10 กันยายน 2547 05:36 น.
เงาพระจันทร์
ฉันเคยแอบหลงรักผู้ชายคนหนึ่งเขาไม่ใช่คนที่หน้าตาดีอะไรนัก แต่เขาเป็นน่ารัก ขี้เล่นและมีความเป็นคนอารมณ์ดีอยู่มากมาย มากมายพอที่จะทำให้คนที่ไม่รู้จักเขาก็ยิ้มได้เมื่อแอบมองเห็นเขาคุยเล่นอยู่กับใครสักคนหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันในความเป็นเขาก็มีภาวะแห่งความเป็นผู้ใหญ่อยู่มากมายเช่นเดียวกัน ดูอบอุ่นจริงใจ แล้วแบบนี้จะไม่ไห้ฉันแอบรักเขาได้อย่างไร
ในครั้งแรกที่ฉันได้เจอกับเขา ฉันไม่กล้าที่จะพูดคุยกับเขา เมื่อเขาทักทาย (ซึ่งเขาก็ทักทายทุกคนเหมือนกันน่ะแหละ) ฉันก็ทำได้แค่เพียงยิ้มตอบ อ้อ! ฉันลืมบอกไปว่าฉันอายุน้อยกว่าเขานะ ก็ไม่มากหรอก เขาอายุมากกว่าฉันประมาณ 4 ปี เราพบกันในการไปค่ายประจำปี เป็นค่ายเฉพาะวันรุ่น เขาก็ค่อนข้างโดดเด่น อาจเป็นเพราะด้วยความเป็นคนมีอารมณ์ขันเหลือเฝือมั้ง ตลอดเวลา 5 วันของการไปค่าย ฉันทำได้แค่เพียงแอบมองและได้พูดคุยกับเขาเพียงนิดหน่อยเท่านั้นเอง ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมฉันถึงปล่อยให้โอกาสและเวลาผ่านเลยได้ถึงเพียงนี้ แต่ฉันก็ไม่กล้าจะเข้าไปพูดคุยจริงจริงนะ
จากวันแรกจนถึงวันแห่งการอำลา ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรกับเขามาก ส่วนใหญ่ก็เป็นเพียงการทักทายเท่านั้น และวันสุดท้ายก็เป็นการจากลาที่แสนจะธรรมดา เสียดายไหมหล่ะ ฉันเฝ้าถามตัวเองตลอดที่นั่งรถกลับ แม้กระทั้งตอนกลับที่เขาขอขึ้นรถมาด้วยแล้วจะขอแยกลงที่หลัง เราอยู่กันคนละจังหวัดกัน ฉันยังไม่ได้คุยอะไรกับเขาสักคำได้แต่แอบมอง ไม่มีอะไรแตกต่างจากตอนที่อยู่ในค่ายเลย มีแค่ความเสียดาย กับความเสียดายจริงๆ หลังจากนั้น ฉันก็ทำได้แค่นั่งคิดถึงเขาไป วันละหลายๆครั้ง ก็ไม่ได้คิดถึงมากมายอะไรนะ แต่ก็คิดถึง มีครั้งหนึ่งที่ฉันลองโทรศัพท์ไปหาเขา ฉันขอที่อยู่กับเบอร์โทรศัพท์เขาไว้ เผื่อว่ามีวันไหนที่กล้าพอจะได้โทรไปคุยกับเขา แต่ก็ไม่มีใครรับโทรศัพท์ ฉันจึงให้ความตั้งใจครั้งนั้นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายและเป็นครั้งเดียวด้วยที่โทรหาเขา
จากนั้นผ่านไปหนึ่งปีแล้ว การเดินทางของค่ายเวียนกลับมาอีกครั้ง ฉันก็ได้แต่หวังว่า ปีนี้เขาก็จะมาร่วมค่ายอีกครั้ง แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะเขาไม่มา ฉันลองถามหาเหตุผลจากพี่ๆที่เป็นเพื่อนกับเขาว่า ทำไมเขาถึงไม่มาค่ายปีนี้ ได้ความมาว่า เพราะแฟนมันไม่มาไง มันก็เลยไม่มา เหมือนหัวแม่เท้าจะขึ้นมาจุกอยู่ที่ลิ้นปี่ ออกอาการอึ้งไปนิดหน่อย(หรือเปล่าอาจจะอึ้งมากก็ได้นะ) ฉันก็แสดงอาการรับรู้อย่างงงๆ อ้อ! มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เข้าใจ เข้าใจ แล้วฉันก็เดินจากพี่คนนั้นไป
ฉันก็เริ่มอาการทำใจ ทำใจเถิดว่า เขามีแฟนแล้วนะ อย่ารู้สึกอะไรให้มากกว่าคำว่าปลื้มเลยนะ เดี๋ยวผิดศีลข้อ 3 นะ ฉันก็คิดไปถึงนั่น ฉันก็เลยทำการตกลงกับหัวใจตัวเองว่า ฉันจะขอแค่เป็นน้องสาวของเขาก็แล้วกันนะ
