13 มิถุนายน 2552 21:04 น.
เจน_จัดให้
A Waltz For A Night - Julie Delpy
Let me sing you a waltz
Out of nowhere, out of my thoughts
Let me sing you a waltz
About this one night stand
You were for me that night
Everything I always dreamt of in life
But now youre gone
You are far gone
All the way to your island of rain
It was for you just a one night thing
But you were much more to me
Just so you know
I hear rumors about you
About all the bad things you do
But when we were together alone
You didnt seem like a player at all
I dont care what they say
I know what you meant for me that day
I just wanted another try
I just wanted another night
Even if it doesnt seem quite right
You meant for me much more
Than anyone Ive met before
One single night with you little Jesse
Is worth a thousand with anybody
I have no bitterness, my sweet
Ill never forget this one night thing
Even tomorrow, another arms
My heart will stay yours until I die
Let me sing you a waltz
Out of nowhere, out of my blues
Let me sing you a waltz
About this lovely one night stand
......
โลกนี้มีเพียงเราจริงๆ หนังเรื่องนี้ หุหุ
.......
มิวสิคเพลงนี้จ้า...
http://www.youtube.com/watch?v=7PCyNMrhxG4&NR=1
ปล.วันนี้ท้องฟ้าสวยงามมากมาย....แสงรุ้งปรุงกลีบเมฆสีขาว....แม้เพียง
ไม่นานแต่เป็นความประทับใจหนึ่ง...ซึ่งยังคิดถึง
4 มีนาคม 2552 18:54 น.
เจน_จัดให้
"คุณค่าของเราไม่ได้ขึ้นกับสิ่งที่คนอื่นมองเรา แต่ขึ้นอยู่กับตัวเรา"
หนุ่มบ้านนอกยากจนคนหนึ่ง
เสี่ยงโชคเข้ามาหางานทำในกรุงเทพ
ทั้งที่มิได้มีความรู้อะไรเลย
เนื่องจากได้ทราบข่าวที่เพื่อนเล่าให้ฟังว่า
มีโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพ
กำลังรับสมัคร นักการภารโรง ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา
จึงจับรถมากรุงเทพ
และเดินกางแผนที่ (ที่เพื่อนเขียนให้)
สุ่มถามชาวบ้านถึงที่ตั้งของโรงเรียนนั้น
ซึ่งกว่าจะเจอก็เหงื่อตกไปหลายปี๊บทีเดียวแหละ
เมื่อเข้าไปแจ้งความจำนงที่แผนกธุรการ
จึงมีเจ้าหน้าที่มาเรียกให้นั่งและยื่นใบสมัครมาให้กรอกข้อความ
นายหนุ่มนั้นก็ยิ้มแหย ๆ
ยกมือไหว้แล้วบอกอ่อย ๆ กับเจ้าหน้าที่ว่า
...ขอโทษครับพี่
ผม...คือว่า...
ผม...อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ครับ...
เจ้าหน้าที่ ท ี่นั่งรับสมัครอยู่นั้น
ชักสีหน้าทันที
...อะไรกัน คิดจะมาสมัครงานที่โรงเรียน
ถึงจะตำแหน่งแค่ นักการภารโรง
ถึงจะไม่ได้ใช้วุฒิการศึกษา
แต่อย่างน้อยก็น่าจะอ่านออก เขียนได้ บ้างแหละ
หนุ่มบ้านนอกหน้าซีด
ยกมือไหว้เจ้าหน้าที่ประหลก ๆ
...ผมไม่รู้หนังสือจริง ๆ ครับ
แต่ช่วยรับผมไว้หน่อยเถิดครับพี่
ให้ผมแบกหามกวาดถูอะไรก็ได้ทุกอย่างครับ
งั้นก็คงจะไม่ได้หรอก. ..
