5 เมษายน 2548 12:41 น.
อิงค์ฟ้า
ที่บ้านฉัน
เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นเรื่อย-เรื่อย
หากฟังดี-ดีแล้ว..เป็นเสียงของพ่อ
พ่อที่กำลังตะวาดฉัน ตะคอกฉัน อย่างไม่รู้เอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาดุ มาด่าว่าฉัน
และหากหลับตาแล้วฟังฟังดี-ดี
มันเป็นเสียงของแม่.ที่กำลังร้องไห้อยู่ข้าง-ข้างฉัน
ทั้งสองเสียงเริ่มค่อย-ค่อยเบาลง.เบาลง..จนสงบ
หากมีแต่เสียงสะอื้นของฉันที่จมปรักกับคำดุด่าของพ่อ
มันแสนแสบสะท้านไปถึงสุดขั้วหัวใจ
อยากจะต่อต้านคำดุด่าว่านั้นให้พล่านรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย
แต่ทำได้เสียที่ไหน.ละ
ฉันเผลอคิดไปซะไกล.ถ้าหากไม่มีเสียงโทรศัพท์มาฉุดรั้งความคิดของฉันไว้
ฉันคงไปถึงดาวอังคารนู้นล่ะ
สวัสดีครับ ฉันรับสาย
อิงค์หรอ..ออกมาหาฟ้าหน่อยสิรอที่สะพานนะ
หากฉันไม่โดนพ่อดุก่อนหน้านั้น.ฉันคงจะยิ้มและตื่นเต้น
ที่จะได้เจอฟ้าอีกครั้งหลังจากที่เราไม่ได้เจอะเจอกันมาเป็นปี
ทิ้งแค่คำสัญญาไว้ว่าเราจะมาพบกันอีกครั้ง ที่นี้ ที่ตรงนี้ ที่-ที่สะพานแห่งความหลัง
ครั้งเราเคยเก็บไว้ในความทรงจำ
ฉันเดินมาจนถึงสะพานเห็นฟ้าเธอรออยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
เราหยุดจ้องมองหน้ากันสักพัก 4ปีแล้วนะที่ฉันไม่ได้เจอะเจอฟ้า
ฟ้าเองก้อยังสวยไม่เปลี่ยนเลย สวยกว่านางฟ้าเสียอีก
แต่แววตาฟ้า..เธอเปลี่ยนไป ฉันยืนหยุดนิ่งอยู่ไม่นาน
ฟ้าก้อวิ่งเข้ามากอดฉันแล้วร้องไห้เหมือนเด็กตัวเล็ก-เล็ก
ที่ทำผิดแล้ววิ่งเข้ามาหาให้ปลอบโยน
ฉันเองก็ไม่รู้จะทำยังไง อยู่ดี-ดีฟ้าก้อร้องไห้
ก้อได้แต่เอื้อมมือไปลูบผมฟ้าแล้วก้อพูดว่า เป็นอะไรไปแม่สาวคนเก่งของฉัน
ที่ปลายสะพานมีต้นมะขาม2ต้นติดกัน
ใต้ต้นมะขามนั้นจะมีม้านั่งทางยาวอยู่1ตัว
ที่-ที่ฉันเคยมานอนหนุนตักฟ้ากับเรื่องราวความฝันที่เราร่วมกันแต่งแต้ม
และวาดหวังไว้ว่า..เราจะมาร่วมกันเดินทาง
กับวันนี้ใต้ต้นมะขามต้นเดิม..ม้านั่งตัวเดิมฉันยังนอนหนุนตักฟ้าเหมือนเดิม
แต่เรื่องราวไม่ใช่ความฝัน หากแต่มันเป็นความจริง
อิงค์เรียนจบแล้วยัง ฟ้าถามฉันด้วยถ้อยเสียงเศร้า