จากที่ได้รับรู้ความเป็นจริงในส่วนนี้แล้ว น่าแปลกที่การเจอเขาในครั้งต่อไปหลังจากนั้น ฉันกลับกล้าพูด กล้าคุย ล้อเล่น หยอกล้อ กวนอวัยวะเบื้องล่างได้อย่างสบายใจ เราได้เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น โอกาสต่างๆ นำพาเรามาพบกันบ่อยครั้งขึ้น ทุกครั้งที่เราได้เจอกัน เราได้พูดจาหยอกล้อกัน บางครั้งก็ได้คุยอะไรที่ออกแนวจริงจัง แต่เมื่อเขาพูด น่าสงสารนะที่ฉันกลับหัวเราะได้ทั้งๆที่บางเรื่องก็ออกจะเศร้าเคล้าน้ำตาอยู่ เป็นความสามารถเฉพาะตัวจริงๆนะ
การไปค่ายในครั้งที่ 3 ของฉัน ปีนี้เขาก็มาด้วย และแฟนของเขาก็มาด้วย แฟนเขาไม่ได้เป็นผู้หญิงที่หน้าตาน่ารักอะไรมาก แต่ก็จัดว่าน่ารักใช้ได้เลย แต่ฉันว่าสิ่งที่สำคัญคือ คู่นี้นอกจากเขาจะมีความรักให้แก่กันแล้วมันยังเห็นถึงความเป็นส่วนผสมที่ลงตัวกันดีระหว่างคน 2 คน
ไม่นานเท่าไหร่แต่ก็ไม่รู้ว่านานแค่ไหนหลังจากการไปค่ายในปีนั้น ฉันก็ได้ข่าวการแต่งงานของเขา ฉันก็ขอยินดีด้วยจากใจจริง ถามว่าฉันเสียใจไหม บอกตามตรงเลยว่าใหม่ เพราะเขาเหมาะสมกันขนาดนั้นแล้วฉันจะเกี่ยวอะไรได้ แต่ถ้าถามฉันว่าฉันเสียดายไหม ตอบได้คำเดียวเลยว่า มาก โธ่! เป็นใครจะไม่เสียดายบ้างหล่ะ ผู้ชายที่ตรงใจขนาดนั้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ขอเป็นน้องสาวต่อไปแล้วกันนะ
การมาค่ายครั้งที่ 4 เดินทางมาถึงแล้ว ฉันก็ไปของฉันอยู่ทุกปี แต่ทุกปีก็ขอแอบมีความหวังว่าเขาจะมา แต่ปีนี้เริ่มไม่หวังแล้ว ก็แต่งงานแล้วนี่นา! ปีนี้เขามา และมาคนเดียว ภรรยาของเขาไม่ได้มาด้วย และปีนี้เขาไม่ได้เป็นลูกค่ายอีกต่อไปแล้ว เขาอยู่ในฐานะของพี่เลี้ยง ในค่ายปีนี้เรามีโอกาสได้เดินสวนกันบ่อยครั้ง และทุกครั้งเขาจะทักทาย พูดจาหยอกล้อ แอบแกล้งกันไปมาบ้างตามประสาเขา ฉันก็มีความสุขใจ บางครั้งก็แอบมีความรู้สึกที่เกินเลยอยู่ แต่ก็สามารถที่จะควบคุมได้ บางครั้งฉันก็รู้สึกว่าไม่อยากจะเดินผ่านเขาเลย กลัวการที่เขาเล่นด้วย กลัวความรู้สึกตัวเอง
ในคืนก่อนวันสุดท้ายของการไปค่ายครั้งนี้ เขาจะต้องกลับก่อน เพราะอีกวันจะต้องมีงานหรืออะไรสักอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาต้องรีบกลับ ขณะที่ฉันยังทำการแลกเปลี่ยนที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์กันตามธรรมเนียมอยู่นั้น ก็มีน้องเดินมาบอกฉันว่าทำนองว่าพี่เขาจะกลับแล้ว พรุ่งนี้เขามีธุระเลยต้องรีบกลับ เขาให้มาตามพี่ไปลาเขาด้วย ฉันก็งงๆ แต่ก็รีบไป เมื่อเจอฉันเขาก็ทำตัวเป็นเด็ก เขาพูดประมาณว่า เค้าต้องกลับแล้วนะ และก็พูดอีกหลายอย่างฉันก็ไม่แน่ใจว่าเรียบเรียงประโยคว่าอย่างไร เพราะฉันมัวแต่ขำสำบัดสำนวนที่ฟังดูเสี่ยวๆของเขา มันดูหวานหยดเกินไป ฉันคิดว่าเขาก็คงพูดเล่นขำขำ อย่างไม่มีอะไร หรือฉันคิดมากไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ว่ามันไม่มีอะไร แต่สิ่งที่น่าแปลก และฉันไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองก็คือ เขาพูดแบบนั้นกับฉันคนเดียว กับน้องคนอื่น เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมากขนาดนี้ ฉันก็ไม่เข้าใจนะว่าเพราะอะไร