1 เมษายน 2551 16:22 น.
อิงภู
ฟ้าหม่นให้เหมยหมอกห่มคลุมทั่วแผ่นผา
ไอน้ำจับตามกิ่งก้านเป็นตะไคร้ครึ่ม
ชายหนุ่มพยายามเอื้อมมือไปเด็ดดอก
ดอกเอื้องผึ้ง หอมตรึงต้องใจภุมรา
..........แต่ทว่า................
มือไม้ไม่มั่นคง ชายหนุ่มจึงตกลงมา
แทบแผ่นผาเบื้องลึก เบื้องล่างสุด
ฟ้าเทา หมอกทึบ กลืนกลบทุกสรรพสำเนียง
กลีบเอื้องผึ้ง ปลิวกระจายในสายลมหนาว
...
สาวน้อย เจ้าเอื้องเหนือได้ทราบข่าวของชายหนุ่ม
น้ำตามิอาจกลั้น พลันแตกสานซ่านเซ็น
ในยามเทาทึมทึบเช่นนี้
ไม้ใบยังเสียดสีท่วงทำนองของเพลงเศร้า
เหงา วังเวง และ เหว่หว้า
...
สาวน้อย เจ้าเอื้องเหนือ เธอไปที่นั่น
ที่ ภูผาจันทร์ แห่งนั้น
บัดนี้ น้ำตาได้ไหลรดจนหมดใจแล้ว
เธอจึงสืบเท้าก้าวเข้าไป ก้าวเข้าไป
และพลันเธอก็กระโจนพุ่งชนชะเงิบหิน
ตกไปสิ้นใจแทบแผ่นผา เบื้องลึกทันที
...
ดวงตะวันคู่จันทรา เหล่ามัจฉาคู่วารี
ณ แทบแผ่นผาแห่งนั้น
ได้มีตันไม้หนึ่ง เกิดขึ้น เราเรียกกันว่า จันผา
และบนยอดก็มีไม้ดอกเหลืองอร่ามขึ้นแซม
เราเรียกกันว่า เอื้องผึ้ง
สาวน้อย เจ้าเอื้องเหนือ และชายหนุ่ม
ได้อยู่คู่กันสืบไป
เป็น เอื้องผึ้ง จันผา ณ ที่แห่งนั้น.
29 มีนาคม 2551 17:36 น.
อิงภู
แสงจันทร์นวลสาดส่องกระทบแผ่นผาเป็นสีน้ำเงินเข้ม
และ สาดส่องพุ่มไม้ดอกสีเหลืองทองเหล่านั้น
แลดูอร่ามงามจับตาในยามค่ำคืน
เอื้องผึ้ง คือชื่อไม้ดอกเหล่านั้น
ในยามนี้ดึกสงัด ผาตระหง่านเสียดจันทรา
ที่แห่งนี้ คือ ภูผาจันทร์
...
ชายหนุ่มได้กลับมาที่แห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง
ดงดอย บนแดนดิน ถิ่นไม้ป่าพนาพฤกษ์
สาวน้อย เจ้าเอื้องเหนือ เธอยังอยู่ที่นั่น
วันเวลามิเคยแปรเปลี่ยนให้ความงามของเจ้าลดลงเลย
หากแต่ นับทวีให้งดงาม ชวนเสน่ห์เล่ห์หลง เสียนี่กระไร
เป็นโอกาสเหมาะ ท่ามกลางธารน้ำใสที่ไหลริน
ชายหนุ่มได้แนะนำตัว และเริ่มสนทนา
ผืนฟ้าเปิด คลี่หมอกขาวให้กลั่นตัวเป็นหยดน้ำ
แต่งแต้ม ตามยอดใบ ยอดดอก
แลระยิบยับ จับตา ยามแดดทอประกาย
...
ดวงจันทรายังไล่สุริยาเป็นโคจร
หมุนเปลี่ยนกาลเวลาผ่านเลย
ความสัมพันธ์ของชายหนุ่มและหญิงสาวแนบแน่น
ก่อรูป ก่อร่าง ก่อรัก
...
จวบจนการจากลาของชายหนุ่ม อีกครั้งหนึ่ง
จำใจจำจากเจ้าจอมใจ สาวน้อย เจ้าเอื้องเหนือ
และสัญญาว่าการกลับมาคราวหน้า จะมีพิธีวิวาห์
...
ในเช้าวันฟ้าหม่น ที่ ภูผาจันทร์ แห่งนั้น
ชายหนุ่มได้ปีนขึ้นไปยังยอดผา
หมายจะเก็บ เอื้องผึ้ง ไปเป็นคำมั่นสัญญา
ต่อรัก....ต่อเรา....
.........แต่ทว่า..........
28 มีนาคม 2551 15:30 น.
อิงภู
ในดงดอยสูงตระหง่าน เทียมฟ้าเทียมเมฆา
ม่านหมอกเหมยกระจาย ขาวบางเบาอยู่ทั่วทุกแห่ง
สายลมหนาวพัดพลิ้วพร่ายพรายอยู่ในอณูอากาศ
สาวน้อย เจ้าเอื้องเหนือ ดูสดใส แย้มยิ้มพริ้มพราย ดั่งแสงแรกแห่งตาวัน
วงหน้าขาวนวล ผิวเนียน ไร้การประปรุงผดุงแต่ง
แวดล้อมด้วยธรรมชาติ ป่าเขา ลำเนาไพร
เธอยืนอยู่ในดงดอกเจราเนียมสีแดงสด ดูราวกับภาพวาดของศิลปินเอก
ถัดไป ฉากหลังเป็นตำหนักไม้หลังใหญ่ มีชานระเบียงกว้างขวาง
พุ่มไม้ดอกใหญ่น้อย หลากสีสัน ลดหลั่น้เล่นตามเชิงผา
ที่นี่คือดงดอยบนแดนดิน หรือถิ่นสวรรค์ครรไล
สาวน้อย เจ้าเอื้องเหนือ เธอเป็นผู้ดูแลตำหนักแห่งนี้เท่านั้น
ข้าฯ เองอยากยืนจมชมพิศดูสาวเจ้าอย่างนี้เนิ่นนาน
ทุกท่วงท่า อากัปกิริยา ราวเสกสรรบรรจงจินต์
เหมือนนางในถิ่นสวรรค์ มิปาน
หากแต่การมาครั้งนี้ของข้า
มิอาจเอื้อมดึงกาลเวลาอยู่ได้ให้นานเนา
มีพบย่อมมีจาก
หากแต่ยังมิทันเอื้อนเอ่ยทายทัก ก็จักกลับเสียแล้ว
ความประหม่าพรั่นพรึง ดึงไว้ให้เขินอาย
จนเมื่อเวลาวาย ก็เสียดายที่จะรู้จัก
สาวน้อย เจ้าเอื้องเหนือ เธอจะรู้ไหมว่ามีใครแอบชื่นชม
หวังประสมจิต คิดว่าเพลาหนึ่ง ข้าฯ จักกลับมาใหม่
ณ ที่แห่งนี้ ดงดอยในแดนดิน ราวถิ่นสวรรค์
กับสาวเจ้า เอื้องเหนือ
ไพรพฤกษ์ แห่งหุบเหว จะกู้ร้องเรียกหัวใจให้กลับมา
และครานั้น หวังว่าเราคงได้รู้จัก
ทายทักกันและกัน
รอฟ้า รอเวลา โอกาสหน้าคงเจอะเจอ
สาวน้อย เจ้าเอื้องเหนือ.
(ทั้งสองจะได้พบเจอกันหรือไม่...)