เราโดนไล่ออกมานอนเล่นแล้ว.ฉันตอบแล้วเป่าผมตัวเอง
ฟ้าเธอเงียบไปสักพัก
อยู่-อยู่น้ำตาฟ้าก้อหยดลงมาเปื้อนแก้มไหลลงมาถูกผมฉัน
ฉันลุกขึ้นนั่งทันที
ฟ้าเป็นไร.ฉันถามเสียงอ่อน
ทำไม ไม่เรียนให้จบหล่ะทำไมเหรอ
รู้ไหม.พ่อให้ฟ้าหมั่นแล้วนะ
ฉันสะดุ้งกับคำที่ฟ้าบอก ฟ้าหมั่นแล้ว.. มันเหมือนมีอะไรมาทำให้ฉันต้องหยุดลมหายใจไว้ชั่วขณะ
หูฉันอื้อไปหมด
ฟ้าโผเข้ามากอดฉันทั้งน้ำตา
ฟ้าไม่อยากหมั่นเลย.ฟ้ารัก..ฟ้ารักอิงค์
ฉันรู้สึกใจมันลอยหวิวสั่นสะท้านหวั่นไหว ชาไปหมดทั้งตัว
มันพูดไม่ออกเลยจริง-จริง
ฟ้ากอดตัวฉันแน่นเลยทีเดียว
เราเคยสัญญานะก่อนจะจากกันไปเรียนเราจะรอกันและกัน
แต่วันนี้มันทำให้ฉันถึงกับน้ำตาคลอเลยทีเดียว
ฉันค่อย-ค่อยดันตัวฟ้าออก.แล้วเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่แก้มฟ้า
ฉันได้แต่บอกกับฟ้าว่า .ดีแล้วล่ะ ฟ้าจะได้เจอคนดี-ดีไง
ฉันพูดไม่ค่อยเต็มเสียง กับคำปลอบโยนที่ฉันไม่เต็มใจนัก
แล้วจะมีใครรู้บ้างไหมว่า ความรักของฉันมันเดินทางมาร่วม10ปี ฉันเฝ้ารอความรักนี้มานาน
นานด้วยความหวังที่เรายังรักกัน หากแต่วันนี้10ปีที่ผ่านมา
มันต้องเสียเปล่า แต่ฉันก้อดีใจนะที่เห็นคนที่เรารักได้เจอกับสิ่งดี-ดี นี้มันเป็นสิ่งที่คนรัก
เขาควรทำกัน.ใช่ไหม
แม้จะไม่เต็มใจเลยก้อตามอย่างนั้นหรือ..?
ฉันกลับมานอนที่ตักฟ้าเหมือนเดิมพร้อมกับฟังเรื่องราว
ที่เธอไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ..
ฟ้าเองก้อเรียนไม่จบเหมือนกัน ฟ้าเรียนได้3ปี ก้อต้องออก
เพราะฟ้าเป็นห่วงแม่ ปัญหาเรื่องทางครอบครัว พ่อของฟ้าแต่งงานใหม่
และฟ้าคงจะเสียใจเป็นที่สุดที่โดนพ่อดูถูกสารพัดกับการเรียน ซึ่งฉันเองก้อรู้ซึ้งดี
พ่อของฟ้าเลยให้ฟ้าหมั่นกับ ส.ส.หนุ่มรุ่นใหญ่ที่มีสัตว์เลื้อยคลานบนหัว
ฉันรู้สึกไม่ดีเอาสะเลยอยากจะบอกพ่อของฟ้าเสียจริง-จริงเลยว่า..นี้มันลูกสาวคุณนะ
แต่นั้น ก้อเป็นเพียงความคิดของฉันเท่านั้นเอง
เสียงสะอื้นของฟ้า.มันช่างบาดลึกลงไปสุดขั้วหัวใจฉันเสียจริง-จริง
มันเจ็บนะ..ที่เห็นคนที่เรารักร้องไห้ต่อหน้าเจ็บแค่ไหนใครเคยคงรู้ดี
เย็นแล้ว..เราคุยกันถึงเย็นเลย
พระอาทิตย์ยามตกดินนี้ช่างสวยจริง-จริงเลยนะ
ว่าไหมอิงค์?