แต่ฉันก็ไม่พยายามค้นหาเหตุผลอะไรมาก ฉันสรุปเอาเองว่า เขาเล่นๆกับฉันแบบนี้ได้ เพราะ หนึ่งเขาคงไม่รู้ว่าฉันเคยแอบหลงรักเขามาเป็นเวลาหนึ่ง สอง เพราะเขาคิดว่าฉันเป็นคนที่สามารถล้อเล่นอะไรแบบนี้ได้โดยที่ฉันจะไม่ได้คิดอะไรมาก หรือ ขอแอบสรุปเข้าข้างตัวเองนิดหนึ่งว่า เขาก็คงชอบฉันอยู่เล็กๆ อาจแค่อยากกุ๊กกิ๊กด้วยนิดหน่อยแต่ไม่ถึงขนาดว่าให้ผิดศีลธรรมอะไร เป็นความชุ่มชื่นของหัวใจ เหมือนได้อยู่กับคนที่ถูกใจ คุยกันถูกคอ แต่อย่างไรก็ตาม มันก็คือข้อสรุปของฉันเพียงคนเดียว ไม่เคยไปถามเจ้าตัวหรอกว่า คิดอย่างไร ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้หรอก
ครั้งหนึ่งที่เจอกัน..เขาก็ขอเบอร์โทรศัพท์ของฉันไป แต่เขาก็ขอของน้องคนอื่นๆที่รู้จักกันด้วยนะ แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ เมื่อเวลาที่เขาขอเบอร์โทรศัพท์ของน้องคนอื่นๆ เขาก็จะแค่บอกขอเบอร์เก็บไว้หน่อย เพื่อว่างๆหรือมีอะไรจะได้โทรหาได้ แต่สำหรับฉัน เขาก็จะพูดประมาณว่า เค้าขอเบอร์ตัวเองหน่อยนะ เผื่อเวลาคิดถึงเค้าก็จะได้โทรมาหาได้ไง ฉันฟังแล้วก็ขอขำนะ ลองนึกว่าถ้าเขายังไม่มีแฟน ไม่ใช่สิ เอาเป็นว่าถ้าเขายังไม่มีภรรยาแล้วมาพูดกับฉันแบบนี้ฉันอาจจะดีใจเป็นบ้าเป็นหลังไปแล้ว
หลังจากนั้นเขาก็เหมือนหาเรื่องมาเที่ยวที่จังหวัดฉันบ่อยขึ้น ไม่ได้โทรมาคุย แต่ทุกครั้งที่โทรมาก็บอกว่าคิดถึง และบางครั้งก็พูดด้วยถ้อยคำที่หวานจนฉันเองก็แอบเผลอคิดไปหลายครั้ง ระหว่างฉัน กับเขา ดูเป็นความคลุมเครือที่หาข้อสรุปไม่ได้ เป็นความสัมพันธ์ที่ฉันไม่อาจแน่ใจได้ว่าบริสุทธิ์ใจกันทั้งสองฝ่ายหรือเปล่า เขาแค่ล้อเล่นกับฉันหรือเปล่า แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องถือเป็นการล้อเล่นที่ค่อนข้างรุนแรงกับความรู้สึก หรือเขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ฉันพยายามจะไม่คิดมาก พยายามที่จะไม่คิดอะไร แต่ยิ่งพยายามว่าจะไม่คิดอะไร คำถามมันยิ่งกลับประดังถามเข้าอย่างไม่หยุดยั้ง ที่น่าเศร้าคือ เป็นคำถามที่ฉันไม่อาจหาคำตอบได้ เป็นคำถามที่ลำบากใจจะคิด ลำบากใจจะตอบ และฉันก็ไม่รู้ว่าฉันควรจะทำอย่างไรดี
แต่วันนี้ฉันตัดสินใจแล้วว่าฉันจะปล่อยให้เรื่องนี้เป็นแค่เพียงว่า
ฉันเคยแอบหลงรักผู้ชายคนหนึ่ง ในครั้งหนึ่ง แต่เมื่อ ณ เวลาที่ได้ตัดใจจากเขาแล้วเพราะเขามีคนที่เขารักจนสามารถตกลงใจที่จะแต่งงานได้ กลับกลายเป็นเขาเองที่เข้ามาทำให้หัวใจของฉันหวั่นไหว สับสน เกิดความไม่แน่ใจในความรู้สึกของตนเอง และของเขา ฉันยังไม่รู้ว่าสำหรับวันพรุ่งนี้และวันต่อๆไป ฉันคือ อะไรสำหรับเขา ฉันจะอยู่ในฐานะใดในความคิดของเขา ฉันเป็นใครในความเข้าใจของเขา ฉันเป็นส่วนใดหรือไม่เป็นส่วนใดเลยในชีวิตของเขา เพียงแต่ว่าทุกความทรงจำที่แสนดีนั้นฉันจะเก็บมันไว้
และให้เขาเป็นเพียง
ผู้ชายที่ฉันเคยแอบหลงรัก
พี่ชายที่แสนดีของฉันในวันนี้และวันต่อๆไปของฉัน
ส่วนหนึ่งของความคิดคำนึง แต่ไม่ใช่ส่วนของความคะนึงหา
เท่าที่เขาควรเป็นในความคิดของฉัน
7 กันยายน 2547 02:01 น.
