7 พฤศจิกายน 2549 20:19 น.
เกรียงไกร หัวบุญศาล
พิศเพ่ง ณ แผ่นน้ำ.............ยามเย็น
ลมผ่านพัดน้ำเป็น..............ระลอกริ้ว
ทยอยสู่ฝั่งแลเห็น..............ลายเลื่อม
งามดั่งกากเพชรพลิ้ว...........หว่านห้วงมหานที
แสงสุรีย์สั่งฟ้า.....................อัสดง
อาบทั่วสาครคง.....................คู่หล้า
สะท้อนพร่างวนวง..................กระทบฝั่ง
แลดั่งปริศนาท้า.....................มนุษย์ผู้มีญาณ
พิศภาพแห่งผิวน้ำ...................ยามลมรำเพยพัดผ่าน
งามงดปรากฏการณ์.................ธรรมชาติสรรเสกสร้างแสดง
แลเลื่อมกระเพื่อมพราย..........เปล่งประกายพริบพรายแสง
ล้อเล่นคลื่นลมแรง..................แดงฉาดฉานตะวันรอน
ลมลิ่วพลิ้วพัดผ่าน..................ลานแลตาให้อาวรณ์
สุริยาล้าแรงอ่อน.....................สะท้อนพรายประกายแสง
ลูกคลื่นคืนสู่ฝั่ง.....................ประดุจดั่งจักสำแดง
สัจจะว่าเปลี่ยนแปลง..............ทุกนาทีวิถีทาง
แดดอ่อนทาบเปลวระยับ.........สะท้อนกับแผ่นน้ำกว้าง
ราวเกล็ดเพชรโรยวาง.............พร่างพราวพรายดุจลายศิลป์
แต่งแต้มให้ผิวน้ำ..................งามเลิศล้ำมิรู้สิ้น
เพ่งพิศด้วยจิตจิน-...................ตนาการผ่านเวลา
จักเห็นอย่างลึกซึ้ง.................เข้าใจถึงซึ่งปริศนา
แก่นแท้ที่แปรค่า.....................คือปริศนาสัจธรรม
เกรียงไกร หัวบุญศาล
ตีพิมพ์ครั้งแรก นิตยสารคู่รักคู่ชีวิต ฉบับที่ ๒๖ ปีที่ ๒๕๔๑
แก้ไขใหม่ ๙ สิงหาคม ๒๕๔๙
4 กันยายน 2549 10:33 น.
เกรียงไกร หัวบุญศาล
อยากจะอยู่อย่างคนที่ไม่มีรัก
อยากจะอยู่อย่างคนที่ไม่มีรัก
ไม่ต้องเจ็บปวดหนักเมื่อรักสลาย
ไม่ต้องเศร้าเปล่าเปลี่ยวอยู่เดียวดาย
ให้อับอายขายหน้าน้ำตาพรู
หากว่าย้อนเวลาได้มิหมายมั่น
แสวงหาคนร่วมฝันอันหดหู่
มิข้องแวะแม้แต่จ้องตามองดู
ปิดประตูหัวใจไว้ทุกบาน
เหมือนสวนทางคนทั่วไปไม่ตรึงจิต
มิเก็บไว้ให้ต้องคิดแค่เลยผ่าน
คล้ายวิถีคนเดินไปในห้วงกาล
มิต้องสานใยก่อต่อฝันพราว
มิต้องรู้จักใครให้คิดฝัน
มิต้องปันหัวใจให้เหน็บหนาว
มิต้องเพ้อละเมอจ้องมองดวงดาว
ให้เป็นเพื่อนยามเจ็บร้าวหนาวหัวใจ
อยากจะลบเลือนฝันที่มีเจ้าอยู่
มิรับรู้ทั้งหลับตื่นวันคืนไหน
เหมือนดั่งได้ตายจากพรากกันไป
เป็นวิญญาณก็อย่าให้ได้พบกัน
สยองยิ่งกว่าตายไปเกิดในนรก
มิวิตกเท่าพบเจ้าหนาวใจหวั่น
พอกันทีอย่าได้มีน้ำใจกัน
คืนและวันที่ผ่านมาข้าสุดกลัว
เอาอะไรไม่ได้หรอกใจเจ้า
เหมือนว่าข้าโง่เขลาเจ้ายิ้มหัว
ข้าโง่เขลาหลงคำหวานซ่านทั้งตัว
เป็นควายงัวมิระแวงคลางแคลงใจ
นี่แหละหนอรักเจ้าข้าเฝ้ารัก
ครั้นประจักษ์ความจริงแท้แค่หลอกไว้
ให้ข้ารักข้าเพ้อละเมอไป
เพื่อจะได้เห็นข้าเศร้าหนาววิญญาณ.
