29 ธันวาคม 2554 20:12 น.
อิสรชัย รัตน
ลูกชายไปรับจากต่างจังหวัด เนื่องจากต้องไปต่างประเทศพร้อมกับภรรยา ในฐานะที่เป็นย่า ฉันจึงต้องจากบ้านที่ต่างจังหวัดมาปล่อยให้ตาเฒ่าของฉันเฝ้าบ้านที่ต่างจังหวัด ซึ่งหลายต่อหลายครั้งที่ฉันทำอย่างนี้จากการติดภารกิจของลูกชายและลูกสะใภ้ ฉันรับทราบเรื่องราวของลูกถึงความจำเป็นที่ต้องเดินทางไปพร้อมกัน เพราะในโอกาสนี้สามารถให้ภรรยาติดตามไปด้วย ซึ่งเป็นโอกาสพิเศษที่หากเดินทางไปโดยเงินส่วนตัวคงไม่สามารถทำได้ในระยะเวลาที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวอย่างนี้ การลาพักร้อนจึงเป็นหนทางหนึ่งที่นำมาใช้เพื่อจะได้เดินทางไปด้วยกัน
ลูกชายเตรียมสิ่งของเครื่องใช้ อาหารส่วนหนึ่งไว้ในตู้เย็นเพื่อให้สะดวกต่อความเป็นอยู่ และพี่เลี้ยงที่ดูแลหลานขณะที่อยู่ในช่วงปิดเทอมพอดี ทั้งสองคนที่อยู่ในวัยเรียนประถมศึกษาช่วงต้น จึงเป็นภาระที่ไม่หนักมากนัก ในขณะที่ข่าวประจำวันแจ้งเรื่องของน้ำท่วมที่จังหวัดสิงห์บุรี และทางภาคเหนือตอนล่างที่กำลังประสบอยู่ แต่สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่โตอะไรมากนักในเวลานั้น ซึ่งลูกชายก็ไม่ได้หวั่นในเรื่องนั้นเช่นกันเพราะหมู่บ้านที่ลูกชายอยู่นั้นไม่เคยมีประวัติน้ำท่วมมาก่อน เพราะเป็นหมู่บ้านที่สูงและสร้างใหม่ของจังหวัดในปริมณฑลตอนเหนือของกรุงเทพฯ
ลูกชายเดินทางไปแล้ว และในช่วงคำของวันนั้นข่าวทางโทรทัศน์ได้แจ้งเรื่องประตูระบายน้ำบางโฉมศรีพังซึ่งทำให้กระแสน้ำมุ่งลงใต้มากขึ้นโดยเฉพาะพื้นที่อยุธยาที่มีการสร้างเขื่อนกั้นเอาไว้เป็นอย่างดีแต่ระดับน้ำที่ลงมามากและเพิ่มสูงขึ้นก็น่าเป็นห่วง ลูกชายโทรศัพท์มาสอบถามก็แจ้งไปตามสถานการณ์ที่เกิดและบอกให้รู้ว่าที่บ้านไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง มีเพียงพี่เลี้ยงที่ขออนุญาตเดินทางไปที่บ้านที่สิงห์บุรีเพราะเป็นห่วงพ่อแม่ว่าจะประสบปัญหาน้ำท่วม ซึ่งเมื่อเดินทางไปแล้วก็แจ้งกลับมาว่าขอลาต่อเนื่องจากที่บ้านน้ำท่วมหนักมาก กำลังเตรียมพาพ่อแม่อพยพไปอยู่ที่ที่ราชการกำหนด
ฉันอยู่กับหลานสองคนแม้ไม่ได้กลัวแต่เริ่มกังวล เห็นเพื่อนบ้านพูดคุยกันว่าแนวโน้มน้ำกำลังเดินทางมาตามเส้นทางของหมู่บ้านเหมือนกัน และได้ข่าวว่าน้ำทะลายเขื่อนเข้าท่วมอยุธยาจนจมอยู่ใต้บาดาล ฉันเสียใจที่รู้ข่าวนี้ด้วยเป็นห่วงเมืองหลวงเก่าที่มีเพียงซากจะพังไปกับกระแสน้ำเพราะอิฐเก่าหากแช่น้ำนานๆ จะเปื่อยง่าย ลูกชายไม่โทรมาสอบถามเรื่องราวอะไรซึ่งถ้าโทรมาก็คงบอกตามสภาพที่รู้จากข่าวเท่านั้น