เงาพระจันทร์
การเดินทางในวันเปล่าไร้ ช่างทรมานเหลือเกิน เหมือนการเดินทางกลางทะเลทราย ภายใต้แสงแดดอันแรงกล้า ในยามเที่ยงวัน ในวินาที่ที่เหมาอนว่าแสงแดดจะละลายร่างของเราเหมือนกับที่ละลายช็อคโคแลต
บางครั้งก็เหมือนการเดินทางท่ามกลางพายุหิมะ ที่เหน็บหนาว และขาวโพลน เสียงลมพายุพัดโหมและหวีดหวิว ราวกับคำสาปแช่งที่โหยหวน บาดเจ็บและทรมาน สีขาวที่ดูบริสุทธิ์ของหิมะนั้น เหมือนต้องการโอบอุ้ม แล้วปิดหน้าเราไว้บนพื้นหิมะ อย่างสงบเงียบ โดยไม่มีใครรู้ว่าเราอยู่ที่แห่งไหน
บางครั้งก็เหมือนการเดินทางท่ามกลางสายฝน หนาวเหน็บ หยาดฝนแต่ละหยด ตกลงกระทบอย่างหนักหน่วง เหมือนเข็มนับพันเล่มทีทิ่มแทงให้เราสะดุ้งเจ็บ เสียงระงมงึมงำของสัตว์ในยามนั้น ก็ไม่ผิดเพี้ยนไปจากเสียงบ่นว่า กร่นด่าในลำคอ รู้สึกถึวความตำหไนติติงอยู่รอบกาย เย็นชาจนไม่รู้สึกถึงน้ำตา ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้อยู่หรือไม่
ได้เพียงแต่หวัง ว่าสวักวันฉันจะถึง
แล้วฉันจะร้องไห้ ฉันจะรับรู้ถึงน้ำตา แห่งความยินดี
ฉันจะมีวันนั้น
6 กันยายน 2547 03:15 น.
เงาพระจันทร์
แต่ละคนต่างก็มีนิยามรักของตัวเองแตกต่างกันไป แล้วแต่ความความรักในความคิดของแต่ละคนจะเป็นเช่นไร บางคนก็ว่า
ความรัก คือ การให้ (อย่างไม่หวังอะไรตอบแทน)
ความรัก คือ สิ่งสวยงาม
ความรัก คือ สีชมพู
ถ้าให้คนสักร้อยคนมาให้นิยามกับคำว่ารัก เป็นไปได้ว่าอาจมีนิยามของคำว่ารักถึงร้อยความหมายเลยก็เป็นได้
สำหรับฉันนิยามความรักของฉัน
รัก คือ รัก
ความรักเป็นสิ่งที่สมบูรณ์อยู่แล้วในตัวของมันเอง อย่างอื่นนั้นเป็นเพียงร้อยส่วนประกอบที่มีอยู่ในรัก ไม่ว่าจะเป็น การให้อย่างไม่หวังอะไรตอบแทน สิ่งสวยงาม หรือ สีชมพู หรืออีกนานับนิยามคำว่ารัก
รัก คือ รัก
ความรักไม่ใช่การครอบครองคนรัก ความรักไม่ใช่การถูกครอบครองด้วย เมื่อฉันยังไม่ประสีประสานักในความรัก ฉันเข้าใจว่า ความรักคือการได้ครอบครองคนที่เรารัก ทำให้เขาเป็นของเราเขาต้องเป็นของเราคนเดียวเท่านั้น แต่เมื่อฉันเติบโตขึ้นฉันจึงได้เข้าใจว่า การคิดอย่างนั้น การกระทำเช่นนั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับที่เรามองคนที่เรารักเป็นเพียงสิ่งของชิ้นหนึ่งที่มีค่า มีความหมาย และอยู่ในการครอบครองของเรา
แล้วจะพูดได้อย่างไรว่าเรารักเขา เมื่อเรายังเห็นเขามีค่าเท่าเทียมกับสิ่งของ ไม่ใช่คน
ความรักที่สมบูรณ์ ต้องไม่มีความกลัวถ้าเขาหรือเธอคนนั้นมีหัวใจที่รักเราจริง เราก็ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะมีใครที่นอกเหนือจากเรา เพราะความกลัวนั้นแหละที่ทำให้เราทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเขาหรือเธอ ทำให้เขาหรือเธออึดอัด คงไม่มีใครหรอกที่อยากถูกติดตามพฤติกรรมตลอดเวลา แค่จากพ่อแม่ของเขาหรือเธอก็เพียงพอแล้ว
ปล่อยให้เขามีชีวิต ในแบบของเขาบ้าง
ปล่อยให้ตัวเรามีชีวิต ในแบบของตัวเองบ้าง
ให้อิสระแก่ชีวิตของตัวเอง และตัวคนที่เรารักบ้าง อย่ากักขังเขาไว้ด้วยคำว่ารัก อย่าใช้คำว่ารักเป็นข้ออ้างในการเอาเปรียบชีวิตของอีกฝ่าย
.ขอให้ทุกคนที่ได้อ่านบทความนี้มีความรักอย่างรัก
23 กรกฎาคม 2547 00:32 น.
