31 ตุลาคม 2554 20:18 น.
อิสรชัย รัตน
ใต้ก้อนหิน
อิสรชัย รัตน
หล่อนวางหนังสือพิมพ์บนโต๊ะแล้วนั่งเหม่อลอยเหมือนเช่นทุกครั้งที่หยิบหนังสือพิมพ์ฉบับนี้มาอ่าน ซึ่งเป็นฉบับที่ทุกคนรู้ว่าหล่อนรักและหวงมากแต่ทุกครั้งที่หยิบมาอ่าน หล่อนจะมีอาการเช่นนี้ทุกครั้งไปที่นั่งมองหนังสือพิมพ์ฉบับนั้น นั่นคือการนั้งซึมเศร้าพร้อมกับหยาดน้ำตาที่รินไหลอาบแก้ม สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ระทมทุกข์ทุกครั้งไป ในความเป็นจริงหล่อนคงไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นหรอก หล่อนคงนั่งดูภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นมากกว่า ภาพที่ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตาตื่นคงเป็นภาพที่อยู่ในใจของหล่อนตลอดไป แล้วทำไมหล่อนต้องมาดูภาพครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่อย่างนี้และทุกครั้งก็เกิดความเศร้าเสียใจอยู่อย่างนี้ หากแต่เป็นเพราะวันนั้นคือวันที่ทำให้หล่อนต้องมานั่งเศร้าอยู่กับความทุกข์ที่ต้องเผชิญอยู่ในทุกวันนี้นั้นเอง
๒๙ มีนาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๐.๐๐ น. หล่อนนั่งอยู่บนบ้านพร้อมหลานอีกสองคนที่อยู่ในวัยที่น่ารัก อายุห่างกันคนละ ๓ ปี หลานชายคนโตอายุ ๖ ขวบส่วนหลานชายคนเล็กอายุคนเล็กอายุ ๓ ขวบกว่า สามี ของหล่อนนั่งสานตะกร้าไม้ไฝ่อยู่ใต้ถุนบ้านภายนอกบ้านฝนยังคงตกพรำๆ มีหนักบ้างเป็นบางครั้งบางคราวฝนตกติดต่อกันวันที่ ๓ แล้ว เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายังคงฉ่ำด้วยเมฆฝน
พยากรณ์อากาศของโทรทัศน์ช่วงเมื่อคืนที่ผ่านมาได้ประกาศให้พี่น้องภาคใต้ระวังน้ำท่วมเฉียบพลันและน้ำป่าไหลหลากในหลายพื้นที่เกือบตลอดทั้งภาค เรือประมงห้ามออกจากฝั่งเนื่องจากมีคลื่นลมแรง คลื่นสูงสองถึงสามเมตรและให้ประชาชนติดตามข่าวพยากรณ์อากาศอย่างใกล้ชิด หล่อนรู้ดีว่าเมื่อฝนตกอย่างนี้สวนยางพาราที่อยู่เชิงเขาไกลออกไปห้ากิโลเมตรไม่สามารถกรีดยางได้อีกต่อไปรายได้ประจำวันที่มาจากสวนยางพาราจำนวน ๑๐ ไร่ ก็ต้องรอต่อไปจนกว่าสภาพอากาศสู่ภาวะปกติ ในช่วงนี้ราคายางพาราตกต่ำลงจากต้นปีมากที่เดียวแต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อเป็นอาชีพเดียวของครอบครัวที่ทำอยู่ในตอนนี้