ความหวาดกลัวเริ่มมีมากขึ้นเมื่อเพื่อนบ้านของลูกชายนำกระสอบทรายมาวางกันตามบริเวณรั้วรอบบ้านและหน้าหมู่บ้านมีกองกระสอบทรายวางไว้สูงเป็นเมตรเช่นกัน หรือน้ำกำลังจะมาที่นี้ ฉันเริ่มกังวลและกลัวเพราะถ้าน้ำท่วมฉันจะไปไหน หลานสองคนฉันจะทำอย่างไร แต่ตอนนี้ต้องหาแตรียมอาหารไว้สำรองไว้ก่อนดีกว่า
ฉันบอกหลานให้อยู่เฝ้าบ้านอย่าซุกซนเพราะย่าจะไปซื้อกับข้าวให้อยู่ดูการ์ตูนอย่าออกไปนอกบ้าน ย่าจะล็อกประตูรั้วเหล็กหน้าบ้านไว้ ใครมาอย่าเปิดรับเป็นอันขาดรอก่อนและโทรศัพท์บอกย่าด้วยถ้ามีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล ฉันบอกหลานแล้วก็ออกไปหาซื้อของด้วยความกังวลเพราะหลานทั้งสองคนไม่เคยอยู่บ้านเพียงลำพัง แต่ทำอย่างไรได้ต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง
ฉันกลับมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยได้ของมาไม่มากเพราะตามร้านไม่มีสินค้า ด้วยผู้คนแตกตื่นแห่กันมาซื้อจนของมีไม่เพียงพอ ฉันเริ่มตระหนกแล้วว่าคงจะเกิดเหตุร้ายหลังจากนี้แน่ ลูกชายไปได้เพียงสามวันแล้วและไม่ได้ติดต่อกลับมาเลย ฉันคิดว่าลูกชายคงไม่วิตกกังวลกับเหตุการณ์นี้แน่จึงไม่โทรติดต่อกับมา
ฉันมาถึงบ้านพร้อมกับความเหน็ดเหนื่อยแต่ของที่ได้มานั้นน้อยเหลือเกิน จะหาน้ำดื่มไว้ก็ไม่มี ข้าวสารก็หมดพรุ่งนี้ต้องออกไปหาใหม่เปลี่ยนสถานที่ไปไกลอีกหน่อยคงมีของขายบ้าง ฉันนั่งคิด ส่วนหลานเล่นด้วยความสนุก ความทุกข์ร้อนไม่มี ข่ววคราวไม่สนใจถามหรอกเรื่องน้ำท่วม ขอให้เล่นและมีกินเท่านั้นก็พอแล้ว
วันนั้นเพื่อนบ้านบอกข่าวร้ายว่าน้ำมาถึงด้านหลังหมู่บ้านแล้วกำลังรอดูระดับน้ำอยู่ว่าจะล้นพนังกั้นของหมู่บ้านเข้ามาหรือไม่ ฉันตกใจมากของที่จะตุนเพิ่มเติมวันนี้ต้องออกไปหา และต้องปล่อยให้หลานอยู่เฝ้าบ้านอีกวันหนึ่ง เพราะถ้าน้ำท่วมอย่างน้อยก็มีของกิน เสบียงที่ลูกชายและลูกสะใภ้เตรียมไว้กำลังร่อยหรอ ต้องจัดหาไว้ก่อน พี่เลี้ยงที่ลากลับบ้านติดต่อมาเพียงว่ากำลังเดือดร้อนเรื่องน้ำท่วมเพราะบ้านจมน้ำหมดแล้วอยากได้เงินล่วงหน้าเพื่อไว้ใช้จ่าย ซึ่งฉันทำอะไรไม่ได้ให้รอลูกชายกลับมาแล้วค่อยโทรมาใหม่เพราะอย่างน้อยเงินที่ฉันมีอยู่ถ้าหากมีเหตุฉุกเฉินจะได้นำมาใช้ ในช่วงอันตรายเช่นนี้ ฉันนึกเคืองที่ลูกชายไม่ติดต่อกลับมาบ้าง อย่างน้อยการสอบถามข่าวคราวบ้างก็น่ายินดี แล้วคนที่ไปด้วยกันไม่มีใครพูดเรื่องเหล่านี้กันบ้างหรืออย่างไร