เงาพระจันทร์
การแอบรักใครสักคน ก็เหมือนกับการไล่ตามความฝัน บางครั้งก็พบกับรอยยิ้มเมื่อเจอะเจอ เมื่อรู้สึกว่าเราเขยิบเข้าไปใกล้ความฝันเข้าไปอีกนิดหนึ่ง แต่บางครั้งก็มีน้ำตาจากความทดท้อ เพราะหนทางที่เรากำลังเดินทางไปนั้นไม่ได้เรียบง่ายสวยงามหรือโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่เราอาจเคยวาดฝันไว้ไม่ต่างกันที่บางครั้งเราก็แอบมีน้ำตา เมื่อยามรู้สึกว่าเขาคนนั้นเดินห่างเราไปก้าวหนึ่ง และกว่าที่เราจะเดินก้าวต่ออีกหนึ่งก้าว เขาก็เริ่มก้าวต่อไปแล้ว
หนทางที่ยาวไกลไม่ต่างจากคนที่เรารักดูห่างไกล ความเลือนพร่าของความฝันไม่ต่างจากความเลือนลางของความรู้สึกของคนที่เราแอบรัก
แม้เราจะใกล้ชิดกับความฝัน แต่เราก็ยังไม่มีโอกาสเก็บมันไว้ในมือของเราแม้เราจะใกล้ชิดกับคนที่เรารัก แต่เราก็ยังไม่สามารถให้เขาเก็บเราไว้ในใจได้
แต่ด้วยตั้งใจและจริงใจจริงจังกับความฝัน แม้ว่าทดท้อ ล้มลุกบ้าง แต่ก็เชื่อว่ายังลุกขึ้นเดินก้าวต่อไปได้
แต่ด้วยความรักและจริงใจจริงจังกับคนที่เรารัก อาจผิดหวัง อาจมีน้ำตา อาจไม่มีเขามาข้างกาย แต่ก็เชื่อว่ายังมีความสุขกับการเป็นผู้ให้ แม้จะไม่ได้รับสิ่งใดตอบแทนมาเลยก็ตาม
การไล่ตามความฝัน ไม่เคยมีใครบอกได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า จะประสบความสำเร็จ แต่ก็ยังดีกว่าที่เราจะเป็นผู้ที่เดินทางไปหาความฝันของเรา
การให้อย่างหมดใจกับคนที่เรารักหรือแอบรักนั้นไม่มีใครบอกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เขาจะเป็นผู้ให้กลับมา แต่ขอเพียงอย่างน้อยที่สุด แค่เรารู้ว่าเขาได้รับไว้อย่างเต็มใจและเราเองก็เป็นสุขกับการให้เพียงแค่นั้นก็ไม่เสียดายแล้วกับหัวใจที่ให้เขาไป
เมื่อวันหนึ่งที่เราตามความฝันทัน เราก็มีความสุข
เมื่อวันหนึ่งคนที่เราแอบรักเป็นคนที่รักเราด้วย เราก็มีความสุข
และถึงแม้เราจะไม่เคยตามความฝันได้ทัน และคนที่เรารักก็ไม่เคยรักเราด้วย แต่อย่างน้อยที่สุด เราก็มีความสุขกับการทุ่มเทชีวิตช่วงหนึ่งของเราให้กับความฝันที่เรารักให้กับคนที่เรารัก
23 กรกฎาคม 2547 00:19 น.