เจ้าหน้าที่เก็บใบสมัคร กับปากกาที่วางไว้ให้ คืนที่อย่างไม่มีเยื่อใย
...เรามาสมัครงานกับโรงเรียนนะ
อย่างน้อยก็ต้องมีพื้นรู้หนังสือบ้างสิ
ถ้าไม่รู้อะไรเลยอย่างนี้ ก็เสียใจด้วยนะ
กลับไปเถอะ
หนุ่มบ้านนอกก็ได้แต่เดินออกจากโรงเรียน
ที่ตั้งความหวังว่าจะได้งานทำนั้นอย่างเงื่องหงอย
และเมื่อไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ในกรุงเทพ
ก็จึงต้องจำใจ กำเงินจำนวนสุดท้าย
จับรถ ซมซานกลับบ้าน อย่างนกปีกหัก
แต่เมื่อกลับถึงบ้าน
จึงนึกขึ้นได้ว่า
ตนเองนั้นเพิ่งได้รับมรดก
เป็นที่ดินสวนรกร้างเท่าแ มวดิ้นตาย
มาจากพ่อผู้ล่วงลับไปแล้ว
ด้วยความเจ็บใจ
จึงเกิดเป็นแรงมานะ ให้จับจอบเสียม
หักร้างถางพง ที่ดินสวนเก่าที่รกร้างนั้น
และค่อย ๆ พลิกฟื้นลงร่องผลไม้ไปทีละเล็กละน้อย
อย่างฮึดสู้ชะตาชีวิต ด้วยความอดทน. . .
อาจเป็นบุญในปางบรรพ์
ของพ่อหนุ่มคนนี้ก็ได้
ที่ปรากฎว่า หลายปีต่อมา
สวนผลไม้ที่ลงแรงไว้นั้น
ออกผลอย่างงดงาม
และสร้างผลกำไรมากทบทวีขึ้นทุกปี
กระทั่งสามารถเก็บเงินซื้อที่ดินในแปลงข้างเคียง
ขยายอาณาเขตสวนของตนเอง จนกว้างขึ้น และกว้างขึ้น. . .
หลายสิบปีต่อมา
จากความขยันขันแข็ง มานะอดทน
และประสบการณ์ที่เพิ่มพูน
บัดนี้
หนุ่มบ้านนอกคนนั้น
ก็กลายเป็นชายชรา
ที่คนทั้งเมืองรู้จักในนามของ
พ่อเลี้ยงสวนผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัด
และภูมิภาคนั้น
อยู่มาปีหนึ่ง
เมื่อเก็บเกี่ยวผลไม้มากมายมหาศาล
และชำระบัญน้ำบัญชีเรียบร้อย
โดยฝีมือของลูกหลานที่เลี้ยงดู ให้การศึกษา
และแจกงานการให้ทำในสวนนั้นแล้ว
พ่อเลี้ยงชราก็หอบเงินเป็นฟ่อน
นั่งรถเข้ามาในตัวอำเภอ
เพื่อขอเปิดบัญชีกับธนาคารเป็นครั้งแรก
เมื่อแจ้งนาม และความจำนงกับธนาคารแล้ว
พนักงานถึงกับตื่นเต้นกันยกใหญ่
ผู้จัดการสาขาถึงกับเดินมาต้อนรับด้วยตัวเองเลยทีเดียว
เมื่อพนมมือไหว้ลูกค้าใหญ่ รายใหม่ อย่างนอบน้อมแล้ว
ผู้จัดการก็แตะข้อต่อศอก
ยื่นใบเปิดบัญชีพร้อมปากกาปลอกทอง
ให้กับพ่อเลี้ยงชราอย่างพินอบพิเทา
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ
ทางเรารู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่ง
ที่ได้มีโอกาสบริการพ่อเลี้ยงในครั้งนี้
รบกวนกรอกใบเปิดบัญชีด้วยครับ
พ่อเลี้ยงชราส่ายหน้าช้าๆ
ยื่นปากกาปลอกทองคืนให้กับผู้จัดการ
พร้อมกับยิ้มให้ พลางกล่าวเนิบๆ
พ่อหนุ่มช่วยกรอกรายการให้ลุงทีเถิด
ลุงอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้หรอก...
ผู้จัดการรับปากกาคืนมาโดยอัตโนมัติแบบงงสุดขีด
พลางค่อยๆอ้อมแอ้มถามลูกค้ารายใหญ่ (มาก ) อย่างเกรงใจสุดๆ
... เอ่อ...ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยครับ...