เกรียงไกร หัวบุญศาล
๓ กันยายน ๒๕๔๙
3 สิงหาคม 2549 17:12 น.
เกรียงไกร หัวบุญศาล
๑
ข้าจะเอาเหล่าดวงดาริกา...............................มาร้อยเรียงเป็นมาลัยฝากให้หล้า
เอาศศิสว่างพร่างนภา...................................มาแทนเทียนส่องจ้ามรรคาลัย
เอาวายุแทนดนตรีคีตะการ...........................ขานขับกล่อมทุกราตรีที่หลับไหล
ปลอบขวัญผู้ลึกร้าวหฤทัย.............................ในยุคเมืองรุกฆาตธรรมชาติวาย
เชิญหยาดเพชรแห่งน้ำค้างพร่างพราวหล้า.....มารดรินสร้างค่าและความหมาย
เชิญหิ่งห้อยน้อยพระพริบทิพย์แสงพราย.......ว่ายแหวกเล่นราตรีที่หลับฝัน
เพื่อร่วมสร้างนาฏกรรมแสนล้ำเลิศ.................เกิดทิพยะสุนทรีย์นิมิตรมั่น
รักค่าแห่งธรรมชาติยิ่งมิ่งชีวัน.........................สรรค์สร้างฝันยิ่งใหญ่ในม่านเมือง
๒
ดุจกำนัลขวัญหล้ามาจากสรวง.........................ร่วงสู่ห้วงแห่งฝันอันฟูเฟื่อง
เพราะตื่นฝันเหมือนฝากค่ามาเปล่าเปลือง.........เรืองรุ่งคือนวัตกรรมการทำลาย
คงแต่เมืองมณีค่าอนาคต...................................ทดแทนด้วยสิ่งปลูกสร้างอันหลากหลาย
ครอบงำสิ้นดินน้ำฟ้าอันตราย............................หมายมุ่งในผลประโยชน์แม้โฉดทราม
ขยายอาณาเขตล้ำธรรมชาติ...............................อาจหาญกล้าท้าทายคล้ายเหยียดหยาม
มิเคารพดินน้ำฟ้าศรัทธาตาม............................ความคิดกล้าว่ายิ่งใหญ่ในโลกา
เสกสร้างสิ่งใดใดดังใจนึก................................ผลึกวิทยาการลึกซึ้งจึงทายท้า
เสมือนผู้ควบคุมกุมชะตา................................พาเมืองรุกล้ำไปไม่คำนึง
เมืองยังรุกล้ำไปไม่ว่างเว้น..............................เห็นค่าเมืองยิ่งใหญ่คล้ายที่พึ่ง
มุ่งมั่นจะพัฒนาหาคำนึง.................................ถึงดุลยภาพแห่งธรรมชาติอาจวอดวาย
ความเจริญพาเพลินไปไร้เขตขอบ..................มอบทั้งจิตวิญญาณนี้พลีถวาย
แด่สิ่งที่เสกสร้างดั่งเรือนกาย.........................คล้ายน้อมไว้ชั่วหล้าอนันตกาล
ฤารอถึงวันธรรมชาติประกาศกร้าว...............ร้าวร่องลึกรอยโลกสั่นวันประหาร
คลื่นถล่มดินโถมทับดับวิญญาณ...................จารรอยโศกลึกซึ้งจึงเกรงกลัว.