ฉันออกไปหาเสบียงอาหารอีกเช่นวันที่ผ่านมา แต่วันนี้ตามชั้นวางต่างๆ ไม่มีสิ่งของอะไรวางไว้เลยผู้คนต่างแตกตื่นเพื่อหาอาหาร ของกินของใช้ไว้สำหรับการเผชิญหน้ากับน้ำที่กำลังประดังเข้ามารายล้อมทุกทิศทาง ฉันคิดถึงบ้านนอกขึ้นมาทันที หากเป็นที่นั้นอย่างน้อยรอบๆบ้านยังมีผัก ผลไม้ให้เก็บเกี่ยวได้บ้าง ทางบ้านโทรติดต่อมาให้ฉันเดินทางกลับโดยพาหลานไปที่ต่างจังหวัด แต่ฉันไม่กล้าทิ้งบ้านเอาไว้ด้วยกลัวขโมยจะแวะเวียนมาที่บ้านและถ้าเกิดเรื่องอย่างนั้นคงลำบากแน่นอน ฉันจึงขออยู่ที่นี้ต่อโดยจะออกไปหาเสบียงเพิ่มเติมแม้ต้องเดินทางออกไปไกลเพิ่มขึ้น
ขออภัยน้ำดื่ม ข้าวสาร ไข่ไก่ บะหมี่สำเร็จรูป หมด นั่นคือสิ่งที่พบเห็นตามห้างร้านทั่วไปที่ประกาศให้รับรู้ แม้แต่ถุงดำ ถังเก็บน้ำขนาดใหญ่ ก็ไม่มีวางจำหน่าย ประเทศไทยกำลังเกิดการตื่นตูมหรืออย่างไร
นักการเมืองประกาศเตือนไม่ต้องตื่นตูม เพราะน้ำคงไม่ท่วมหนักอย่างที่คิด รัฐบาลสามารถรับมือได้ นั้นคือสิ่งที่เป็นข่าวเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ฉันจึงอุ่นใจอยู่บ้างและคิดว่าจะไม่ออกไปหาเสบียงอีกแล้วเพราะไม่รู้ว่ามีจำหน่ายที่ไหนนั้นเอง
ลูกชายโทรศัพท์กลับมาแล้วสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นและขอให้ฉันตัดสินใจเอาเองว่าจะกลับต่างจังหวัดหรือว่าอยู่ต่อ ทรัพย์สินไม่ต้องเป็นห่วงของให้รักษาชีวิต คืนนั้นฉันตัดสินใจแล้วว่าถ้าน้ำเริ่มเข้ามาในหมู่บ้านฉันจะเดินทางกลับต่างจังหวัดพร้อมกับหลานสองคน ฉันนั่งดูข่าวที่ประกาศถึงการจำหน่ายสินค้าราคาถูก ฉันคิดว่าวันพรพรุ่งนี้ต้องรีบทำอาหารให้หลานตั้งแต่เช้าแล้วจะออกไปซื้อของถูกตามที่ได้ฟังข่าวเพื่อนำเป็นอาหารสำรองสำหรับหลาน
..........................................................................................................................
ฉันกลับมาหมู่บ้านพร้อมความตระหนก น้ำท่วมถึงระดับอกแล้ว แล้วหลานฉันเป็นอย่างไรบ้าง
ฉันเดินตะลุยน้ำมาเรื่อยๆ จนมาถึงเส้นทางที่ตรงไปยังบ้านของลูกชาย ฉันได้แต่สวดภาวนาขอให้หลานฉันปลอดภัย ฉันลุยเดินโดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าระดับน้ำที่ท่วมนั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ สูงขึ้นจนฉันต้องแหงนหน้าขึ้นไม่ให้น้ำเข้าจมูก ฉันเริ่มกระวนกระวายว่าฉันจะทำอย่างไรต่อไป ถ้าน้ำลึกมากกว่านี้ อาหารและของใช้ที่ซื้อติดมือมา หลุดลอยไปกับกระแสน้ำหมดแล้ว
แล้วหลานของฉันล่ะ ยังอยู่ที่บ้านอย่างปลอดภัยหรือไม่ ศีรษะฉันปริ่มระดับเดียวกับน้ำฉันต้องใช้แขนช่วยพยุงเพื่อให้ร่างกายเคลื่อนไหวไปเบื้องหน้า ที่มีบ้านมองเห็นลิบอยู่ท้ายหมู่บ้าน
.....................................................................................................................................
19 ธันวาคม 2554 19:56 น.