ลูกชายกับสูกสะใภ้เข้าเมืองพร้อมกับนำแผ่นยางพาราไปขายที่ในเมือง ซึ่งเป็นยางที่กรีดไว้ตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมา เมื่อได้เงินมาก็จำนำไปซื้อสิ่งของเครื่องใช้ที่ร่อยหรอไป โดยเฉพาะเครื่องใช้ในครัวที่เริ่มหมดไปอย่างน้อยได้มีอาหารตุนไว้ในช่วงหน้าฝนก็ไม่เสียหายอะไร แม้ว่าในปี่ที่ผ่านมาแม้ฝนตกหนักน้ำที่ท่วมไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรมาก จึงให้ลูกชายใช้เวลาช่วงนี้ไปซื้อสิ่งของเครื่องใช้และดูนมให้หลานคนเล็กด้วย ก่อนนำรถปิดอัพออกไปได้ตักเตือนให้ระวังในการขับรถเพราะฝนยังไม่ขาดเม็ด ถนนลื่น ขอให้รีบไปรีบกลับถ้าหากว่าน้ำท่วมก็ให้รีบกลับไปขายวันอื่นก็ได้เครื่องครัว เครื่องใช้ที่มีอยู่คงอยู่ได้อีกหลายวันไม่เดือดร้อนมากนักนั้นคือสิ่งที่แม่ได้กำชับในวันนั้น
อย่างไรก็ตามหล่อนยังคงอุ่นใจอยู่บ้างที่หมู่บ้านนี้ ในช่วงหน้าน้ำหลากก็ไม่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่มากนักด้วยระดับน้ำที่ท่วมไม่ได้สูงจนทำให้การสัญจรไปมาไม่ได้แต่ประการใด แต่หล่อนก็อดห่วงกังวลกับฝนฟ้าที่ตกมาตลอดทั้งวัน จึงเป็นเรื่องที่ไว้วางใจไม่ได้ หล่อนนั่งมองลูกชายขนแผ่นยางใส่ท้ายรถจนเสร็จสิ้น หล่อนครุ่นคิดในใจว่าถ้าแผ่นยางเหล่านี้ขายไปเมื่อเดือนที่แล้ว คงได้เงินเพิ่มมากทีเดียวเพราะช่วงนั้นราคายางสูงมาก แต่วันนี้จะรอให้ราคาขยับสูงขึ้นไปอีกคงไม่ได้เพราะราคายางตกลงมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อเกิดสินามิถล่มประเทศญี่ปุ่น หล่อนดูข่าวนี้แล้วสงสารคนญี่ปุ่นเหลือเกินที่ประสบกับเคราะห์กรรมอย่างน่าเวทนายิ่งนัก เพราะผู้คนที่ยังค้นหาศพไม่เจอมีอีกจำนวนมาก แต่วันนี้ต้องมาประสบกับปัญหาใหม่นั้นคือภัยจากการรั่วไหลของสารกัมมันตภาพรังสีจากเตาปฏิกรณ์ที่อยู่ในพื้นที่และยังหาวิธีแก้ไขไม่ได้และในเวลาเดียวกันความต้องการยางพาราที่ญี่ปุ่นสั่งซื้อจากประเทศของเราก็หยุดชะงักตามสภาพปัญหาที่ปะทุขึ้น
หล่อนดีใจเหลือเกินที่ประเทศไทยยังไม่มีเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ มิฉะนั้นหากเกิดเหตุขึ้นความไร้วินัยของคนไทยคงสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย คงไม่เห็นภาพการเข้าแถวรอคอยเพื่อซึ้อสินค้าในร้านค้าย่อยที่ผู้คนรอคอยด้วยความใจเย็นเหมือนเช่นชาวญี่ปุ่น เพราะในอดีตที่ผ่านมาภาพที่เราพบเห็นคือการปล้นสะดมทุบร้านค้าเพื่อให้ได้สิ่งของที่ต้องการหรือทำลายให้ย่อยยับไปโดยขาดจิตสำนึกที่ดีว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นคือการประจานพฤติกรรมของตนว่าเป็นบุคคลเช่นไร การแสดงความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ในทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นสิ่งที่น่าละอายยิ่งเป็นช่วงวิกฤติเช่นนี้ ใครกระทำยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้ต่างชาติหยามหมิ่นเกียรติของคนในชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราได้สร้างภาพลบให้เห็นมาหลายต่อหลายครั้งที่เกิดวิกฤติในประเทศไทย
หล่อนประทับใจกับภาพของชาวญี่ปุ่นที่เข้าแถวรอรับบริการนั้นเหลือเกินและนำมาสอนให้หลายชายวัยเด็กทั้งสองคนได้รู้ว่านั้นคือสิ่งที่ดีที่หลานต้องทำเมื่อเติบโตขึ้นมา เพราะสิ่งเหล่านี้แสดงถึงคุณภาพของคนที่นำสิ่งที่ได้รับการหล่อหลอมมาใช้ในชีวิตประจำวัน หล่อนอยากเห็นประเทศไทยมีพลเมืองแสดงออกอย่างนี้บ้าง นั้นคือความชื่นชมของแม่ในครั้งนั้น
********************
ลูกชายและลูกสะใภ้ออกไปเพียงไม่นานแม่ตกใจมากกับเสียงดังบนภูเขา เป็นเสียงดังที่น่ากลัวมาก เสียงลั่นเปรี้ยงปร้างและครืนครืน หล่อนหัวใจจะหยุดเต้นให้ได้ด้วยไม่เคยได้ยินเสียงอะไรที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อนตะโกนถามสามีที่นั่งอยู่ใต้ถุนว่าเป็นเสียงอะไร
ไม่นานนักสามีหล่อนระล่ำระลักด้วยความตระหนกและบอกนางว่าคงเป็นเสียงน้ำป่า น้ำป่าคงจะไหล่บ่ามาจากภูเขาข้างบน หรืออาจเป็นฝายน้ำล้นที่สร้างไว้สำหรับทำน้ำประปาพัง เพราะรับน้ำไม่ไหวแล้วพังลงมา พ่อบอกว่าถ้าฝายบนภูเขาพังมันน่ากลัวอาจเกิดอันตรายต่อบ้านของเราได้ถ้าน้ำลงมาทางนี้ เขารีบเก็บสิ่งของใต้ถุนขึ้นมาไว้บนบ้านเพื่อความปลอดภัย หล่อนรีบลงไปช่วยเก็บเพื่อช่วยเบาแรงสามี โดยให้หลายชายทั้งสองคนนั่งเล่นอยู่บนบ้าน แต่เมื่อหล่อนลงไปถึงใต้ถุนบ้าน หล่อนไม่ได้ช่วยอะไรเลยเพราะกระแสน้ำที่กระหน่ำลงมานั้นคือต้นเหตุที่แยกหล่อน หลานชาย สามี หล่อนตกใจอย่างมากตะเกียกตะกายหาที่ยึดเหนี่ยวและดึงตัวเองให้รอด หล่อนไม่รู้ว่าในวินาทีและในเวลาต่อมาหล่อนรอดชีวิตมาได้อย่างไร หรือเป็นเพราะเหรียญศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อที่คล้องคอช่วยชีวิตเอาไว้ รู้แต่ว่าเมื่อฟื้นคืนสติได้มาอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว แต่สามี ลูกสะใภ้และหลานชายหล่อนรู้เพียงว่าไปกับกระแสน้ำในวันนั้น บ้านทั้งหลังที่ไม่เคยมีน้ำท่วมตั้งแต่อยู่มาก็หายไปกับสายน้ำเช่นเดียวกัน