...เอ่อ...ขออนุญาตเรียนถามพ่อเลี้ยงด้วยความเคารพนิดหนึ่งเถิด ครับ
คือ...พวกเราในจังหวัดนี้ก็ทราบกันดีอยู่
ถึงชื่อเสียงของพ่อเลี้ยง
ในกิจการสวนผลไม้ที่ใหญ่โตและเจริญก้าวหน้าที่สุดในภูมิภาคนี้
แต่... ผู้จัดการ ชะงัก ด้วยความเกรงใจ
และในที่สุดก็หลุดปากถามออกมา
ด้วยความฉงนที่มิอาจเก็บไว้ได้จริงจริง
...แต่ พ่อเลี้ยงอ่านหนังสือไม่ออก
และเขียนหนังสือไม่ได้ หรือครับ...
...พ่อหนุ่ม พ่อเลี้ยงชรายิ้มให้ผู้จัดการสาขาของธนาคารอย่างใจดี
...ถ้าลุงอ่านหนังสือออก และเขียนหนังสือได้น่ะนะ...
แกถอนหายใจยาว
ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผู้จัดการถึงกับอึ้งไปนานเลยว่า
...ป่านนี้ ลุงก็คงได้เป็นภารโรงไปแล้วแหละ...
============ ========= ========= ========= =
คุณค่าของเราไม่ได้ขึ้นกับสิ่งที่คนอื่นมองเรา แต่ขึ้นอยู่กับตัวเรา
โอกาสยังมีอยู่เสมอ ขอเพียงแต่มองไปรอบๆ
ตั้งใจทำในสิ่งที่ทำได้ และทำให้เต็มความสามารถ
แล้วดอกผลจะตามมาเอง
ที่มา : forward mail
11 กุมภาพันธ์ 2552 08:58 น.
เจน_จัดให้
รักเหนือนิยาม ของ "ตาลอบ" "ยายทอง" (คมชัดลึก)
หลายคนที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Happy Birthday ของ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง คงซาบซึ้ง และน้ำตาไหลไปตามๆ กัน กับเรื่องราวความรักของชายคนหนึ่ง ที่ต้องดูแลผู้หญิงอันเป็นที่รัก ซึ่งไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ภาพที่เห็นนั้นชวนให้ย้อนนึกไปถึงเรื่องราวในโลกแห่งความเป็นจริงของสองสามีภรรยาคู่หนึ่ง "ตาลอบ" และ "ยายทอง" ที่ทุกวันนี้ชีวิตของพวกเขา ไม่ต่างจากเรื่องราวที่นำเสนอบนแผ่นฟิล์มเลย
ใครที่เคยชมรายการ "คนค้นฅน" หรืออาจผ่านตาจากฟอร์เวิร์ดเมล คงเคยสัมผัสเรื่องราวของตายายคู่ทุกข์คู่ยาก ที่ทั้งสองอยู่กันด้วยความรัก ความเข้าใจ และคำสัญญาที่จะรักและดูแลกันตลอดไปจนวันตาย
และบรรทัดต่อจากนี้ เป็นอีกบทบันทึกของหัวใจ ที่ไม่ต้องการคำนิยายใดๆ
นับถอยหลังไปอีกเพียงไม่กี่วันก็จะถึงวัน "วาเลนไทน์" วันซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงออกถึงความรักที่ใครหลายคนให้ความสำคัญ ไม่ว่าใครจะนิยามความรักว่าเป็นของคู่กัน ความเหมือน ความพอดี ความลงตัว
หากแต่นิยามความรักของสองตายายแห่งอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย อย่าง "ตาลอบ" อมร สีสุภเนตร วัย 76 ปี ที่มีต่อ "ยายทอง" นั้น กลับมองว่าวันวาเลนไทน์ที่จะมาถึงนั้น ไม่เคยมีความหมายต่อทั้งคู่เลย เพราะชีวิตรักที่ตาและยายได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากว่า 50 ปีนั้น ไม่เคยมีวันไหนที่ความรักจะลดน้อยลงไปตามกาลเวลา ทว่า กลับเพิ่มพูนขึ้นสวนทางกับสังขารที่เริ่มจะโรยรา
สำหรับตาลอบวันนี้ มันก็เป็นแค่วันธรรมดาๆ วันหนึ่งเท่านั้น