ฟ้าถามฉันเสร็จแล้วค่อย-ค่อยแต่งบทกลอนขึ้นมาที่ละนิดให้ฉันฟัง
(ฉันยังจำได้ไม่เคยลืมมันเลย)
แดดล่มห่มฟ้า..ฟากฟ้าหม่น
ได้เยินยลสนธยายามสร่างสาย
เคยสว่างสาดแสงแรงมิวาย
ยังกลับกลายมืดมิดสนิทคืน
ฟ้าบอกให้ฉันต่อกลอนบทนี้แต่ฉันแต่งกลอนเป็นเสียที่ไหนเล่า
เลยบ่ายเบี่ยงไปว่า ไว้อิงค์จะมาต่อให้แล้วกันนะ
ฟ้าจะรอ ฟ้าย้ำฉันเหลือเกิน
นี้เย็นแล้ว..ออกมานานมากแล้วนะ
เดี๋ยวก้อโดนพ่อดุหรอก
ฉันถามฟ้าด้วยความเป็นห่วง
แต่ฟ้ากลับส่ายหน้า
วันนี้อิงค์อยู่ที่นี้เป็นเพื่อนฟ้าได้ไหม ฟ้ายังไม่อยากกลับ
ที่บ้านป่านนี้คงสนุกกับงานเลี้ยง ส.ส.บ้านั้นอยู่มั่ง
ไม่มีใครสนใจฟ้าหรอก
ฉันได้แต่เออออไปกับฟ้า เพราะตัวฉันเองก้อไม่อยากกลับเหมือนกัน
แล้วฟ้าก้อเล่าต่อไปเรื่อย
ไม่รู้สินะฟ้าเล่าอะไรให้ฟังอีก
ฉันเผลอหลับไป
เพราะฤิทธิ์หมอนนุ่ม-นุ่มของฟ้านะสิ ทำให้ฉันเผลอหลับไป
หลับไปนานเลยทีเดียวเลยละ
ฟ้าเลยเอาเส้นผมมาแย่หูบ้างจมูกบ้างแกล้งทำให้ฉันตื่น
ฉันเองก้อได้แต่เอามือมาปัดหน้าปัดตากับอาการละเมอ
พอฉันตื่นก้อได้ยินแต่เสียงฟ้าหัวเราะร่าที่แกล้งให้ฉันตื่นสำเร็จ
อิงค์หลับไปเหรอ ฉันถามยังกับตัวเองไม่ได้หลับ.
พ่อตัวดี.ฟ้าปวดขาแล้วน๊า
คนอะไร.ขี้เซาเสียจริง-จริง นี่2ทุ่มแล้วนา
ฟ้าหิวข้าวแล้ว
ฉันก้อยังนึกอยู่เลยว่าหลับไปได้ไงเนี้ย ไมไม่ปลุกอะ
ก้อฟ้าเห็นนอนหลับปุ๋ยเชียว.ก้อเลยไม่อยากปลุก
ไปกินข้าวกันเถอะ
ตรงข้ามสะพานอีกฟากโน้นไม่ไกลมากนักจะมีร้านมินิมาร์ทอยู่ร้านหนึ่ง
เป็นร้านเล็ก-เล็กแต่ก้อน่ารักไปอีกแบบเปิดตลอด 24 ชม.เชียว
เราสองคนถือถ้วยมาม่าออกมาคนละถ้วยพร้อมน้ำคนละขวดเดินออกจากร้าน
กลับมายังสะพานม้านั่งใต้ต้นมะขามที่เดิม
แสงไฟสลัว-สลัวบนท้องถนนทำให้เห็นแสงดาวที่กระทบน้ำ
เปล่งแสงระยิบระยับทั่วผืนน้ำ..มันสวย สวยมากเลยทีเดียว
คืนนี้สวยมากเลยนะอิงค์
อือ
ฉันตอบอย่างไม่ค่อยสนนักยังตั้งหน้าตั้งตากินมาม่าอย่างอร่อยต่อ
เอาอีกไหม..ของฟ้ายังเยอะเลย
ฟ้าอิ่มแล้วล่ะ
ฟ้าขยั้นขะยอให้ฉันกินอีก
ฉันแอบยิ้มอยู่นิด-นิดแล้วพูดแกล้งฟ้าไปว่า
ป้อนอิงค์หน่อยสิ.อิงค์ยังไม่อิ่มเลย
ไม่รู้สินะฉันนึกอะไรขึ้นมา..อยู่-อยู่ก้อบอกให้ฟ้าป้อนยังกับเด็ก
แต่ฟ้าก้อป้อนนะเธอยังแอบยิ้มอยู่เลย
(รอยยิ้มภาพนั้น ยังคงอยู่ในความทรงจำฉันตราบเท่าวันนี้เลย)
ฟ้าป้อนคำ ฉันก้อบ่นไปคำ
คำนี้หวานไป
คำนี้เค็มไป
จนเธอหัวเราะ.หาว่าฉันบ้าไปแล้ว ถ้วยเดียวแท้-แท้จะมีหลายรสชาติได้ไง
แต่ฉันเองดีใจนะที่เห็นเธอหัวเราะร่า ถึงฉันจะเป็นคนบ้าก้อตามทีเถอะ
อ่าอิ่มจัง
ฟ้าป้อนเนี้ย..อร่อยไม่ใช่เล่นเลยนะ
ไว้วันหน้าจะให้ฟ้าป้อนละ