อิสรชัย รัตน
โลกร้อน คือคำพูดที่ได้ยินเราได้ยินในสังคมทุกวันและต่างกล่าวขานถึงเรื่องนี้ว่าเป็นหน้าที่ของทุกคนต้องร่วมมือกันเพื่อช่วยลดภาวะความร้อนของโลก ไม่ให้โลกร้อนเพิ่มขึ้น
หากคิดใคร่ครวญอย่างพินิจพิเคราะห์แล้วพบว่า พฤติกรรมที่เป็นการแสดงออกเพื่อช่วยลดภาวะโลกร้อนเป็นการกระทำที่เรียกว่า ลูบหน้าปะจมูก ขาดความจริงใจในการดำเนินงานทั้งหน่วยงาน องค์กรในประเทศและต่างประเทศ แม้แต่การดำเนินงานตามนโยบายก็ขาดความจริงจัง ทุกสิ่งที่พบเห็นเสมือนเป็นเพียงหน้ากากที่สวมใส่แสดงต่อกันว่ากำลังทำหน้าที่ลดภาวะโลกร้อน
ภัยธรรมชาติที่ถาโถมทำลายทุกมุมโลกในวันนี้ เป็นสิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่าโลกกำลังร้องไห้ เพราะประสบกับปัญหาโลกร้อนอย่างรุนแรงต่อเนื่อง นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ คงหยุดยั้งได้ยากเพราะทุกประเทศต่างแสวงหาความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจกันทั้งสิ้น
การเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจที่บอกว่าประเทศนั้นมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ พัฒนาประเทศได้ดีกว่าประเทศอื่น แต่ในความเป็นจริงแสดงให้เห็นว่าประเทศนั้นกำลังเพิ่มภาวะโลกร้อนมากขึ้น เพราะทุกสิ่งที่เป็นความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจล้วนทำลายโลก ทำลายสภาพแวดล้อม เพิ่มมลพิษ ทำลายที่ทำกินและสภาพความเป็นอยู่ของตนเองทั้งสิ้น
การเรียกร้องความร่วมมือเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมของโลกให้ถูกทำลายลดน้อยลงนั้น ดูเหมือนเป็นการเรียกร้องที่อยู่ในหน้ากระดาษ ในหนังสือพิมพ์เพื่อการโฆษณาหรือในเอกสารที่บอกแค่ว่าได้ใส่ใจในเรื่องดังกล่าวยากต่อการปฏิบัติเพราะประเทศต่างๆ ต้องการเพียงเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจของโลกเพื่อความเจริญสู่ประเทศของตนเท่านั้น
น่าเสียดายที่ทุกประเทศต่างมุ่งทำลายปัจจุบันและอนาคตของตนเองทั้งสิ้น สิ่งที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์บนโลก กำลังคืบคลานเข้ามาและบอกให้รู้ว่าสิ่งที่มนุษย์ทุกคนร่วมกันทำลายกำลังส่งผลแล้ว แต่มีใครหรือประเทศใดคิดจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างจริงจังและทุ่มเท แปลกไหมล่ะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นหายนะของตัวเองและของโลกแต่ทุกคนกลับนิ่งเฉยดูดาย การกำหนดนโยบายไว้นั้นเพียงให้ดูโก้หรูว่าได้มีส่วนร่วมรักษ์โลกแล้ว
โรงเรียนส่งเสริมคุณธรรมชั้นนำและโรงเรียนวิถีพุทธในประเทศของเรา ได้ตระหนักและมองเห็นภัยที่ยิ่งใหญ่ดังกล่าวแต่สิ่งที่โรงเรียนทำได้คือสอนให้ผู้เรียนตระหนักถึงหายนะที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ต่อตัวผู้เรียนและเพื่อนร่วมโลก การคิดกิจกรรมโครงการเพื่อสร้างจิตสำนึกในเรื่องดังกล่าวโรงเรียนได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและสะท้อนข้อมูลให้ทุกฝ่ายรับทราบเป็นระยะๆ เสียงสะท้อนจากพลังบริสุทธิ์เหล่านี้ไม่มีพลังและอำนาจต่อรองมากพอที่จะทำให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองและในโลก ได้ร่วมมืออย่างจริงจัง ในการรักษาสภาพแวดล้อมโลกเพราะต่างคนยังมุ่งหน้ากอบโกยผลประโยชน์เพื่อประเทศของตนและพวกพ้องไม่หยุดยั้ง ไม่รู้จะกอบโกยไปทำไมเพราะมหันตภัยที่เกิดขึ้นในวันข้างหน้าทรัพย์สมบัติที่โกงกินไป คงไม่ช่วยให้อยู่รอดได้เหมือนกับคนจนทั่วโลก