ทำไมหล่อนไม่ตายไปพร้อมกับคนอื่นในหมู่บ้านในวันนั้น ทำไมต้องให้หล่อนมารับรู้กับเรื่องราวที่เจ็บปวดอย่างนี้ สิ่งที่สร้างความหายนะกับครอบครัวของหล่อน คนในหมู่บ้านนี้ทำกรรมอะไรไว้ถึงทำให้ทุกคนต้องมารับผลกรรมอย่างนี้ หล่อนรู้คำตอบแล้วว่าทุกคนในหมู่บ้านล้วนตกเป็นเหยื่อของคนมีเงิน ที่วางแผนเพื่อการครอบครองที่ดินเชิงเขา และบนภูเขา เพราะเขาใช้ให้ผู้นำของหมู่บ้านเป็นแกนนำอพยพคนจากที่อื่นเข้ามาแผ้วถางที่ทำกินอย่างขนานใหญ่ จนขยายพื้นที่ขึ้นไปบนภูเขาเรื่อย นั้นคือต้นเหตุที่ทำให้เกิดวันนี้
คนที่เป็นต้นเหตุแห่งความหายนะยังอยู่ในสังคมโดยที่ตนเองไม่มีความผิดในการยุยงให้ชาวบ้านบุกรุกในครั้งนั้น หากแต่ที่บุกรุกที่อยู่บนภูเขาชาวบ้านไม่มีใครได้ครอบครองด้วยทางราชการได้แจ้งให้ออกจากพื้นที่ก่อนที่จะติดคุก ชาวบ้านจึงเหลือพื้นที่ทำกินเล็กน้อยอยู่ที่ราบเชิงเขาที่ราชการออกเอกสาร ในการครอบครองให้ในเวลาต่อมา แต่บนภูเขาการปลูกยางและปาล์มน้ำมันขยายพื้นที่ออกไปเรื่อยๆ คนในหมู่บ้านได้รับการว่าจ้างให้เปิดป่าเพิ่มขึ้นโดยอ้างว่าราชการจะทำฝายเก็บน้ำสำหรับประชาชนให้มีน้ำประปาไว้ใช้ ส่วนพื้นที่รอบๆ เป็นการสร้างอาชีพสำรองสำหรับคนไม่มีที่ทำกินให้ขึ้นมาดูแลสวนยางพาราและทำปาล์มให้กับท่านผู้นำ ท่านที่เป็นผู้มีหน้ามีตาในสภา ท่านที่อ้างความชอบธรรมสำหรับการทำงานเพื่อประชาชน
หล่อนรู้ว่านั้นคือต้นเหตุแห่งความล่มสลายของครอบครัว หากมองว่านี้คือกรรมคงเป็นกรรมที่หล่อนทำไว้อย่างมหันตในอดีตภพ จึงทำให้กรรมแห่งอดีตมาเอาคืนกับทุกคนในหมู่บ้าน แล้วทำไมจึงให้หล่อนต้องอยู่รับรู้กรรมอีกต่อไป ทำไมไม่ให้หล่อนไปชดใช้กรรมในภพใหม่พร้อมกับเพื่อนบ้านหลานและสามี หล่อนยังจำวันที่มีการติดต่อให้ขึ้นไปแผ้วถางที่ทำกินบนภูเขาและเชิงเขาเพื่อปลูกปาล์มน้ำมันและยางพารา ด้วยที่ดินที่หายากขึ้นทุกวันจึงเป็นแรงจูงใจให้คนในหมู่บ้านขึ้นไปบุกรุก เมื่อทุกคนทำการปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมันจนกรีดยางได้สามปี เจ้าหน้าที่ได้เข้ามาแจ้งเรื่องการบุกรุกที่ป่าสงวน ขอให้ออกจากพื้นที่ไปจะไม่ติดคุก โดย ส.ส.ได้เข้ามาชี้แจงให้รู้ว่าเขาจะช่วยเหลือให้มีที่ดินที่ครอบครองอยู่ที่ราบเชิงเขาเป็นที่ทำกินของแต่ละคน ส่วนที่บนภูเขานั้นเขาช่วยไม่ได้ เมื่อทุกคนได้ฟังสารพัดเหตุผลก็คล้อยตามเพราะอย่างน้อยที่ทำกินที่ราบด้านล่างนั้นคงเพียงพอสำหรับครอบครัวเล็กๆ ได้มีอยู่มีกินได้ต่อไป ส่วนบนภูเขาก็คืนให้แผ่นดินนำไปใช้ประโยชน์สำหรับทุกคนโดยการสร้างฝายน้ำล้นสำหรับนำน้ำมาทำประปา
