21 พฤศจิกายน 2549 23:20 น.
เก็จฐวา
พ่อแม่จ๋า..บนท้องฟ้าคืนนี้มีแต่ดาว
ดูสิ.....กระพริบวาวราวฟ้ากระซิบฝัน
ใต้ฟ้านี้ที่หนูอยู่ดูเงียบงัน
ใต้ฟ้านี้ที่นั่นเป็นอย่างไร
หนูรู้ว่าพ่อแม่อยู่ไกลโพ้น
ณ ที่โน่นคืนนี้มีดาวไหม
หรือไม่เคยมองดวงดาวพราวฟ้าไกล
มองก็แต่ดวงไฟกระพริบพราว
พ่อแม่จ๋า.....คืนนี้บ้านนาเราเหงาสงบ
ดึกหน่อยจึงค่อยพบวูบลมหนาว
อยู่เมืองหลวงเป็นอย่างไรในเรื่องราว
ขอพ่อแม่ช่วยส่งข่าวบอกหนูที
อยู่เมืองหลวงกินข้าวแลงกับอะไร
หนูกินแกงหน่อไม้ใส่กุดจี่
บ้านนอกเรายากฝันหาอาหารดี
กินตามมีตามหาได้ไปวันวัน
ปีนี้ออกพรรษาจะมาไหม
บอกให้หนูได้ชื่นใจเก็บไปฝัน
นานแล้วนะพ่อแม่ลูกเราจากกัน
อย่าให้ใจหนูไหวหวั่นอยู่วุ่นวาย
หนูคิดถึงพ่อแม่เฝ้าแลหา
ฝากดวงดาวแทนดวงตาคอยส่องฉาย
ฝากลมหนาวคืนนี้ที่พรูพราย
หอบความรักมาทักทายถึงคนไกล
พ่อแม่เป็นอย่างไรหนูไม่รู้
ความเป็นอยู่ร่มเย็นหรือโหยไห้
คือหนูพร่ำฝันฝากออกจากใจ
รักคิดถึงเป็นอย่างไรหนูได้ลอง
พ่อแม่จ๋า.....ลมทุ่งโชยมาพาเหน็บหนาว
เพ่งมองฟ้าลาดาวพราวใสส่อง
ทวนจดหมายรอบใหม่อย่างไตร่ตรอง
อ่านแล้วพับใส่ซองสีชมพู
จ่าหน้าซองสุดซึ้งถึงคนไกล
ขณะดาวหลับใหลไม่คงอยู่
ทีละดวงร่วงเหงาเฝ้ามองดู
ใจของหนูก็เคลิ้มไหวไปตามดาว
21 พฤศจิกายน 2549 22:36 น.
เก็จฐวา
ชีวิตฉันวันนี้ไม่มีสิทธิ์
ไม่มีแม้แต่จะคิดสักนิดหนึ่ง
ตกอยู่ใต้อำนาจมัดติดตรึง
หาที่พึ่งจากใครไม่มีเลย
เพราะเสน่ห์ "เล่ห์รัก" นี้ศักดิ์สิทธิ์
พรหมลิขิตความหลากหลายไว้อ้างเอ่ย
ดุจผีเสื้อกับดอกไม้ต่างได้เชย
เพียงแค่ลมรำเพยเผยราคี
หลงในรูปจูบซ้ำว่าล้ำค่า
สู้แข็งใจข้ามขอบฟ้ามาถึงนี่
ได้รับรู้รับเห็นเป็นพิธิ
อึดใจหนึ่งเมินหน้าหนีไม่อินัง
มันเป็นความช้ำชอกเกินบอกเล่า
ยิ่งกว่าถูกไฟเผาเขลาแทบคลั่ง
ไร้น้ำใจไยดีมิหยุดยั้ง
ทนผิดหวังเพื่ออะไรก็ไม่รู้
เธอไม่รักทำไมเธอไม่บอก
เที่ยวหลอนหลอกเรื่อยไปให้อดสู
หรือเธอเป็นโรคจิตลองคิดดู
เริงเล่นชู้ทางใจร่ายระบำ
รอยแผลรักมากรอยนับร้อยแผล
เป็นหลักฐานความพ่ายแพ้แซ่กระหน่ำ
แสนปวดร้าวสุดรันทดโลกจดจำ
เธอกระทำกับฉันได้ไร้ยางอาย
16 พฤศจิกายน 2549 20:26 น.
