11 กรกฎาคม 2551 06:48 น.
อินสวน
เพียงรอยยิ้ม พริ้มพราย สายตาสบ
ต้องรีบหลบ กลบเกลื่อน เบือนบ่ายเบี่ยง
เธอรู้ดีพี่นี้ไม่ควรเคียง
ด้วยเกรงเสียงครหาว่าประจาน
แววนัยน์ตาศรัทธาปรารถนาดี
พูนทวีผูกพันวันปีผ่าน
กำลังใจมากมายดอกไม้บาน
เหมือนสายธารน้ำหวานผสานใจ
ความห่วงใยฝากไปพร้อมเอกสาร
แฟ้มผลงานหลักฐานตรวจทานให้
เสนอแนะบทวิจารณ์ผ่านเมล์ไป
แทรกรูปไว้ถ่ายตอนไปพัทยา
ขอขอบคุณสิ่งดีดีมีต่อเนื่อง
ในทุกเรื่องยามท้อขอปรึกษา
ไม่ใช่แฟนทดแทนตลอดมา
ความผูกพันมีค่ากว่าประเมิน
6 กรกฎาคม 2551 21:41 น.
อินสวน
จากยอดดอย แดนไกล ใจห่วงหา
ถึงเมืองฟ้า กรุงไกล ใฝ่ถวิล
สุดแหล่งหล้า คะนึงหา ค่าขวัญดิน
ไม่สร่างสิ้น โบยบิน ปีนป่ายดาว
จากสุดเขต ขุนเขา เฝ้าไถ่ถาม
ณ ขอบฟ้า สีคราม ข้ามเมฆขาว
คอยถามทวง ห่วงใย ไร้ข่าวคราว
จนรานร้าว รอยร้าง ท่องทางไกล
ตอนลาร่ำ ถ้อยคำ ย้ำหนักแน่น
ยากจะแทน ที่เทียบ เปรียบไม่ได้
ทูนขวัญฟ้า สัญญา อย่าเสียใจ
จะย้อนอยู่ สู่พงไพร อีกไม่นาน
จากวันนั้น กลั้นไว้ ไม่ไหลร่วง
สุดปลายห่วง ท่วงท้าย สุดสายป่าน
เส้นบางเบา รอยเงา อุดมการณ์
ยากต้านทาน กระแสแรง แห่งเงินตรา
3 กรกฎาคม 2551 11:03 น.
อินสวน
ตื่นตีห้า อารมณ์ดี มีสติ
สมาธิ พิจารณา พาสดใส
กายบริหาร ข้างบ้าน สำราญใจ
ไม้ดอกใบ ใส่ปุ๋ย พลุ้ยดินพรวน
หกโมงเช้า เร้ารับ กระฉับกระเฉง
ลีลาเร่ง เพลงครัว ยั่วหอมหวน
กลิ่นข้าวกรุ่น อุ่นไอ ให้เชิญชวน
ผักอินสวน ล้วนสะอาด ปราศพิษภัย
ล้างจานแก้ว แล้วเสร็จ เจ็ดโมงประมาณ
ออกจากบ้าน สะอ้านหล่อ พอดูได้
ควบสองล้อ ห้อปั่น ขยันไป
ไม่สนใจ ให้ขุ่นเคือง เรื่องน้ำมัน
สิบห้านาที ถึงที่ฐาน งานปฏิบัติ
ไม่ข้องขัด สมาร์ทแมน แสนสุขสันต์
วิเคราะห์งาน วิชาการ สารพัน
ด้วยมุ่งมั่น เป้าหมาย ไม่ไกลเกิน
ชีวิตเล่า เข้าที คล้ายดูดี
แต่ยังมี แง่มุม กลุ้มใจเขิน
ไร้คู่คิด มิตรใจ ใครใครเมิน
เพราะขาดเงิน สู่ขอ ต้องรอนาน
พอมีไหม คนใจดี ที่รักแท้
ร่วมดูแล แก้ไข ให้ฝันหวาน
จะออดอ้อน พาซ้อน จักรยาน
แล้วจัดงาน สู่ขอ แบบพอเพียง
1 กรกฎาคม 2551 06:51 น.
อินสวน
เมฆอ้อยอิ่งอิงภูดูเหงาหงอย
เหม่อมองคอยเลื่อนลอยค่อยห่างหาย
รอยฝันจางอ้างว้างช่างเดียวดาย
ไกลสุดปลายสายใยห่วงหลวงพระบาง
ขอบฟ้าไกลส่งใจไปสัมผัส
ล่องลอยลัดเลาะเรียงไปเคียงข้าง
ยังมั่นคงจงรักมิแรมร้าง
อย่าจืดจางค้างคอยน้อยใจนาน
สุดสายตาอย่าห่างใจให้เหินห่าง
ฝากใจวางพร่างพรมพลิ้วลมผ่าน
โลมเล้าไล้ปลอบใจคลายร้าวราน
แม้เนิ่นนานหวานฝันวันรอคอย
โค้งขอบฟ้าโอบมาอ้าอ้อมกอด
ฝากพร่ำพรอดพร้อมเพรงบรรเลงถ้อย
จุมพิตหวานผ่านนภางค์รางรุ้งรอย
แม้ไม่บ่อยค่อยเติมต่อหล่อเลี้ยงใจ
8 มิถุนายน 2551 16:59 น.
อินสวน
จากคนป่า เป็นมา มลาบรี
เดิมเรียกผี ตองเหลือง เรื่องเล่าขาน
อยู่อาศัย ในป่า มาช้านาน
ไร้หลักฐาน แน่นอน เร่ร่อนไป
ใช้กิ่งไผ่ ใบไม้กอง ป้องแดดฝน
ไม่กังวล เสื้อผ้า อาภรณ์ใส่
ตะแหย้ดปิด ผลผลิต เปลือกใบไม้
สองถันใหญ่ ทรามวัยเผย ไม่เคยอาย
มีความรู้ ปราดเปรื่อง เรื่องไม้ป่า
สมุนไพร หยูกยา รักษาหาย
ไล่สัตว์ล่า เสาะหา หน้าที่ชาย
ไม่ดูดาย หญิงตักน้ำ หลามเผือกมัน
ไม่รู้จัก หลักการ กสิกรรม
ไม่รุกล้ำ ทำลายป่า พนาสวรรค์
เชื่อเซ่นไหว้ ไม้ใหญ่ ได้ผูกพัน
บุรุษบรรพ์ ผีป่าเขา มาเนานาน
มีดนตรี ประโลมใจ ใบไม้เป่า
และขลุ่ยเลา ลำไผ่ ไล่เพลงหวาน
ใครแปลกหน้า มาหา พารนราน
จะพบพาน เพียงเพิงร้าง หายห่างจร
ต่อมามี พรานไพร จากในเมือง
เจอตองเหลือง ไล่ต้อน ตอแยก่อน
เริ่มเปิดเผย คุ้นเคย เลยขั้นตอน
ความซับซ้อน ถูกแทรกแซง เปลี่ยนแปลงไป
ชนพื้นเมือง ตองเหลือง เริ่มคบหา
มีสินค้า มาแลก สิ่งแปลกใหม่
ไม่รู้จัก มูลค่า เงินตราใช้
แล้วแต่ความ พอใจ ไม่ระแวง
อนิจจา มลาบรี ที่แสนซื่อ
เดี๋ยวนี้คือ รอยเศร้า ที่เว้าแหว่ง
ถูกรุมทึ้ง ดึงแทะ และทิ่มแทง
เลือดเหือดแห้ง แล้งวิญญา มลาบรี........