรับรู้
ดินสอ...มักเขียนเล่าเรื่องราวของเพื่อนใหม่ ...ไม้บรรทัดให้ยางลบฟัง
ดินสอ...มักเขียนเล่าเรื่องราวความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อไม้บรรทัดให้ยางลบรู้
ยางลบ...มักลบเรื่องราวทุกอย่างที่ดินสอเขียน
ยางลบ...มักลบเรื่องราวของไม้บรรทัด
ยางลบ...มักลบความรู้สึกของดินสอที่มีต่อไม้บรรทัด
ไม้บรรทัด...มักขีดเส้นเรื่องราวทุกอย่าง
ไม้บรรทัด...มักขีดเสันเรื่องราวของดินสอที่ไม่เคยมียางลบ
ไม้บรรทัด...มักขีดเส้นเรื่องราวความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อดินสอ
ดินสอ-ยางลบ-ไม้บรรทัด...ลืม
ดินสอ...ลืมเล่าความรู้สึกของตัวเองให้ไม้บรรทัดฟัง
ไม้บรรทัด...ลืมขีดเส้นความรู้สึกขอตัวเองให้ดินสอได้รับรู้
ยางลบ...ลืม...ลืมที่จะลบความรู้สึกที่มีต่อดินสอ
...ยางลบ ไม่อยากลบความรู้สึกดีๆที่มีต่อดินสอ
ถึงแม้ว่า...ดินสอจะเขียนเรื่องราวทำร้ายความรู้สึกของยางลบ
ยางลบ..บอก ถ้าดินสอยังไม่ใช้วิธีระบายเรื่องราวทุกอย่างให้...ดำ
ยางลบก็ยังมีสิทธิ์ที่จะรักดินสออยู่...ใช่ไหม
31 มกราคม 2546 11:26 น.
เจนนี่
เงิน 10 บาท กับ หญิงชรา
คำว่า ทาน แปลว่า การให้ หลายคนคงเคยทำบุญมาแล้ว ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับศรัทธาและเมตตาจากใจจริง ถึงแม้ว่าความตระหนี่จะสกัดกั้นการให้ทานได้ แต่ถ้ามีจิตเมตตาแท้จริงสิ่งใดก็มิอาจต้านทานได้
ดังเรื่องของ นภดล ที่จะกล่าวต่อไปนี้
วันนีง นภดลเห็นหญิงชราหลังค่อม สติมิสู้ดี ปกติแกจะเดินวนเวียนอยู่แถวนั้นและมาหยุดที่บ้านของนภดล และหยิบไม้กวาดมากวาดเศษขยะให้พ้นจากหน้าบ้าน แม้จะกวาดได้ไม่ดีนัก แต่ก็ทำให้นภดลเกิดความสงสารจึงให้เงินแก 10 บาท
หญิงชราก็มากวาดขยะทุกวัน นภดลก็ให้ทานแกวันละ 10 บาททุกวัน
1 สัปดาห์ต่อมา นภดลเริ่มอึดอัดและคิดว่า เราทำทานวันละ 10 บาท เดือนนึงก็ 300 บาท รายได้ของเราก็ไม่มากนัก เราควรเก็บไว้ใช้เองดีกว่า
นภดลตัดสินใจไม่ให้เงินหญิงชราอีกต่อไป ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่แกมารอรับก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะนภดลหลบอยู่ในบ้าน แต่แกก็ยังเดินวนเวียนไปมา และมองหานภดลผู้ซึ่งคอยให้ทานแกวันละ 10 บาท
น่าคิดว่าหญิงชราหลังค่อมสติไม่ดี และมักพูดเลอะเลือนอยู่คนเดียว แต่กลับจำผู้ให้ทานได้อย่างแม่นยำ อาจเป็นเพราะ การให้ทานสามารถสร้างความประทับใจให้กับทุกคนได้แม้กระทั่งคนเสียสติ เพราะแม้แต่สัตว์เช่น สุนัข ยังสามารถจดจำผู้ที่เคยให้อาหารแก่มันเพียงครั้งเดียวได้
หญิงชรานั้นย่อมไม่เข้าใจว่า เหตุใดนภดลจึงไม่ยอมออกมาให้ทานแกเช่นเคย ดังนั้นแกจึงคอยต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ ทางด้านนภดลเองคิดว่าถ้าทำเฉยแกก็คงจะไปเอง แต่ผ่านไปชั่วโมงเศษ แกก็ยังคอย
น่าคิดว่า ความอดทนของคนเสียสตินั้นมีมากกว่าคนปรกติ ฝ่ายหนึ่งรอคอยการให้ทาน 10 บาท อีกฝ่ายไม่ยอมให้ ก็ให้เกิดสภาพการณ์ประหลาดขึ้น ซึ่งเนื่องมาจากเงิน 10 บาท
เหตุเพราะนภดลตระหนี่ขึ้นในใจ จึงให้ทาน 10 บาท หรือ 1 บาทไม่ได้
เวลาผ่านไป นภดลเป็นฝ่ายกระสับกระส่ายเอง เมื่อเห็นแววตาแห่งความมุ่งหวังของหญิงชรา ทำให้เกิดความรู้สึกผิดในใจ และทบทวนการกระทำของตนใหม่
เรามีสิทธิ์ที่จะไม่ให้เงินแก แต่ทำให้คนสติไม่ดีผิดหวัง ถ้าคนสติดี คงไม่มารอรับเงินแค่ 10 บาทจากเราเป็นชั่วโมง เงิน 10 บาทที่ไม่เคยได้รับจากคนอื่นอาจมีค่ามากสำหรับแก บางทีแกอาจรอเงินไปซื้ออาหาร ป่านนี้แกคงหิวแย่ การไม่ให้แก่ผู้ที่สมควรให้ถือว่าเป็นบาปอย่างนึง มิน่าเราถึงร้อนใจเหลือเกิน
เมื่อมีจิตเมตตา เงิน 10 บาทหรือ 300 บาท ก็สามารถให้ทานได้โดยง่าย
นภดลเดินออกมาอย่างปลอดโปร่ง หญิงชรารี่เข้าหาอย่างดีใจ นภดลยื่นเงิน 10 บาทให้ แกจ้องเหรียญ 10 อย่างดีใจ แม้มันจะเล็กน้อยและไม่มีชีวิต แต่ก็เป็นที่ต้องการของคนเสียสติและปรกติ ฉุดกระชากความตระหนี่และเมตตาให้เกิดขึ้นในใจมนุษย์ได้ ความรู้สึกของนภดลที่มีต่อเงิน 10 บาทในขณะนี้ผิดไปจากเมื่อ 1 ชั่วโมงที่แล้ว
เงิน 10 บาท ให้ออกไปแล้ว ความตระหนี่ถูกแทงสลาย พริบตานั้นนภดลอาศัยเงิน 10 บาท ก็สามารถทะยานเข้าสู่หัวใจของการให้ทานได้โดยทันที เพราะการให้ประกอบด้วยความเมตตาในขณะนั้น
เมื่อความตระหนี่เกิดขึ้นย่อมเป็นทุกข์เพราะความหวงแหน แต่เมื่อเมตตาอุบัติ ก็ทำลายตระหนี่ลงได้ การให้กลับเป็นสุข
30 มกราคม 2546 20:00 น.
เจนนี่
กาแฟใส่เกลือ..... เขาเจอเธอในงานเลี้ยงแห่งนึง เธอดูโดดเด่นมาก และมีคนมากมายรุมล้อมเธอ ในขณะที่เขาดูเป็นผู้ชายธรรมดาคนนึง ไม่มีใครใส่ใจเขาเลย และหลังงานเลี้ยงเลิก เขาได้มีโอกาสชวนเธอไปทานกาแฟต่อ เธอประหลาดใจมาก แต่ท่าทีที่สุภาพของเขา ทำให้เธอตอบตกลง พวกเขานั่งในร้านกาแฟดีๆแห่งนึง เขาดูประหม่าจนพูดอะไรไม่ออก เธอรู้สึกอึดอัดมาก จนคิดในใจว่า ได้โปรดให้ฉันกลับบ้านเหอะ แต่ทันใดนั้น..... เขาถามบ๋อยว่า ขอเกลือป่นได้ไหม อยากเอามาใส่ในกาแฟ ทุกคนในร้านหันมาจ้องเขาด้วยความประหลาดใจ เขาอายจนต้องก้มหน้า แต่ก็ยังเติมเกลือลงในกาแฟ และก็ดื่มมันเสียด้วย ทำให้เธอต้องถามเขาอย่างอดไม่ได้ว่า ทำไมชอบกาแฟรสชาติแบบนี้ เขาตอบว่า เมื่อเขายังเด็ก บ้านเกิดเขาอยู่ริมทะเล เขาเป็นลูกน้ำเค็ม เล่นกับทะเลทุกวัน