ฉันพูดล้อพลางยิ้มให้กับฟ้า
ฟ้ายิ้มตอบ..แล้วค่อย-ค่อยลุกขึ้นเดินไปยังลิ่มตลิ่ง.เธอหยุดนิ่งมองอยู่นาน
แล้วก้อแต่งกลอนอีกครั้ง
ดวงดาราร่าระริกระรี่
กระทบนทีสว่างไสว
จันทร์จ้าวงาม.บนฟากฟ้าไกล
กระทบใจ..หวั่นไหวเหลือเกิน
วันหน้า.อิงค์คงไม่เจอฟ้าแล้วล่ะ
เสียงห้วน-ห้วนของฟ้าหลังแต่งกลอนจบ
ฉันเองฟังไม่ค่อยถนัดนักแต่ก้อพอจับใจความได้
ทำไมละ
ฉันถามพลันลุกขึ้น
แล้วค่อย-ค่อยเดินไปโอบกอดฟ้าทางด้านหลัง
แล้วกระซิบเบา-เบา
จะไม่มีใครพรากฟ้าไปจากอิงค์อีกแล้ว
สายลมหนาวพัดหวน แสงดาวส่องแสงวาววับ พระจันทร์ลอยเด่นสง่าเต็มดวง
ทำให้ฉันกอดฟ้าแน่น........อย่างอบอุ่นมันเป็นคืนที่ฉันมีความสุขมาก
มีความสุขมากจริง-จริง
ดึกมากแล้วเราจูงมือเดินกันกลับจนถึงหน้าบ้านฟ้า
ฝันดีนะ
เสียงฟ้าลาฉันก่อนเดินเข้าบ้านไป
แต่ก่อนฉันเดินกลับ.ฉันแอบได้ยินเสียงพ่อของฟ้าตะโกนเถียงกับแม่ของฟ้า
เสียงข้าวของล้นแตกเป็นครั้งคราวและเสียงร้องไห้เสียงร้องไห้แม่ของฟ้า
ใจฉันสั่น.หวั่น-หวั่นว่าฟ้าจะเป็นยังไง
ก่อนเดินห่างออกไปฉันถึงกับถอนหายใจไปเฮือกหนึ่งแล้วถึงก้าวเดินกลับ
สองเท้าก้าวเดินกลับบ้านได้ไม่นาน ในใจฉันกลับกระวนกระวายเป็นห่วงฟ้ามาก
ฉันเลยโทรศัพท์ไปหาฟ้า..แต่โทรศัพท์ฟ้านะสิปิดเสียแล้ว
ฉันเดินมาเรื่อย แต่ใจก้ออดเป็นห่วงฟ้าไม่ได้อยู่ดี ฉันตัดสินใจกลับไปยังบ้านฟ้าอีกครั้ง
คราวนี้ที่บ้านฟ้ากลับเงียบสะงัด ไฟทุกดวงกลับปิดสนิท เว้นเสียแต่ที่ห้องของฟ้ายังมีแสงไฟสลัว-สลัว
เปิดทิ้งอยู่ ฉันเลยแอบปีนรั้วเข้าไปข้างใน ห้องของฟ้าอยู่ชั้นล่างยังมีหน้าต่างเปิดทิ้งไว้
ฉันเลยเรียกฟ้าเบา-เบา..ฟ้า..ฟ้า นอนแล้วยัง นี้อิงค์เองนะ
ไฟห้องฟ้าเปิดสว่างขึ้น ฟ้าชะโงกออกมาดูตามเสียงฉัน
อ้าวอิงค์เองเหรอ ยังไม่กลับบ้านอีก
ก้ออิงค์เป็นห่วง.ไม่เป็นไรก้อดีแล้ว อิงค์กลับล่ะ ฉันลาฟ้าไปง่าย-ง่าย
เดี๋ยวสิ.! ฟ้ารีบเปิดประตูออกมาข้างนอกพร้อมหยิบของสิ่งหนึ่งติดมือมา
อ่ะฟ้าให้อิงค์
ก้อว่าจะให้อิงค์อ่านนานแล้วล่ะแต่ก้อลืมทุกที
มันเป็นไดอะรี่เล่มหนา-หนาหน้าปกเขียนเป็นกลอนว่า หากฟ้ายังแอบอิง คนพักพิงก้อคือฉัน
เก็บไว้อ่านนะ ฟ้าไม่อยู่อิงค์จะได้คิดถึงฟ้าไง
เอาละกลับบ้านได้แล้ว
ฟ้าพูดจบก้อจับหมุนตัวฉันหันหลัง.เอามือค้ำไหล่แล้วดันตัวฉันเดินไปข้างหน้า
มายังไงก้อกลับอย่างนั้นและ
ฟ้าพูดพลางยิ้มแล้วเดินเข้าห้องไป ฉันเลยต้องปีนรั้วข้ามออกมาเหมือนเดิม
ฉันเดินกลับบ้านอย่างแปลกใจ
ฉันเดินกลับจนถึงบ้าน บ้านฉันเองก้อเงียบสนิท เหลือแต่เพียงไฟหน้าบ้านที่เปิดไว้รอฉันอยู่เท่านั้น
พ่อกับแม่ก้อคงนอนหลับกันหมดแล้ว.!