"ดอกกุหลาบมันจะสู้สิ่งที่เราทำดีให้แก่ทุกวันได้ยังไง มันเทียบกันไม่ได้หรอก ตาไม่เห็นว่ามันจะสำคัญกับชีวิตตรงไหน เพราะถึงไม่มีวันนี้ ยังไงตาก็ยังรักยายเท่ากันทุกวัน" ตาลอบบอกขณะปรนนิบัติภรรยาที่นอนป่วย
สำหรับพื้นเพเดิมของยายทองเป็นคนอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ส่วนตาลอบเป็นคนเชียงคาน จังหวัดเลย ปัจจุบันสองตายายอาศัยอยู่ที่บ้านหลังเล็กๆ สภาพเก่าๆ หลังหนึ่งตามลำพังสองคนโดยมีลูกๆ คอยดูแลอยู่ห่างๆ เมื่อมองเข้าไปในบ้านจะสังเกตเห็นว่าบ้านของตาเสมือนเป็นโรงพยาบาลขนาดย่อมๆ เพราะอุปกรณ์ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ในการดูแลยายนั้น ตาได้ดัดแปลงให้เหมือนกับทางโรงพยาบาล ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้ดูแลยายได้อย่างเต็มที่
คงสงสัยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ย้อนไปเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ตาลอบซึ่งเป็นช่างตัดผมหนุ่มฐานะยากจนได้พบรักกับยายทอง แม่ค้าขายอาหารที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวงามประจำหมู่บ้านในงานรำวงสร้างโบสถ์ที่วัดป่ากลาง อำเภอเชียงคาน หลังจากที่ทั้งคู่คบหาดูใจกันมา 5-6 ปี จนมั่นใจในความรักที่มีให้ต่อกัน ชายหนุ่มจึงเอ่ยปากขอหญิงสาวที่เขารักแต่งงาน เป็นงานแต่งงานที่เรียบง่าย ไม่มีพิธีกรรมใหญ่โตอะไร ไม่มีเงินสินสอดทองหมั้นมากมาย มีเพียงคำมั่นสัญญาที่ชายหนุ่มมอบไว้ให้แก่หญิงสาวที่เขารักว่า จะครองรักและดูแลกันตลอดไปจนกว่าวันสุดท้ายจะมาถึง
ทั้งคู่อยู่กันจนกระทั่งแก่เฒ่า และตลอดเวลาที่ผ่านมา ความรักที่สม่ำเสมอพอที่จะทำให้ชีวิตรักของคนคู่นี้กลายเป็นตำนานรักแท้ที่น่าจดจำ แต่เหมือนมีบททดสอบ จู่ๆ ปี 2538 ยายทองก็ล้มป่วยลงด้วยการเป็นอัมพฤกษ์ทางด้านซ้าย ซึ่งก็พอจะช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง
แต่เมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา อาการของยายทองก็กำเริบทรุดหนักลงไปอีก จากอัมพฤกษ์กลายเป็นอัมพาต ไม่สามารถพูดคุยกับตาลอบได้อีก นอกจากส่งเสียงร้องไห้ ซึ่งบางครั้งก็มีแต่เสียงร้อง บางครั้งก็มีแต่น้ำตา ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการสื่อสารเพียงอย่างเดียวที่ตาลอบรับรู้และเข้าใจเสมอว่ายายต้องการอะไร
"ยายเขาร้องไห้ เพราะว่าเขาอยากจะพูดกับเรา แต่เขาพูดไม่ได้ เขาจึงบอกเราด้วยการร้องไห้ออกมา พอตาได้ยินเสียงไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ตาก็จะเดินไปพูดกับเขา หรือไม่ก็ต้องส่งสียงตอบกลับไป ส่วนใหญ่ตาจะบอกเขาว่า อย่าร้องเลย เราอยู่ตรงนี้แล้ว บางทีก็บอกยายว่า เราจะอยู่กับเธอ จะดูแลเธอไปจนกว่าจะตายจากกัน... ที่บอกอย่างนี้เพื่อให้ยายรู้ว่าตาอยู่ใกล้เขาไม่ได้หนีไปไหน"