ทุกคนปฏิบัติตามโดยยอมรับในการบุกรุกและไม่อยากเป็นคดีความซึ่งอาจทำให้ที่ครอบครองทั้งหมดไม่เหลือเลยก็ได้นั้นคือเหตุการณ์ในอดีตที่เป็นต้นเหตุของมหันตภัยที่เกิดขึ้น เพราะเมื่อประชาชนลงมาแล้วมีการสร้างฝายบนภูเขา ชาวบ้านหลายคนไปเป็นแรงงานรับค่าจ้างรายวันในช่วงนั้นด้วย จนฝายเสร็จสิ้นทุกคนลงจากภูเขา ปล่อยให้บนภูเขาเป็นอดีตที่ทุกคนไม่มีสิทธิครอบครอง แต่หลังจากนั้นสิ่งที่ทุกคนรับรู้ว่าบนภูเขายังเกิดสวนยางพาราที่ขยายพื้นที่ออกไปเรื่อยๆ พร้อมสวนปาล์ม การขยายพื้นที่เหล่านี้มีแรงงานชาวพม่าที่ได้รับการว่าจ้างให้ขึ้นไปแผ้วถางแล้วสร้างกระท่อมอยู่ในสวนยาง ทุกคนไม่สามารถปริปากพูดอะไรได้ด้วยรู้ดีว่าเจ้าของที่ดินที่ขยายออกไปบนภูเขานั้นคือใคร แต่ที่น่าเจ็บใจคือที่ดินที่ชาวบ้านปลูกยางพาราไว้ก่อนหน้านี้ก็กลายเป็นที่ของเขาเช่นกัน
***************************
แม่ครับ แม่ต้องลืมเหตุการณ์วันนั้น ให้ได้เรามาอยู่ที่ใหม่ที่เป็นที่ราชพัสดุ อย่างน้อยคงไม่เกิดดินถล่มมาใส่
แม่จะลืมได้อย่างไรลูกเอ๋ย ดินกลบหน้าแม่ตายไปแล้วแม่ก็ไม่รู้ว่าแม่จะลืมได้หรือไม่ เมื่อตอบลูกชายแล้วหล่อนก็นั้งเหม่อมองไปที่หนังสือพิมพ์นั้นอีก
แม่ไม่มีเพื่อนบ้านเก่าเลยหรือลูก เขาไปอยู่ที่ไหน ทำไมไม่มาอยู่ใกล้กันที่นี้ แม่จะได้มีเพื่อนบ้าง
ลูกชายพูดอะไรต่อไปไม่ได้ เพราะแม่รู้คำตอบดีแล้วนี้ว่า ทั้งหมู่บ้านตรงนั้นมีแม่และเขาที่รอดชีวิต รอดชีวิตมาเพื่อเป็นพยานให้รู้ว่ากรรมมันเกิดขึ้นทันตาจริงๆ เพราะวันที่น้ำถล่ม ส.ส.ได้เดินทางมาเยี่ยมประชาชนเพื่อเตรียมการเลือกตั้งในรอบใหม่ แต่การเลือกตั้งที่เขาจะได้รับต้องไปเลือกกันในยมโลกนั้นแหละด้วยผืนป่าที่เขาทำลายได้นำชีวิตของเขาไปด้วยจนวันนี้ ยังค้นหาร่างไม่เจอเลยไม่อยู่ว่าจมอยู่ใต้ก้อนหินใหญ่ก้อนไหน
******************************
31 ตุลาคม 2554 19:18 น.
อิสรชัย รัตน
แม่เฒ่านั่งอยู่ใต้ถุนบ้านมาตลอดสิบปีโดยไม่ได้เดินขึ้นไปชั้นบนของบ้าน เพราะวัยชราที่อายุใกล้เก้าสิบปีอีกไม่นาน ทำให้ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเดินขึ้นไปบนขึ้นบ้านได้ การนั่ง นอนอยู่ชั้นล่างจึงเป็นภาพที่เห็นเจนตาและรับรู้ทั่วกันของคนในหมู่บ้านและชุมชน มีห้องที่กั้นเป็นห้องจากบริเวณใต้ถุนเดิมที่เคยเป็นลานโล่ง ทางพัดผ่านของลมและเป็นที่นั่งเล่นของลูกหลาน ลูกชายได้ก่อผนังอิฐบล็อกกั้นเพื่อให้เป็นที่นอนของแม่เฒ่าในเวลาต่อมา เมื่อแม่เฒ่าเดินขึ้นบนบ้านไม่ไหว ยามค่ำคืนแม่เฒ่าจึงนอนอยู่ชั้นล่างเพียงเดียวดาย เพราะลูกชายและหลานสาวต่างขึ้นไปนอนอยู่ชั้นบน ยามมืดค่ำหลังกินข้าวเสร็จสรรพ ทุกคนต่างพากันขึ้นไปดูโทรทัศน์อยู่บนบ้าน ยามนี้ในความคิดของแม่เฒ่าน่าจะมีลูกหลานมานั่งพูดคุย ถามสารทุกข์ด้วยกัน แต่สิ่งที่แม่เฒ่าคิดนานๆ ถึงจะเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง การอยู่อย่างเดียวดายจึงเป็นเรื่องปกติของทุกวัน แม่เฒ่าคิดว่าลูกชายคงเหนื่อยจากการทำงาน เมื่อกลับมาบ้านถึงอยากพักผ่อนการพูดคุยจึงมีเพียงถามคำสองคำเท่านั้น แม่เฒ่ารู้ว่าสีหน้าของลูกชายเมื่อกลับมาถึงบ้านเหมือนแบกโลกไว้ทั้งโลกเพียงพอเดียว
คำถามทุกวันที่ลูกชายถามถึงเมื่อเจอหน้าแม่เฒ่า เป็นคำถามที่แม่เฒ่ารู้ไว้ล่วงหน้าทุกวัน แม่กินข้าวแล้วไหม้ คำตอบของแม่เฒ่าก็ไม่ต่างไปจากทุกวันเช่นกัน เออ กูกินแล้ว
แม่เฒ่ามองหน้าลูกเพื่ออยากรู้ว่าลูกชายมีคำถาม มีเรื่องที่จะคุยอีกหรือไม่ แต่ลูกชายเงียบแล้วเดินขึ้นบ้านไป แม่เฒ่าถอนหายใจเหมือนมีก้อนอะไรมากั้นขวางลมหายใจทำให้เกิดการติดขัดแต่เป็นเพียงชั่วครู่แล้วหายไป แม่เฒ่าสงสารลูกชายหลังจากมี่เมียหนีหายไปจากบ้านลูกชายเงียบลงไปมาก แม้จะเคยสอบถามถึงเรื่องของลูกสะใภ้ที่หายหน้าไป แม่เฒ่าก็ถามถึงเพียงครั้งเดียวแล้วก็ไม่เคยถามอีกเลย เพราะแม่เฒ่ารู้ดีว่านั้นคือความทุกข์ของลูกชายของนาง
แต่สำหรับเรื่องหลานสาวในใจของแม่เฒ่าอยากจะบอกลูกชายให้รับรู้และคอยสังเกตพฤติกรรมของลูกสาวที่แต่งตัวสวยทุกวัน มีชายหนุ่มมาส่งหลังจากกลับจากโรงเรียนบ่อยครั้งขึ้นอย่างผิดสังเกต แม่เฒ่านึกไปถึงวัยเด็กของแม่เฒ่าที่ผู้ใหญ่ห้ามหวีผมในตอนกลางคืน เพราะถ้าใครหวีผมตอนกลางคืน เป็นการสาปแช่ง ปู่ ย่า ตา ยายที่ล่วงลับไปแล้ว แม่เฒ่าไม่รู้ว่าการหวีผมกลางคืนนั้นเป็นการสาปแช่งอย่างไร แต่ก็ไม่กล้าทำเพราะไม่อยากทำให้ปู่ ย่า ตา ยาย ที่ล่วงลับไปแล้วต้องเดือดร้อน
แม่เฒ่าเคยเตือนหลานในเรื่องนี้ เมื่อเห็นหลานนั่งหวีผมที่ขั้นบันได แต่สิ่งที่หลานสาวตอบกลับนั้นแม่เฒ่ายังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าครูสอนอย่างนั้นจริงหรือ
แม่เฒ่า อย่ามัวไปเชื่อเรื่องเหลวไหล เรื่องไม่เป็นเรื่อง ครูสอนหนูที่โรงเรียนว่าเรื่องหวีผมกลางคืนในสมัยก่อน หรือสมัยของแม่เฒ่าเป็นการหลอกเด็กของคนโบราณ ที่หาวิธีการไม่ให้เด็กไปเที่ยวตอนกลางคืน เพราะอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องหวีผมก็ได้ หลานสาวตอบแม่เฒ่า ก่อนเดินหันหลังขึ้นไปบนบ้าน แม่เฒ่าไม่รู้ว่าหลานสาวหวีผมต่อหรือไม่ แต่แม่เฒ่าคิดไปถึงคำสอนของแม่ที่สอนแม่เฒ่าหลายต่อหลายเรื่อง แม่เฒ่าเห็นว่าแต่ละเรื่องเป็นเรื่องที่ดีที่สอนให้ลูกหลานได้คิด ไม่เหมือนเด็กปัจจุบันที่คิดไม่ลึกซึ้งเหมือนเมื่อก่อน
