3 สิงหาคม 2549 17:12 น.
เกรียงไกร หัวบุญศาล
๑
ข้าจะเอาเหล่าดวงดาริกา...............................มาร้อยเรียงเป็นมาลัยฝากให้หล้า
เอาศศิสว่างพร่างนภา...................................มาแทนเทียนส่องจ้ามรรคาลัย
เอาวายุแทนดนตรีคีตะการ...........................ขานขับกล่อมทุกราตรีที่หลับไหล
ปลอบขวัญผู้ลึกร้าวหฤทัย.............................ในยุคเมืองรุกฆาตธรรมชาติวาย
เชิญหยาดเพชรแห่งน้ำค้างพร่างพราวหล้า.....มารดรินสร้างค่าและความหมาย
เชิญหิ่งห้อยน้อยพระพริบทิพย์แสงพราย.......ว่ายแหวกเล่นราตรีที่หลับฝัน
เพื่อร่วมสร้างนาฏกรรมแสนล้ำเลิศ.................เกิดทิพยะสุนทรีย์นิมิตรมั่น
รักค่าแห่งธรรมชาติยิ่งมิ่งชีวัน.........................สรรค์สร้างฝันยิ่งใหญ่ในม่านเมือง
๒
ดุจกำนัลขวัญหล้ามาจากสรวง.........................ร่วงสู่ห้วงแห่งฝันอันฟูเฟื่อง
เพราะตื่นฝันเหมือนฝากค่ามาเปล่าเปลือง.........เรืองรุ่งคือนวัตกรรมการทำลาย
คงแต่เมืองมณีค่าอนาคต...................................ทดแทนด้วยสิ่งปลูกสร้างอันหลากหลาย
ครอบงำสิ้นดินน้ำฟ้าอันตราย............................หมายมุ่งในผลประโยชน์แม้โฉดทราม
ขยายอาณาเขตล้ำธรรมชาติ...............................อาจหาญกล้าท้าทายคล้ายเหยียดหยาม
มิเคารพดินน้ำฟ้าศรัทธาตาม............................ความคิดกล้าว่ายิ่งใหญ่ในโลกา
เสกสร้างสิ่งใดใดดังใจนึก................................ผลึกวิทยาการลึกซึ้งจึงทายท้า
เสมือนผู้ควบคุมกุมชะตา................................พาเมืองรุกล้ำไปไม่คำนึง
เมืองยังรุกล้ำไปไม่ว่างเว้น..............................เห็นค่าเมืองยิ่งใหญ่คล้ายที่พึ่ง
มุ่งมั่นจะพัฒนาหาคำนึง.................................ถึงดุลยภาพแห่งธรรมชาติอาจวอดวาย
ความเจริญพาเพลินไปไร้เขตขอบ..................มอบทั้งจิตวิญญาณนี้พลีถวาย
แด่สิ่งที่เสกสร้างดั่งเรือนกาย.........................คล้ายน้อมไว้ชั่วหล้าอนันตกาล
ฤารอถึงวันธรรมชาติประกาศกร้าว...............ร้าวร่องลึกรอยโลกสั่นวันประหาร
คลื่นถล่มดินโถมทับดับวิญญาณ...................จารรอยโศกลึกซึ้งจึงเกรงกลัว.
เกรียงไกร หัวบุญศาล
๑ สิงหาคม ๒๕๔๙
3 สิงหาคม 2549 17:10 น.
เกรียงไกร หัวบุญศาล
๑
ค่ำคืนหนึ่งเธอละเมอพร่ำเพ้อว่า
โอ้ดาวจ๋าเจ้าเคยเหนื่อยบ้างไหม
อุตส่าห์ส่องแสงจ้ามาแต่ไกล
เพื่อจะให้โลกงามยามหลับฝัน
อยู่เป็นเพื่อนคนเหงาเปลี่ยวเปลี่ยว
จนขับเคี่ยวคืนอ้างว้างห่างเหหัน
มิเคยเอ่ยถ้อยคำพร่ำรำพัน
แม้กี่กัปกี่กัลป์กี่กาลสมัย
ดวงตาแห่งดาวยังพราวพร่าง
ขับคืนให้กระจ่างสว่างไสว
แม้แสงเจ้าจะมิเท่าจันทร์อำไพ
แต่มิเคยคลาไคลไปลับลา
ทุกค่ำคืนเจ้าคงดื่นระดาดาด
แวมแสงสาดส่องฝันปรารถนา
ปลอบคนอ่อนระโหยและโรยรา
เพื่อตื่นตาท้าทาย ณ อโณทัย
๒
ดาวอาจตอบเหนื่อยเหมือนกันนั่นแหละหนา
แต่ด้วยหน้าที่ผูกพันนั่นไฉน
จะบิดเบือนเลือนร้างได้อย่างไร
ต้องรับผิดชอบในหน้าที่ตน.
เกรียงไกร หัวบุญศาล
๒ สิงหาคม ๒๕๔๙