เคยชินกับรสเค็มของเกลือ เหมือนกับรสชาติของกาแฟเค็ม เพราะฉะนั้นเมื่อทุกครั้งที่เขาได้ลิ้มรสกาแฟเค็มๆ เขาก็จะคิดถึงวัยเด็ก คิดถึงบ้านเกิด เขาคิดถึงพ่อแม่ทียังอยู่ที่นั่น เขาเล่าไปก็น้ำตาไหลอาบแก้ม เธอรู้สึกสงสารเขาจับใจ นั่นเป็นความในใจลึกๆของเขา ผู้ชายคนไหนที่กล้าบอกว่าเขาคิดถึงบ้าน แสดงว่าเขาต้องรักครอบครัวอย่างมาก และมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ดังนั้นเธอก็เริ่มประทับใจในตัวเขา เริ่มชวนเขาคุย เล่าถึงบ้านเกิดของเธอบ้าง ชีวิตในวัยเด็ก ครอบครัวของเธอ เธอกับเขาคุยกันถูกคอมากขึ้นเรื่อยๆ และจากการเริ่มต้นที่ดี ทำให้เขากับเธอคืบหน้าความสัมพันธ์ต่อไป จนที่สุด เธอก็ค้นพบว่า เขาคือผู้ชายแบบที่เธอต้องการอย่างแท้จริง เขาใจกว้าง อ่อนโยน อบอุ่น และดูแลเป็นอย่างดี เขาเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ แต่เธอเกือบจะมองข้ามเขาไป! ต้องขอบคุณกาแฟแก้วนั้น และชีวิตรักที่สวยงามเช่นนี้ ก็เหมือนดังเรื่องทั่วไป เมื่อเธอตกลงใจแต่งงานกับเขา และก็มีความสุขมาโดยตลอด.... โดยทุกๆครั้งที่เธอชงกาแฟให้กับเขา เธอต้องใส่เกลือลงไปในกาแฟให้ทุกครั้งไป เธอรู้ว่านี่เป็นกาแฟที่เขาชอบมากที่สุด หลังจากนั้นอีกสี่สิบปี เขาก็จากเธอไป ทิ้งจดหมายไว้ให้เธอฉบับนึง ข้างในมีใจความว่า ที่รัก อภัยให้ผมด้วย ที่ต้องโกหกคุณชั่วชีวิต มีเรื่องเดียวเท่านั้นที่ผมโกหกคุณ เรื่องกาแฟเค็มนั่น จำวันแรกที่เรามีนัดกันได้ไหม ผมประหม่ามากในตอนนั้น จริงๆแล้วผมต้องการน้ำตาล แต่ผมพูดผิดเป็นขอเกลือ ซึ่งมันยากที่จะกลับคำในตอนนั้น ผมจึงต้องปล่อยมันไป ซึ่งผมไม่คิดว่า นั่นจะทำให้เราได้เริ่มต้นการพูดคุยกัน ผมพยายามที่จะสารภาพกับคุณหลายต่อหลายครั้ง แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะสารภาพออกไป ทำให้ผมสัญญากับตัวเองว่า จะไม่โกหกอะไรคุณอีกแม้แต่ครั้งเดียว ตอนนี้ผมจากไปแล้ว ผมไม่ต้องหวาดกลัวอะไรอีก ดังนั้นจึงเล่าความจริงในจดหมายฉบับนี้ แท้จริงแล้วผมไม่ได้ชอบทานกาแฟรสเค็มเลยแม้แต่น้อย มันรสชาติค่อนข้างแย่ทีเดียว แต่ว่าผมทานมันตลอดทั้งชีวิตตั้งแต่ได้รู้จักคุณ ผมไม่เคยนึกเสียใจในสิ่งที่ทำเพื่อคุณเลย การได้พบคุณเป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดชีวิตของผม ถ้าผมได้มีโอกาสมีชีวิตอีกครั้ง ผมก็ยังอยากจะได้พบคุณ และมีคุณเป็นภรรยาผมอีกครั้งเช่นกัน แม้ว่าผมจะต้องดื่มกาแฟรสเค็มอีกตลอดชีวิตก็ตาม! น้ำตาของเธอหยดใส่กระดาษจดหมายจนเปียกชุ่ม และหลังจากนั้น หากมีใครถามเธอ กาแฟรสเติมเกลือรสชาติเป็นเช่นไร เธอก็จะตอบเสมอว่า " มันหวาน "