แม่เฒ่านึกไปถึงคำสอนของแม่ที่ว่าถ้าใครผลัดผ้ากองไว้ไม่เก็บพับให้เรียบร้อยเมื่อมีจิ้งจกตกลงบนผ้า เจ้าของที่ผลัดผ้ากองไว้เป็นบ้าได้ แม่เฒ่ารู้ว่าถ้านำมาบอกหลานสาวที่ถอดเสื้อผ้าทิ้ง ไม่เก็บเข้าที่ หลานสาวคงเถียงว่าแม่เฒ่าเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องมาพูด
แต่แม่เฒ่ารู้ดีว่าหลายเรื่องที่หลานสาวต้องรู้ไว้บ้างเป็นต้นว่า ถ้าใครกินข้าวในหม้อหุงข้าวโดยไม่ตักใส่จาน เกิดชาติหน้าปากจะใหญ่เท่าปากหม้อ ในเรื่องนี้เคยเตือนหลานสาวและถูกหลานสาวหาว่าแม่เฒ่าเอาแต่เรื่องโบราณมาพูดจนน่าเบื่อ
ระยะหลังแม่เฒ่าไม่ตักเตือนหลานเพราะทุกครั้งหลานสาวจะเถียงและต่อว่าทุกครั้งไป แม่เฒ่าคิดถึงเพลงกล่อมเด็ก ที่แม่เฒ่าเคยร้องกล่อมให้หลานสาวฟังก่อนนอนตอนเป็นเด็กเล็ก แม่เฒ่าไม่รู้ว่าหลานสาวจะจำได้หรือไม่ แต่แม่เฒ่าไม่เคยลืมและจำได้เสมอ
ลูกสาวเหอ ลูกสาวเรือนออก
หัวนมพึ่งงอก บอกพ่อว่าเป็นฝี
พ่อแม่ไปหาหมอ มารักษา
หมอบอกอายนะ เต็มที
บอกพ่อว่าเป็นฝี ลูกสาวชาวเรือนออก
แม่เฒ่ารู้ดีว่าวันนี้หลานสาวกำลังโตเป็นสาว วัยกำลังเปลี่ยนแต่การเปลี่ยนแปลงของหลานสาวแม่เฒ่ากลัวเหลือเกิน
วันนั้นหลานสาวกลับจากโรงเรียนครึ่งวัน มีเพื่อนชายมาที่บ้านเมื่อมาถึงทั้งหลานสาวและชายหนุ่มยกมือไหว้แม่เฒ่าแล้วขึ้นเรือนหายไป แม่เฒ่าจะตามขึ้นไปดูแต่ร่างกายที่เป็นอัมพฤกษ์เดินไม่ค่อยไหว จึงไม่รู้ว่าหลานสาวกับเพื่อนชายคุยเรื่องอะไรอยู่บนบ้าน แม่เฒ่าเรียกถามแต่กลับถูกหลานสาวตวาด แม่เฒ่าจึงเงียบเสียงไม่กล้าร้องถาม เก็บความรู้สึกทุกข์ระทมหม่นหมองในพฤติกรรมที่แม่เฒ่าได้รับคิดอยู่ในใจว่าจะต้องบอกให้ลูกชายได้รับรู้ในพฤติกรรมที่เกิดขึ้นของหลานสาว แม่เฒ่ากลัวว่าการกระทำของหลานสาวจะทำให้ลูกชายและแม่เฒ่าอับอายขายหน้า เพราะหลังจากนั้นหลานสาวนำเพื่อนชายมาบ้านบ่อยครั้ง แม่เฒ่าต้องบอกให้ลูกชายได้ตักเตือนก่อนที่จะสายไป
แม่เฒ่ารอลูกชายกลับบ้านเพื่อย่ำเตือนในเรื่องที่คิดเอาไว้ แต่จนค่ำมืดลูกชายจึงเดินโซซัดโซเซกลับมาด้วยฤทธ็ของเหล้าแม่เฒ่ารู้ดีว่าวันนี้ไม่เหมาะสำหรับแจ้งเรื่องที่อยากบอกให้ลูกชายรู้ แม่เฒ่าต้องรอวันพรุ่งนี้ จะดีกว่า ลูกชายตื่นไปทำงานแม่เฒ่าไม่กล้าพูดกลัวลูกชายไม่สบายใจไปทำงาน แม่เฒ่าคิดว่ารอไว้ตอนเย็นวันนี้คงไม่สายไปที่จะบอกให้ลูกชายฟัง