เงาพระจันทร์
ทำไมถึงชอบกินกาแฟนักนะ
ผมมักถามคำถามนี้กับเธอเสมอ
ไม่ได้กินจ้ะดื่มต่างหาก
เธอเงยหน้าจากแก้วกาแฟสีแดงสดที่เธอใช้เป็นประจำแล้วตอบคำถามผมไม่ใช่สิ!!แก้คำถามที่ผมถามเธอต่างหาก
โอ.เค. แล้วทำไมถึงชอบดื่มกาแฟนักหล่ะ
ผมถามโดยเปลี่ยนคำกิริยาใหม่ให้ถูกต้อง
ก็เพราะชอบไงก็เลยกิน เอ๊ย!! ดื่ม
เธอโอบแก้วกาแฟด้วยนิ้วน้อยๆของเธอ แล้วยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มอย่างมีความสุข คราบกาแฟสีน้ำตาลอบอุ่นยังเลอะขอบปากเธอขณะที่ตอบผม เธอค่อยๆบรรจงใช้ลิ้นเรียบเลียคราบกาแฟนั้นจนหมดราวกับว่าเสียดายซะเหลือเกินถ้าจะเช็ด
เบสท์จะทำงานแล้วหล่ะ โกกลับไปก่อนก็ได้นะ เบสท์คงไม่ได้คุยด้วยแล้วหล่ะ วันนี้ต้องเขียนต้นฉบับให้เสร็จ
ครับผมตั้งใจทำงานนะครับ
เบสท์ไม่ไปส่งนะโก โทษทีนะ ฝันดีนะจ้ะ
พูดจบเบสท์ก็ลงนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ เสียงแป้นคีย์บอร์ดดังขึ้นและค่อยเบาลงเบาลงจนไม่ได้ยินเสียงอีกเมื่อผมเดินถึงหน้าบ้าน ผมสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์แล้วบิดคันเร่งตรงกลับบ้าน
ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจผม..กับ..เบสท์..เรารักกันได้อย่างไรทั้งที่เราดูแตกต่างกันเหลือเกินเธออายุมากกว่าผมสามปีมันก็ไม่ต่างกันมากนักหรอกเนอะ
เธอทำงานเป็นนักเขียนอิสระชอบดื่มกาแฟเป็นชีวิตและจิตใจอาจจะรักมันมากกว่าผมอีกมั้งเธอมักปล่อยให้ผมเผ้าดูยุ่งๆพอถามเหตุผล เธอก็บอกว่า
ก็เบสท์ชอบแบบนี้
เบสท์ต่างกับผมผมค่อนข้างดูแลสุขภาพตัวเอง...ผมไม่ดื่มเหล้า..ไม่สูบบุหรี่ ไม่แม้กระทั้งดื่มชาหรือกาแฟ เพราะตัวพวกนี้มันจะทำให้ผมดูโทรมมากกว่าดูดีแน่ๆแต่เบสท์ไม่เคยแคร์เลย
เราดูแตกต่างกันไปไหมไม่รู้สินะรู้แต่ว่าผมก็รักเธอที่เธอเป็นอย่างนี้
เช้าวันจันทร์
ผมไม่มีเรียน เลยไปหาเบสท์ที่ห้อง เธอนอนฟุบหน้าลงข้างๆแป้นคีย์บอร์ด
ผมอุ้มเธอไปที่เตียง ค่อยๆว่างเธอลงกลัวว่าเธอจะตื่น ผมห่มผ้าให้เธอ เธอเหมือนเด็กเลย นอนขี้เซาจริง ผมยิ้มน้อยให้เธอ ก่อนค่อยๆเอนตัวลงนอนข้างเธอลูบผมให้เธอผมนุ่มจัง..
โก!!! ตื่นได้แล้วจ้ะ
.
บ่ายสองแล้วนะจ้ะ ไปเรียนได้แล้ว
..
มีเรียนตอนบ่ายสองครึ่ง ไม่ใช่เหรอ
.