เกรียงไกร หัวบุญศาล
๑ สิงหาคม ๒๕๔๙
3 สิงหาคม 2549 17:10 น.
เกรียงไกร หัวบุญศาล
๑
ค่ำคืนหนึ่งเธอละเมอพร่ำเพ้อว่า
โอ้ดาวจ๋าเจ้าเคยเหนื่อยบ้างไหม
อุตส่าห์ส่องแสงจ้ามาแต่ไกล
เพื่อจะให้โลกงามยามหลับฝัน
อยู่เป็นเพื่อนคนเหงาเปลี่ยวเปลี่ยว
จนขับเคี่ยวคืนอ้างว้างห่างเหหัน
มิเคยเอ่ยถ้อยคำพร่ำรำพัน
แม้กี่กัปกี่กัลป์กี่กาลสมัย
ดวงตาแห่งดาวยังพราวพร่าง
ขับคืนให้กระจ่างสว่างไสว
แม้แสงเจ้าจะมิเท่าจันทร์อำไพ
แต่มิเคยคลาไคลไปลับลา
ทุกค่ำคืนเจ้าคงดื่นระดาดาด
แวมแสงสาดส่องฝันปรารถนา
ปลอบคนอ่อนระโหยและโรยรา
เพื่อตื่นตาท้าทาย ณ อโณทัย
๒
ดาวอาจตอบเหนื่อยเหมือนกันนั่นแหละหนา
แต่ด้วยหน้าที่ผูกพันนั่นไฉน
จะบิดเบือนเลือนร้างได้อย่างไร
ต้องรับผิดชอบในหน้าที่ตน.
เกรียงไกร หัวบุญศาล
๒ สิงหาคม ๒๕๔๙
25 กรกฎาคม 2549 15:41 น.
เกรียงไกร หัวบุญศาล
๑
.........ปรารถนา ณ แหล่งหล้า.........ฟ้าไหน
หมายมุ่งเสพสุขใด..........................เลิศล้น
ชีพวางร่างแหลกไป........................ปี้ป่น
มนุษย์ฤาหลุดพ้น...........................หม่นเศร้าอดสู
๒
อัฐิธาตุถ่านเถ้า................คือตัวเจ้าที่คงอยู่
ประดับไว้โลกรู้................ดีชั่วคู่ทุกผู้คน
สวรรค์นิพพานใด.............รองรับในฟ้าเบื้องบน
เมื่อกิเลสร้อนรน..............ยังซ่อนไว้ในวิญญาณ
เวียนว่ายกี่เวิ้งวัฏฏ์............ย่อมถูกกักขังสังขาร
ห้วงทุกข์ทรมาน...............คือสุสานนิรันดร
ล้างใจใสสะอาด..............ปราศจากกิเลสเหตุรุ่มร้อน
ห่มคลุมด้วยอาภร............แห่งความดีที่นิรันดร์
ปรารถนาแต่ความดี..........สุขสุนทรีย์ที่เจ้าฝัน
ดั่งแสงแห่งตะวัน.............ฉายฉานอยู่คู่รุ่งอรุณ
ครั้นมลายวายชีวี.............ความดีเอื้อคอยเกื้อหนุน
ดุจดังสั่งสมทุน...............แห่งกรรมดีชี้นำไป
ก่อกรรมชั่วหรือดี............ผลกรรมชี้ทางเวไนย
วิถีลิขิตไว้.....................เป็นเช่นนี้อยู่นิรันดร์
ปรารถนา ณ สิ่งใด..........ย่อมเป็นไปดั่งใจฝัน
สู่วิถีสวรรค์....................หรือนรกทัณฑ์นั้นเลือกเอง.
เกรียงไกร หัวบุญศาล
๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๙