แต่แปลกไหมล่ะสิ่งเหล่านี้ทุกคนกลับมองข้าม เพราะทุกคนมองเพียงผลประโยชน์ส่วนตน ขอให้มีเงิน มีทรัพย์สมบัติ โดยไม่สนใจว่า มีไว้ทำไมในเมื่อสิ่งที่มีมาจากการทำลายโลกจนนำไปสู่หนทางแห่งวิบัติภัย
การเป็นครูและผู้นำทางการศึกษาในโรงเรียนที่มุ่งสร้างผู้เรียนให้รักโลก หวงแหนโลก ทำอย่างไรให้โลกอยู่รอด เป็นหน้าที่ของทุกคนต้องร่วมมือกัน โครงการ กิจกรรมที่มุ่งสอนให้ทุกคนได้รู้เพื่อรักษ์โลกจึงเกิดขึ้นมากมายในโรงเรียนทั่วประเทศและทั่วโลก เช่น การปลูกป่า ปลูกป่าชายเลน การรักษาป่าต้นน้ำลำธาร การแยกขยะ การนำวัสดุเหลือใช้นำกลับมาใช้ใหม่ การประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ การลดขยะพลาสติก การสร้างบรรยากาศสีเขียวให้กับแผ่นดิน เป็นต้น
ผู้บริหารและครูรู้ดีว่านโยบายทางการศึกษาที่มุ่งพัฒนาให้ตระหนักและรู้ในเรื่องดังกล่าวเป็นสิ่งดี แต่ในขณะเดียวกันส่วนอื่นของสังคมก็สอนให้ผู้เรียนเห็นเช่นกันว่า ไม่ได้ให้ความร่วมมือในการรักษ์โลกอย่างจริงใจ หากแต่สร้างมุ่งสร้างความร่ำรวยให้ตนเองจากการทำลายสภาพแวดล้อม ทำลายทรัพยากรของโลก และเมื่อผู้เรียนออกจากสถานศึกษาไปอยู่ในสังคม สิ่งที่ได้รับจากสถานศึกษาจึงเป็นเพียง บทเรียนหนึ่งในหลักสูตร หากแต่ในชีวิตจริงไม่มีใครใส่ใจหรือนำไปปฏิบัติ
คุณค่าของคน อยู่ที่ผลงาน ถ้าผลงานนั้นเป็นผลงานที่สะท้อนให้เห็นความจริงใจในการแก้ปัญหา ความร่วมมือที่จะรักษ์โลก ลดสภาวะโลกร้อน ร่วมมือและช่วยเหลือกัน ทุ่มเทแรงกาย แรงใจใช้กฎหมายฉบับเดียวกันทั้งโลก ใครทำลายสิ่งแวดล้อมคืออาญากรทำลายโลกมีบทลงโทษที่เฉียบขาด
แต่สิ่งที่เห็นเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ที่ต่างไปจากบทเรียนที่ได้ร่ำเรียนมายังคงเป็นสิ่งที่พบเห็นอยู่เช่นเดิม ครูยังคงทำหน้าที่สอนผู้เรียนให้รักษ์โลก รักสิ่งแวดล้อมต่อไป ส่วนอื่นในสังคมก็สอนให้เห็นความแตกต่างของบทเรียนกับชีวิตจริง คนร่ำรวยจากการโกงกิน ทำลายป่า ทำลายแหล่งน้ำ ปล่อยสารพิษ ควันพิษ ใช้แรงงานเด็ก กำหนดนโยบายเพื่อเอื้อต่อตนเองและพวกพ้อง กำจัดสิทธิมิให้คนอื่นที่ไม่ใช่พวกตนไม่มีโอกาสทางสังคมบทเรียนในสังคมเหล่านี้เป็นบทเรียนที่พบเห็นได้ทุกวัน
บทเรียนในหลักสูตร ตำราเรียนและกิจกรรมการเรียนการสอนในโรงเรียนจึงกลายเป็นบทเรียนเพื่อการจบหลักสูตรเพียงเท่านั้น เพราะเมื่อจบหลักสูตรจากโรงเรียน ทุกคนมุ่งสู่การทำลายโลก ทำลายสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกัน สิ่งที่กล่าวนี้เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าการรักษ์โลกและสิ่งแวดล้อมในทางปฏิบัติไม่สามารถสร้างได้ในโรงเรียนเพียงอย่างเดียว แต่ทุกองค์กร หน่วยงาน ทุกประเทศต้องร่วมมือกัน มีความจริงใจในการแก้ปัญหาร่วมกัน ไม่ใช่เมื่อประสบภัยพิบัติแล้วมาตีโพยตีภายว่า โลกร้อนทำไมไม่ร่วมมือกันแก้ปัญหา
มอง...แล้วคิด...คิดแล้วมองวิเคราะห์ จะเห็นว่าทุกวันนี้เป็นอย่างนี้จริง หรือว่าเรากำลังหลอกตัวเอง..หลอกว่าเราได้ดำเนินการ รักษ์โลก หยุดโลกร้อนได้แล้ว