ผมตื่นตั้งแต่เธอเรียกแล้ว ผมได้ยินทุกคำที่เธอพูด แต่ ผมยังไม่อยากลืมตาเธอเงียบไป..พร้อมกันกับที่ผมรู้สึกหนักๆ ตรงหลังของผม ผมลืมตาขึ้นมอง เป็นเบสท์เองนั้นแหละที่นั่งทับผม
นึกว่าผีอำเสียอีก ผมแกล้งพูด
ถ้าเป็นผีก็คงเป็นผีที่น่ารักที่สุดในโลกแล้วหล่ะ
เบสท์ลุกจากหลังผม เธอเดินไปที่โต๊ะ บนโต๊ะมีกระติกน้ำร้อน เธอกดน้ำลงแก้วสีแดง
กินกาแฟอีกแล้วเหรอ ผมทัก
ดื่มจ้ะ
เธอหันหน้ามาตอบผมด้วยรอยยิ้มแล้วหันหน้าไปตักกาแฟ ผมไม่อยากถามเลย แต่ ผมก็ถาม
ไม่ดื่มไม่เหรอ ไอ้กาแฟเนี่ย
กาแฟหน่ะมันไม่ดีต่อสุขภาพเท่าไหร่หรอกนะ ทำให้หน้าแก่เร็วด้วยนะ
กินทำไมนะ ไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไรเลย เลิกกินเถอะ
ไม่ เธอตอบตรง สั้น จนผมตกใจ
ผมไม่แน่ใจในน้ำเสียงของเธอว่าเธอรู้สึกยังไง นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกสะดุด เธอคงไม่ได้โกรธผมหรอกนะเราพูดแรงไปหรือเปล่านะก็รู้อยู่ว่าเธอชอบกาแฟ และรักการกินกาแฟมากแค่ไหนแต่สิ่งที่เราพูดมันจริงนี่นา
เธอคนกาแฟเกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราสองคน
ผมเดินไปหยิบแก้วกาแฟของเธอ ก่อนที่เธอจะหยิบ
คืนกาแฟมานะโก นำเสียงเธอราบเรียบ ไม่บ่งบอกความรู้สึกอันใด
เธอพูดโดยไม่หันมามองหน้าผมผมมองหน้าเธอ
ผมเงียบเธอหันมามองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจว่าผมกำลังจะทำอะไรผมเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร
ไม่ดื่มไม่ได้เหรอ ผมถามเธอ.แววตาผมผมแน่ใจว่ามันจริงจังมาก
เบสท์หันหน้ากลับไปไม่มองผมอย่างเดิม
โก. เธอสูดหายใจลึก
โกวางแก้วไว้บนโต๊ะนะแล้วโกก็ไปเรียนได้แล้วหล่ะ
ผมทำในสิ่งที่น่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำมากที่สุด ผมเดินไปที่อ่างล้างจาน กาแฟสีน้ำตาลอุ่นถูกรินออกจากแก้วสีแดงนั้น แก้วนั้นถูกล้างและวางอยู่บนชั้นวางก่อนที่ผมจะเดินออกไป
ผมทิ้งเธอไว้ตรงนั้นกับความเงียบงันและความไม่เข้าใจ
ผมเดินจากมากด้วยความเงียบงันและความไม่เข้าใจ
เธอจะโกรธไหมกาแฟมันสำคัญมากขนาดนั้นเลยหรือเธอคงไม่โกรธเราด้วยเรื่องแค่นี้หรอกน่าแต่ถ้าเธอโกรธหล่ะก็รู้อยู่ว่าเธอชอบกินกาแฟแล้วเราจะไปห้ามเธอทำไมนะเธอยังไม่เคยบังคับอะไรเราเลยนะแต่เราก็ทำเพราะหวังดีนะก็กาแฟมันไม่ดีกับสุขภาพจริงๆนี่น่า และเธอก็ดื่มกาแฟหนักมากเธอจะโกรธไหมนะ
วันที่หกผ่านไป
ผมไม่ได้พบเธอเลย ผมมักจะไปหยุดยืนอยู่หน้าประตูห้อง แล้วก็หันหลังกลับทั้งๆที่ ผมก็มีกุญแจห้องเบสท์ แต่ผมก็ไม่กล้าไปหาเธอ ผมรู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก
เป็นวันอาทิตย์ที่แสนว่างเปล่าสำหรับผมเหลือเกิน ไม่มีเธอเดินจูงมือไปด้วยกันนั่งคุยกันในสวนสาธารณะหยอกเย้าอ่านหนังสือ อ่านบทกวีที่เธอแสนจะรัก ให้ผมฟัง สลับกับการจิบกาแฟไปร้านหนังสือในตอนบ่ายขลุกอยู่เป็นนานสองนานกลับมาที่ห้องเธอรอกินข้าวเย็นฝีมือเธอจนเธอจะทำงานนั่นแหละผมถึงจะกลับ
..แต่วันนี้.ไม่เป็นอย่างนั้นวันนี้ไม่มีอะไรเลย.