ปฏิเสธไม่ได้ว่า น้อยครั้งนักที่เราจะได้เห็นภาพฝ่ายชายดูแล ปรนนิบัติฝ่ายหญิง ซึ่งสิ่งที่ตาทำนั้นได้พิสูจน์ให้โลกรู้ว่าความรักของตาที่มีต่อยายนั้นเป็นตำนานความรักอันยิ่งใหญ่ที่ใครๆ ต่างก็แสวงหา
"ตาอยากใช้ชีวิตอยู่กับยายจนวินาทีสุดท้าย เราจะต้องไม่ทอดทิ้งกัน เราต้องมั่นคงต่อกัน ตาสัญญากับยายว่าจะดูแลยายให้ดีที่สุดจนวินาทีสุดท้าย ตาตั้งใจรักษายายให้ดีที่สุด ตาทุ่มเทชีวิตให้ยายทั้งหมด เพราะยายมีความหมายกับตาสุดชีวิตเลย ทุกวันนี้ตายังมีความหวังอยู่ว่ายายจะอาการดีขึ้นและกลับมาพูดกับตาได้เหมือนเคย เราต้องอยู่แบบมีความหวัง เพราะความหวังนี่แหละที่จะทำให้เรามีกำลังใจดูแลยายต่อไปจนกว่าจะตายจากกันไปข้างหนึ่ง"
ถึงแม้ว่าบั้นปลายชีวิตอันแสนสุขจะถูกพรากไป และแทนที่ด้วยความทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บป่วยของอีกฝ่ายหนึ่ง คำมั่นสัญญาทุกคำที่ตาลอบเคยมอบไว้ให้แก่ยายทองก็ยังไม่มีคำใดหรือตัวอักษรตัวใดเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย
ตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ยายทองล้มป่วย แทบจะทุกนาทีของชีวิตตาลอบได้มอบให้แก่การเฝ้าดูแลประคบประหงมยายทองอย่างใกล้ชิด ไม่เว้นแต่ยามหลับหรือยามตื่น การดูแลปรนนิบัติยาย ตาลอบจะทำเพียงคนเดียวทุกครั้ง และตาจะใส่ใจในรายละเอียดเล็กน้อย แม้แต่แพมเพอร์สตาก็จะไม่ใส่ให้ยาย เพราะเกรงว่าจะอับชื้นและทำให้เป็นแผลกดทับได้ ตาจึงไม่เคยเบื่อกับการที่ต้องคอยเช็ดอึ เช็ดฉี่อยู่ตลอดทั้งวัน เสื้อผ้าของยายตาก็จะไม่ซักผงซักฟอกเพราะกลัวยายจะแพ้และเป็นผื่น
ภาพที่ชาวเชียงคานเห็นจนชินตาคือภาพชายชรา ปั่นรถจักรยานที่มีเตียงพยาบาลพ่วงติดอยู่ด้านหน้า โดยมียายนอนลืมตาแน่นิ่งอยู่บนเตียงเคลื่อนไปตามถนนหนทางต่างๆ รถคันนี้เป็นรถที่ตาลอบประดิษฐ์ขึ้นมาเองกับมือ เพราะถ้าจะซื้อเตียงแบบโรงพยาบาลนั้นก็เกินกำลัง ด้วยความที่ตาเคยมีความรู้ทางช่างจึงต่อเตียงพยาบาลขึ้นมาและดัดแปลงต่อเติมให้เตียงนั้นเคลื่อนที่ได้ และมีหลังคาคอยคุ้มแดดคุ้มฝนและมีมุ้งคอยกันยุงและแมลงต่างๆ
ตายังรู้ใจยายดีว่ายายชอบให้ตาพาเที่ยวไปตามที่ต่างๆ ตาจึงมักปั่นเตียงเคลื่อนที่คันนี้พายายไปเที่ยวในที่สำคัญๆ ในอดีต ไม่ว่าจะเป็นสถานที่พบรักกัน สถานที่ๆ ทำมาหากิน ทั้งนี้ก็เพื่อให้ยายระลึกถึงความหลังอันงดงาม และกระตุ้นความจำ ความรู้สึกของยาย อย่างน้อยๆ ความหลังเหล่านี้ก็เสมือนเป็นน้ำหล่อเลี้ยงความเศร้าหมองของชะตากรรมที่ทั้งคู่ต้องเผชิญอยู่บ้าง
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตาลอบได้พิสูจน์ให้เราเห็นว่าสัญญาที่ชายหนุ่มมอบไว้แก่หญิงสาวอันเป็นที่รักนั้น ไม่ใช่แค่เพียงลมปาก หรือถ้อยคำหวานหู หากแต่เป็นถ้อยคำที่ออกมาจากความรู้สึกข้างในหัวใจจริงๆ...
คำมั่นสัญญา ที่ยังทำอย่างซื่อตรงสม่ำเสมอ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ตาม
ที่มา : http://hilight.kapook.com/view/33714