ฉันทำใจอยู่สักครู่แล้วเป่าผมตัวเองครั้ง แล้วจึงเอื้อมมือไปเปิดประตู..
แทนที่จะเปิดประตูเข้าไปได้ ประตูบ้านกลับล็อค เวรกรรม จริง-จริง
ทำให้ฉันต้องเป่าผมตัวเองอีกครั้งพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่เลย
ฉันไม่กล้าที่จะเรียกแม่ลงมาเปิดประตูให้เพราะมันดึกมากและคงนอนกันหมดแล้ว
ฉันเลยต้องนั่งลงกองกับพื้นหลังพิงประตูไว้ ขาเหยียดออกทั้งสองข้าง
เอาว่ะ นอนตรงนี้ก้อได้ ฉันได้แต่นึกบ่นในใจ
ก้อเลยหยิบไดอะรี่ของฟ้ามาอ่าน.
ไดอะรี่ของฟ้าเนี้ย..มันเล่มหนามากเลย
ฉันค่อย-ค่อยเปิดอ่านดูหน้าแรกอย่าช้า-ช้า(ไม่ว่านะ)
มันเป็นรูปภาพฉัน..ที่แอบนอนหลับอยู่ในห้องเรียน
ตอนอยู่ม.2ได้มั่ง ฉันดูแล้วแอบยิ้มไม่เป็นท่าเลย
ซ้ำใต้รูปยังเขียนข้อความไว้อีกว่า.เจ้าชายนิทรา (ฉันหัวเราะ)
แล้วก้อกลอนต่อท้าย..
ร้อยเสน่ห์มายา..ไร้สิ้นเสียง
บริสุทธิ์สำเนียง..ช่างอ่อนไหว
หลับตาพัก.ร่อนเล่ห์เสน่ห์ใจ
ไร้เดียงสาแล้วไซร้..ใจของเธอ
ตอนนั้นฉันเองก้อแปลไม่ออกหรอกนะ เพราะไม่รู้เรื่องกลอนเลยจริง-จริง
ได้แต่อ่านไปเรื่อย ลงวันที่ 15 มกราคม 2543
หน้าทัดไปเป็นบทกลอนยาวเหยียด ได้แต่อ่านผ่าน-ผ่านไปเท่านั้นเอง
ฉันหยุดห้าวนอนสักครู่แล้วก้อเปิดอ่านหน้าต่อไป มันมีกระดาษแผ่นหนึ่งตกลงมาจากไดอะรี่
มันพับเป็นรูปหัวใจ พอแกะออกมาดู
มันเป็นกระดาษข้อสอบของฉัน มีเลขศูนย์ตัวใหญ่อยู่บนกระดาษคำตอบ
มันเป็นของวิชาภาษาไทย
เชื่อไหมว่าขนาดภาษาไทยน่ะ ฉันยังสอบได้ศูนย์เลย (ฉันถึงเกลียดเท่าทุกวันนี้เลยไง)
ฉันเลยหวนนึกถึงวันที่ประกาศผลสอบกลางภาคสมัยก่อน
เมื่อครั้งตอนฉันอยู่ ม. 3 ทั้งห้องมีฉันคนเดียวที่สอบตกภาษาไทยแถมยังได้ศูนย์อีกตั้งหาก เพื่อน-เพื่อนต่างหัวเราะกันใหญ่ มันน่าอายเสียจริง-จริง นึกแล้วก้อหัวเราะไม่หยุดเหมือนกัน
ฉันก้อเลยฝากกระดาษคำตอบนี้ไว้กับฟ้าเผื่อว่าเอากลับบ้านไปด้วยคงต้องเจอไม้เรียวร้อยวายแน่-แน่
ฉันไม่นึกว่าฟ้าจะเก็บไว้อยู่อีก.ฉันพลิกดูข้างหลัง..ฟ้าเขียนไว้ว่า
ก้อเพราะไม่อ่านหนังสือ ไม่ตั้งใจฟังอาจารย์สอนนะสิ
