15 กันยายน 2551 13:56 น.
เจน_จัดให้
เซ้งอุทยาน !!!
เมื่อเช้าหยิบหนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ ขึ้นมาอ่าน เจอพาดหัวตัวใหญ่ รัฐให้สัมปทาน 30 ปี สร้างโรงแรม รีสอร์ท เปิดเอกชนรุมทึ้ง 10 อุทยานดัง เห็นแล้วต้องรีบอ่านรายละเอียดต่อทันที ได้ความว่า
กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประกาศเปิดอุทยานแห่งชาติ 10 แห่ง นำร่องให้เอกชนเข้ามาบริหารพื้นที่จัดการบริการประกอบด้วย
1.อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
2.อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง
3.อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
4.อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน
5.อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์
6.อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
7.อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ ปุย
8.อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
9.อุทยานแห่งชาติเอราวัณ
10.อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก
แหล่งข่าวจากกรมฯ ยังเปิดเผยว่า ที่ผ่านมา มีนักธุรกิจหลายรายเสนอแผนจัดการอุทยานแห่งชาติ ที่ต้องการบริหารมายังกรมฯ และยังพยายามให้กรมฯ ลดราคาค่าเช่าลง ทั้งนี้กรมฯ กำหนดราคาค่าเช่าพื้นที่เพื่อบริการไว้ตารางเมตรละ 30 บาท หรือไร่ละ 4.8 หมื่นบาทต่อเดือน แต่เอกชนมองว่าเป็นราคาที่สูงเกินไป และต่อรองให้ลดราคาลงเหลือแค่ตารางเมตรละ 3 บาทเท่านั้น
สำหรับแผนการเปิดให้เอกชนเข้าเช่าพื้นที่บริหารจัดการ ได้กำหนดเงื่อนไขเบื้องต้น อาทิ จะเปิดให้เอกชนเข้ามาบริหารในโซนบริการนักท่องเที่ยวแบบครบวงจร ประกอบด้วย ศูนย์อาหาร ร้านขายของที่ระลึก รีสอร์ท โรงแรม โดยมีอายุสัมปทาน 30 ปี มีเงื่อนไขว่าต้องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และปลูกป่าเพิ่มเติม
นายวิชิต พัฒนโกศัย รองอธิบดีกรมฯ กล่าวว่า 'กรมอุทยานฯ ต้องการให้มืออาชีพเข้ามาบริหารพื้นที่บริการ ซึ่งจะเป็นใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นชุมชนในพื้นที่ นักธุรกิจขนาดใหญ่ หรือขนาดกลาง โดยกรมฯ จะแบ่งพื้นที่ของอุทยานฯ เป็นกลุ่ม ๆ คือกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และกลุ่มที่มีกำลังซื้อปานกลาง และกลุ่มทั่วไป เพื่อเปิดให้มีตัวเลือกหลากหลาย ไม่ได้ปิดกั้นโอกาสของประชาชนในการเข้าถึงธรรมชาติ'
นายทรงธรรม สุขสว่าง ผู้อำนวยการส่วนศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า การให้สัมปทานเอกชนเข้าบริหารจัดการในพื้นที่อุทยานฯ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย โดยต่างประเทศหลายประเทศมีการดำเนินการรูปแบบนี้มานานแล้ว และเป็นไปตามโครงงานการจัดการพื้นที่คุ้มครองตามอนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพที่มี 191 ประเทศเป็นสมาชิก เพื่อหาเงินสนับสนุนจากภาคเอกชนไปบริหารจัดการพื้นที่ป่า เพราะงบประมาณของรัฐไม่เพียงพอ
