6 มิถุนายน 2551 02:10 น.
อินทร์อาทิตย์
ฝนเอยเป็นสายหลั่ง รินไหลพรั่งพรูสู่ผืน
แมกไม้น้อยใหญ่ยืน รอชอุ่มชุ่มแดนดิน
เย็นฉ่ำร่ำก้านใบ พราวหยดใสไหลหยาดริน
ชโลมลำโคนสิ้น แทรกซึมดินให้รากซับ
ชำระชะละล้าง กิ่งสล้างเชิดชูใบ
ผายแผ่กิ่งก้านใหญ่ ทอดกายกิ่งไหวแรงลม
มลพิษผิผายร้อน เพลาลงผ่อนให้เหมาะสม
โพ้นฟ้าพิรุณพรม ธรรมชาติช่วยได้สมดุล
มวลไม้ได้คลายแล้ว ยินเหมือนแว่วมาแต่ไกล
ไม่รู้ว่าป่าไหน คลุ้งคละไหม้ไฟลุกโชน
สบเห็นเป็นป่าปูน เมืองแมนศูนย์ควันพล่านโพลน
ไหม้มอดใช่ขอนโขน หากแต่เป็นควันความคน
ป่านี้มีมนุษย์ หลายหลากจุดสุดแตกต่าง
แม้นอยู่ร่วมฟ้ากว้าง แห่งตะวันอันดวงเดียว
บ้างหนอใยดุดัน โทสะผันพลันฉุนเฉียว
บ้างหนอผูกเป็นเกลียว ปมเหตุคลื่นโถมถลา
ลางคิดตนดีกล้า ลางคิดว่าหาใช่ชอบ
ลางคนรู้คำตอบ ลางรับมอบมืดมิดไว้
บางคนรู้ตามคิด บางคนจิตคิดเท่าได้
บางคนคิดกว้างไกล กับบางใครคิดแต่ตน
สยามว่าเมืองยิ้ม แลพักตร์พริ้มวาจาขาน
หน้าใสใจเบิกบาน อัชฌาดีไมตรีนำ
ไฉนใครสยาม ฤาถึงยามเอ่ยขุ่นคำ
เอื้อนใดกล่าวไรย้ำ เพียงมีแต่คำดุร้าย
แรงร้อนจากคำร้อน ควรได้ผ่อนลูบโลมลง
กรุ่นกลั่นไฟที่คง ความเคียดขึ้งไปใยกัน
เปรยแดดย่อมแผดเผา จักพาเอาเข้าหุนหัน
ยิ้มไว้ไหว้รับกัน อันใดทุกข์สุขเจรจา
ฝนเอยเป็นสายหลั่ง รินไหลพรั่งพรูสู่ผืน
น้อยใหญ่ยังคงยืน คือผองชนคนป่าปูน
โปรยมาเถิดโพ้นฟ้า พี่น้องข้าฯคลายร้อนสูญ
ไท ไทยใฝ่เกื้อกูล หยดเมตตาหยาดน้ำทิพย์
ยานี บทที่เก้า ขอนบเนาทวยเทวา
บารมีสยามพา ปักษ์ปกคุ้มคนป่าปูน
อีกทั้งคนป่าไกล ป่าไหนไหนได้ค้ำคูณ
รวมใจให้เป็นศูนย์ คิดพูดทำแต่กรรมดี