ผมตัดสินใจไปร้านหนังสือคนเดียว ในใจก็หวังว่าหนังสือดีๆสักเล่ม หรือบทกวีบทกลอนหวานๆสักเล่มอาจทำให้เธอหายโกรธผม หรืออย่างน้อยที่สุด ผมก็คงรู้สึกดีขึ้นดีกว่าความรู้สึกที่เป็นอยู่ตอนนี้
ผมเดินหาไปเรื่อยๆ ที่แย่ที่สุด คือผมไม่ถนัดเรื่องการเลือกหนังสือเลยแม้แต่นิดเดียว ทุกครั้งที่มาก็มากับเบสท์ แล้วเบสท์ก็จะเลือกเล่มดีๆกลับไป ส่วนผมเดินตามเธออย่างเดียว
.ยังเดินหาอยู่.แล้วผมก็สะดุดกับชื่อหนังสือเล่มหนึ่ง ผมอ่านปกหลังแนะนำหนังสือ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อผู้ชายจากดาวอังคารมาพบผู้หญิงจากดาวศุกร์ ทั้งสองรักกันและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เนื่องจากทั้งสองรับรู้และยอมรับความแตกต่างระหว่างกัน แต่เมื่อทั้งสองอพยพมาอยู่บนโลกมนุษย์ เรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ทั้งสองลืมไปว่าพวกเขามาจากดาวเคราะห์คนละดวง
หมายความว่าอะไรนะผู้ชายมาจากดาวอังคารผู้หญิงมากจากดาวศุกร์พออพยพมาโลกก็ลืม
เรามาจากดาวอังคารเบสท์มาจากดาวศุกร์
ทั้งสองรักกันและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เนื่องจากทั้งสองรับรู้และยอมรับความแตกต่างระหว่างกัน
เมื่อนึกย้อนกลับไปผมพบความจริงที่ว่า เมื่อก่อนถึงผมจะรู้สึกไม่ดีที่เบสท์ดื่มกาแฟมาก แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรมันก็ไม่เห็นจะมีเรื่องอะไรแต่พอผมพูดผลที่ออกมาก็เป็นอย่างนี้
.เราแตกต่างกันเราแตกต่างกันผมมักคิดถึงเรื่องนี้บ่อยครั้งผมไม่รู้ว่าเบสท์คิดเรื่องนี้ไหมผมเชื่อว่าเธอก็คิดแต่เธอเข้าใจผมถึงเธอจะชอบดื่มกาแฟแค่ไหนแต่ผมไม่ชอบ..เธอก็ไม่เคยเซ้าซี้ให้ผมดื่มกับเธอถึงแม้ว่าเธอจะตั้งใจซื้อแก้วสีแดงแก้วโปรดของเธอมาเป็นคู่กันให้ผมแก้วหนึ่งแล้วก็ตามแล้วทำไมนะ..ทำไมผมถึงทำอะไรที่ทำร้ายจิตใจเธอโดยการกึ่งบังคับเธอให้เลิกดื่มกาแฟของโปรดนี่ผมบ้าหรือโง่กันแน่นะถึงได้ทำอะไรแบบนี้ได้สงสัยเป็นเพราะพึ่งตื่นมั้ง.แย่.
ผมวางหนังสือเล่มนั้นลงที่เดิม..ผมเดินทาง.กลับ.
..วันจันทร์..ครบหนึ่งอาทิตย์ที่เราไม่ได้คุยและไม่ได้เจอกัน..
ผมไปหาเธอที่ห้อง ในตอนสายๆ และผมก็ไปสายไป จึงไม่เจอเธอจริงๆแล้วผมก็ตั้งใจให้ไม่เจอเธอ.ผมเดินไปปิดคอมพิวเตอร์ที่เธอลืมปิดไว้เก็บผ้าห่มที่จากพื้นพับและวางไว้บนเตียง
แปลก
ผมรู้สึกว่ามีอะไรแปลกๆแต่..นึกไม่ออก.ผมมองไปรอบๆห้องเผื่อจะนึกออก
อ้อ!!!! รู้แล้ว ไม่มีแก้วกาแฟวางอยู่เลยสักแก้วหรือว่าเบสท์ไม่กินกาแฟอีก
ผมเดินไปที่โต๊ะหยิบแก้วสีแดงคู่หนึ่งคู่นั้นออกมาน้ำร้อนยังมีอยู่กดน้ำร้อนวิ่งลงแก้วสีแดงทั้งสองใบครั้งแรกของการชงกาแฟอาศัยว่ามองเบสท์เวลาชงบ่อยก็พอจะจำได้.เสียงช้อนคนชนกับแก้วกาแฟเสียงดังกังวานใส
ผมถือแก้วด้วยมือทั้งสองข้างวางแก้วลงบนโต๊ะ หยิบกระดาษมาเขียนข้อความ
..ผมยกกาแฟแก้วหนึ่งขึ้นมาดื่ม.ดื่ม.ดื่ม.จนหมดแก้วแล้ววางลงคู่กับอีกแก้ว..
..ผมกลับบ้าน.หวังว่าเธอเห็นข้อความแล้วเธอจะหายโกรธผม..
แก้วนี้โกชงให้เบสท์ที่โกรักที่สุด และ แก้วนี้โกชงดื่มเอง.โก..ขอโทษที่โกบังคับให้เบสท์เลิกกิน เอ๊ย!!! ดื่มกาแฟ โกขอโทษที่โกปฏิเสธสิ่งที่เบสท์รัก ต่อไปโกจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว
รักเบสท์ที่สุด
โก
ป.ล. หายโกรธแล้วโทรหาด้วยนะครับ
..และผมก็หวังว่าคืนนี้ผมจะได้รับโทรศัพท์ของเธอ.