วันนี้หลานสาวมากลับมากับเพื่อนชายอีกแล้วและแสดงพฤติกรรมเหมือนเช่นวันที่ผ่านมา ที่พาชายหนุ่มเดินขึ้นบ้านเงียบหายไปแม่เฒ่าครุ่นคิด แล้วสรุปกับตนเองว่าวันนี้จะต้องหาหนทางขึ้นบันไดไปดูว่าหลานสาวพาชายหนุ่มมาทำไมและอยู่แต่ละครั้งเริ่มใช้เวลานานจนน่าคิดกังวน แม่เฒ่าประคองตนเองมาถึงบันได เมื่อถึงบันไดจึงค่อยนั่งแล้วขยับตนเองไปตามบันไดทีละขั้นแม้จะใช้เวลาเนิ่นนานในการพยุงตนเองไปตามขั้นบันได แม่เฒ่าคิดว่าแม่เฒ่าจะต้องทำให้ได้อย่างน้อยจะได้รู้ว่าหลานสาวกับชายหนุ่มที่มานั้นมีพฤติกรรมที่ไม่ดีหรือไม่ แม่เฒ่าอยากปกป้องให้หลานสาวรู้สิ่งที่สมควรทำและสิ่งที่ไม่สมควรทำ
แม่เฒ่าพยุงตนเองมาขึ้นบันได ค่อยหย่อนตัวลงนั่งและกระเถิบขึ้นทีละขั้น แล้วพยุงร่างให้ขยับขี้น ขาซ้ายที่เป็นอัมพฤกษ์ทำให้แม่เฒ่ายกขาข้างนั้นขึ้นลำบากเหลือเกิน แม่เฒ่าต้องใช้กำลังแรงกายที่มีเพื่อให้ขาข้างซ้ายขยับพาดขึ้นแล้วพยุงตัวตามแม่เฒ่ารู้ว่าเหนื่อยล้าอ่อนแรงเป็นอย่างมากในการพยุงขาให้ขยับไปบนบันไดแต่ละขั้น ความพยายามของแม่เฒ่าทำให้ค่อยๆ นำตัวเองขึ้นบันไดจนมาถึงบันไดขั้นที่สอง แม่เฒ่านั่งพักเหนื่อยมองบันไดอีกเจ็ดขั้นที่เหลือ แม่เฒ่าจะทำสำเร็จหรือแม่เฒ่าจะต้องพยายามทำให้ได้และจะต้องห้ามปรามพฤติกรรมของหลานถ้าทำสิ่งผิด แม่เฒ่าจะต้องหยุดและชี้นำสิ่งที่ถูกต้องแก่หลานสาวให้ได้
ขณะที่แม่เฒ่าพยุงตัวเองจนมาอยู่ที่ขั้นที่ห้า ผู้ชายอีกหนึ่งก็เข้ามาในบ้านเดินขึ้นบันได แม่เฒ่าร้องถามด้วยความสงสัยเพราะเป็นคนแปลกหน้าที่เข้ามาในบ้าน
ลูกบาวไปไหน
มาหา อีสาว เติ่นหลบไปตะ ชายหนุ่มบอกแล้วจะเดินขึ้นบันได
ช่วยยุงแม่เฒ่าขึ้นบนบ้านด้วยนะลูกบาวแม่เฒ่าจะคุยกับหลาน แม่เฒ่าบอกให้เด็กหนุ่มรู้
เติ่นอีขึ้นไปทำไหรล่ะ เด็กๆเขาหนุกกัน เติ่นอยู่ข้างล่างดีแล้ว แก่พรรค์นี้แล้วรู้ไปทำไหร เด็กหนุ่มพูดแล้วจะเดินขึ้นบันไดแม่เฒ่าดึงขาเด็กหนุ่มไว้ เด็กหนุ่มสะบัดหลุดแล้วเดินขึ้นบ้านไปในขณะที่ร่างของแม่เฒ่ากลับเสียหลักจากการสะบัดของเด็กหนุ่ม ทำให้ร่างของแม่เฒ่าตกลงจากบันไดที่นั่งโดยที่เด็กหนุ่มไม่ได้หันกลับมามองแต่อย่างใด
ข่าวแม่เฒ่าตกบันไดตายเป็นข่าวที่ชาวบ้านสะเทือนใจและตกใจ หลายต่อหลายคนในหมู่บ้านพากันเดินทางมาแสดงความเสียใจกับหญิงชราอายุมากของหมู่บ้าน
แกเดินไม่ได้มานานแล้ว จะคลานขึ้นบันไดทำไหร
เออ... นั่นแหละ น่าสงสาร อยู่บ้านคนเดียวด้วย
นั้นคือเสียงของชาวบ้านที่แสดงความเวทนาต่อแม่เฒ่า ผู้สูงอายุแห่งหมู่บ้าน
**************************************