ศ.นิวัติ เรืองพานิชย์ นักวิชาการด้านวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า รู้สึกเป็นห่วงแนวความคิดในการให้สัมปทานอุทยานแห่งชาติแก่ภาคเอกชนเข้ามาบริหารจัดการการท่องเที่ยว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้น เพราะเป็นการคิดถึงแต่เงินด้านเดียว ไม่ได้คำนึงถึงวัตถุประสงค์หลักในการดูแลรักษาป่าไม้ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งในที่สุดแล้ว จะทำให้ธรรมชาติถูกทำลาย จึงขอเรียกร้องข้าราชการอย่าตามใจฝ่ายการเมืองมากเกินไป
อ่านจบก็เกิดคำถามในใจขึ้นมาทันทีว่า แล้วใครได้ผลประโยชน์จากการกระทำครั้งนี้ ประเทศชาติ ประชาชน ข้าราชการ เอกชน หรือนักการเมือง ที่สุดแล้วก็คิดได้ว่า ทุกฝ่ายคงสมประโยชน์ร่วมกัน ยกเว้นประเทศชาติและประชาชนเท่านั้นที่จะต้องเสียผลประโยชน์ของชาติไป
เพราะเพียงแค่การต่อรองราคาจากเพียงตารางเมตรละ 30 บาท ให้เหลือเพียงแค่ 3 บาท เท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้รับรู้แล้วว่า คุณต้องการที่จะเข้ามาฮุบทรัพยากรของชาติเพื่อไปแสวงหาผลกำไรให้ตัวเองมากน้อยเพียงใด ทำไมถึงไม่หน้าด้านขอใช้ฟรี ๆ ไปเลยล่ะ
การที่กรมฯ ให้เข้ามาทำธุรกิจครบวงจรเช่นนี้ แล้วบอกว่า ให้เอกชนที่ได้รับสัมปทานถึง 30 ปี ต้องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และปลูกป่าเพิ่มเติม ได้คิดถึงหลักความจริงบ้างหรือเปล่า การที่จะสร้างโรงแรมหรือรีสอร์ทนั้น จะต้องทำลายป่าไม้และทรัพยากรต่าง ๆ ไปเท่าไหร่ แล้วนี่หรือที่บอกว่า จะต้องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แล้วจะให้ปลูกป่าเพิ่มเติม จะไปหาที่ไหนมาปลูกอีกล่ะ ก็คุณเล่นทำลายกันไปเสียขนาดนี้แล้ว
แล้วเหตุผลที่จะให้ประชาชนทุกกลุ่มกำลังซื้อเข้าถึงธรรมชาตินั้น เป็นเหตุผลที่ห่วยมาก ๆ เพราะปัจจุบันนี้อุทยานแห่งชาติทุกแห่งในเมืองไทย ก็ไม่สามารถให้การรองรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากได้อยู่แล้ว ถึงขั้นต้องมีการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวกันเลยทีเดียว ดังนั้นจะเป็นการเปิดโอกาสของพวกนักท่องเที่ยวคนรวยเสียมากกว่ามั๊ง ที่อยากมาเที่ยวแต่ไม่สามารถมาทนนอนกลางดินกินกลางทรายได้ จึงต้องให้มีการสร้างโรงแรม หรือรีสอร์ทขึ้นมารองรับคนกลุ่มนี้แทน ไม่ว่าจะยกเหตุผลใดมากล่าวอ้าง สุดท้ายก็ทำเพื่อพวกเดียวกันเองนั่นแหละ
ที่อ้างว่าต่างประเทศเขาก็ทำกันนั้นก็เข้าใจ แล้วคุณคิดว่าประเทศไทยจะสามารถบริหารจัดการทรัพยากรของชาติเพื่อประโยชน์ของคนในชาติได้อย่างแท้จริงมากน้อยแค่ไหน ผลประโยชน์มหาศาลเช่นนี้ สุดท้ายคนที่ได้รับคือใคร
เห็นด้วยกับ ศ.นิวัติ รัฐอย่าคำนึงถึงแต่รายได้อย่างเดียว ควรคำนึงถึงการรักษาทรัพยากรธรรมชาติด้วย เพราะที่ผ่านมาทุกคนก็เห็นกันอยู่ว่าความเจริญเข้าไปที่ไหน ธรรมชาติก็ถูกทำลายที่นั่น ไม่ใช่เพียงแค่ป่าไม้เท่านั้น สัตว์ป่าอีกล่ะ วงจรการดำเนินชีวิต ระบบนิเวศน์ จะเสียหายมากน้อยเพียงใด คิดเสียว่าเพียงแค่มีการตัดถนนเส้นใหม่ในเมือง ก็ต้องมีสัตว์สังเวยชีวิตไปเท่าไหร่ เพียงเพราะการดำเนินชีวิตที่ต้องเปลี่ยนไป แล้วนี่ต้องมาก่อสร้างอะไรอีกมากมาย ต้องมาทำลายบ้านของสัตว์นานาชนิด แล้วจะเรียกว่า การอนุรักษ์ ได้อย่างไร
สงสารลูกหลานในอนาคตจริงๆ ต่อไปคงไม่รู้จักคำว่าป่า ว่ามีคุณค่าต่อชีวิตมากแค่ไหน....
ที่มาจากฟอร์เวิร์ดเมลจ้า....อ่านแล้วสะเทือนใจ...