เก็จฐวา
อันเพื่อนกินเพื่อนกันโบราณว่า
เสนอหน้ายามเราสุขทุกข์มันหาย
ยามลำบากมันมาขอให้เห็นใจ
ยามมีได้ถีบหัวส่งลงกลางทาง
หากเพื่อนแท้แม้สักคนยามจนยาก
ให้ลำบากแค่ไหนไม่ทิ้งขว้าง
ความจริงใจมีให้ไม่จืดจาง
ไม่เคยห่างยามทุกข์หรือสุขเอย
6 พฤศจิกายน 2549 22:42 น.
เก็จฐวา
ย่างเหมันต์ผันฤดู
ข้าวในอู่ชูรวงไหว
หมู่พฤกษาพาปลิดใบ
บุปผาไซร้ไหวช่องาม
มองสายหมอกหลอกสายตา
คล้ายน้ำฟ้ามาในยาม
ตะวันส่องแสงติดตาม
เป็นสายงามตามภูคา
ปลายสายฝนต้นลมหนาว
บอกเรื่องราวคราวผ่านมา
ลูกหลานมองผองปู่ย่า
ลูกชาวนาหาทำกิน
จากท้องทุ่งมุ่งสู่เมือง
สร้างฝันเฟื่องเรื่องหนี้สิน
หลงแสงสีหนีลืมถิ่น
ซ้ำยังหมิ่นกลิ่นชาวนา
หาคิดไม่ใครกำเนิด
ทำให้เกิดเลิศรักษา
กอปเป็นตนคนขึ้นมา
เพียงเพราะว่าค่าคมเคียว
ลูกหลานเจ้าชาวพลัดถิ่น
ขอได้ยินผินหน้าเหลียว
มองผ่านมือถือเคียวเกี่ยว
ใต้คมเคียวเกี่ยวชีวา
2 พฤศจิกายน 2549 23:35 น.
เก็จฐวา
@ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรีเรืองศรี
เหลียวไปรับไหว้เทวี ภูมีดูนางไม่วางตา
งามจริงยิ่งเทพนิมิต ให้คิดเสียดายเป็นหนักหนา
เสโทไหลหลั่งทั้งกายา สะบัดปลายเกศาเนืองไป
กรกอดอนุชาก็ตกลง จะรู้สึกพระองค์ก็หาไม่
แต่เวียนจูบสียะตรายาใจ สำคัญพระทัยว่าเทวี
ความรักรุมจิตพิศวง จนลืมองค์ลืมอายนางโฉมศรี
ไม่เป็นอารมณ์สมประดี ภูมีหลงขับขึ้นฉับพลัน ฯ
@ เจ้าเอยเจ้าดวงยิหวา ดั่งหยาดฟ้ามาแต่กระยาหงัน
ได้เห็นโฉมฉายเสียดายครัน ฉุกใจมิทันคิด เอย ฯ
@ สังคามาระตาโฉมเฉลา ค่อยสั่นพระเพลาพลางสะกิด
หยิกเอาบาทบงสุ์พระทรงฤทธิ์ ภูวไนยได้คิดก็นิ่งไป ฯ
@ เมื่อนั้น บุษบาเยาวยอดพิศมัย
ถวายบังคมลาคลาไคล คลานเข้าไปในม่านทอง ฯ
@ เมื่อนั้น ระเด่นมนตรียิ่งหม่นหมอง
แลตามทรามวัยด้วยใจปอง พลางร้องครวญขับขึ้นฉับไว ฯ
@ เจ้าดวงยิหวาพี่ เจ้าจะจรลีไปไหน
พี่จะอุ้มไปส่งนะดวงใจ ภูวไนยก็เคลื่อนองค์ เอย ฯ
@ สังคามาระตาลอบสะกิด เห็นทรงฤทธิ์เคลิ้มคลั่งกำลังหลง
จึงยึดข้อพระบาทไว้มั่นคง พระรู้องค์ได้คิดก็คืนมา ฯ
@ เมื่อนั้น พระโฉมยงบอกองค์ขนิษฐา
เท้าพี่นี้เป็นเหน็บชา จะกลับกายาอย่ายึดไว้ ฯ
@ บัดนั้น ฝูงนางกำนัลน้อยใหญ่
เห็นอิเหนากุเรปันฟั่นเฟือนไป นางในสรวลแล้วก็บอกกัน
เมื่อกี้พระขับชมนาง ได้ยินบ้างหรือไม่นะสาวสวรรค์
พระจริตก็ผิดไปทุกอัน พระพักต์นั้นก็ซีดสลดไป
พระกรกอดพระกุมารก็เลื่อนลง เสโทโซมองค์ลงหลั่งไหล
ดูทีทำนองจะต้องใจ จึงเคลิ้มไคล้ไม่เป็นสมประดี ฯ
...........................๑@๑.............................