เอาแต่แอบนอนในห้องเรียน ได้ไข่ต้มไปกินเลย
ตั้งใจเรียนหน่อยรู้ไหม..ฟ้าห่วงนะ
ฉันยิ้มรับคำห่วงของฟ้าก้อตอนนี้นี่ล่ะเฮ้ย
ลงวันที่ 17 มกราคม 2543
ฉันห้าวนอนขึ้นมาอีกครั้งคราวนี้รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาเสียจริง-จริง
แต่มันยังไงก้ออยากอ่านอีกอยู่ดี
และหน้านี้เป็นต้นไปมันเป็นเรื่องราวของความรักของฉันกับฟ้า
ตั้งแต่เราเริ่มรู้จักกัน ตอนหัวเราชนกันเมื่อครั้งเรียนอยู่ชั้นม.2
เราเรียนรู้ความรักกันมาหลายปีเลยทีเดียว
มีอยู่ครั้งหนึ่งความรักของเราเกือบจะสะบั่นขาดลง เมื่อครั้งเราเรียนอยู่ชั้น ม.5
ตอนนั้นเป็นวันลอยกระทง ทางโรงเรียนส่งฟ้าเข้าประกวดนางนพมาจ
ฟ้าเธอสวยมากจริง-จริง นางนพมาจคนอื่น-อื่นไม่มีใครสวยเท่าเธอเลยสักคน
ฟ้าได้คะแนนกินขาด มีผู้ใหญ่มากหน้าหลายตามาชื่นชมในตัวฟ้าทั้งอาจารย์ เพื่อน-เพื่อน
ฉันเองได้แต่เต้นโหยงเหยงโบกไม้โบกมือและให้กำลังใจฟ้าอยู่ห่าง-ห่าง
แต่แล้วฉันก้อแอบได้ยินเสียงเพื่อน-เพื่อนของฟ้าเขาพูดกัน
ดูสิหมาวัดเห่าแล้วฟ้า
จากอาการตื่นเต้นดีใจ ฉันถึงกับหยุดนิ่ง ทบทวนคำที่ได้ยินมาเมื่อกี้อีกครั้ง หมาวัดเห่าแล้ว
เราเหรอหมาวัด ฉันถามตัวเองพร้อมกับคำตอบของใจที่มันไม่ลังเลเลย
ก้อใช่ เรามันหมาวัด เทียบอะไรกับเธอไม่ได้เลย
เธอเป็นคนของทุกคนเธอไม่ใช่คนของฉัน
จิตใจฉันในตอนนั้นมันยากจะหนีออกไปไกล-ไกล
ฉันจึงออกมาข้างนอกงานแล้วเดินไปยังสะพานที่เดิม
พร้อมกับขวดเหล้า..ที่ฉันไม่เคยกินมันเลย.ฉันเดินโซซัดโซเซไปยังม้านั่งใต้ต้นมะขาม
ฟ้าคงรู้ว่าฉันเป็นอะไร ทำไมไม่เห็นฉันในงาน เธอเลยฝ่าวงล้อมผู้คนที่มาชมเธอ เดินออกมาข้างนอก
ทั้ง-ทั้งที่ฟ้าเองก้อยังใส่ชุดประกวดนั้นอยู่ ฟ้ารีบโบกวินมอเตอร์ไซมายังสะพานทันที
ครั้งนั้นฉันกำลังก้มลงอ้วกด้วยพิษเหล้าอย่างหมดแรง
อยู่ดี-ดีก้อมีคนมาลูบหลังฉัน ฉันรู้ทันทีเลยว่าเป็นใคร
ฉันปัดมือฟ้าออกทันที
มาทำไมไปนะ
คนอย่างเรา.มันไม่คู่ควรกับฟ้าหรอก
ฉันไล่ฟ้า.ถึงกับผลักฟ้าล้มลงกองกับพื้น
ฉันชะงักไปสักครู่ อีกใจหนึ่งมันอยากจะพยุงเธอลุกขึ้นมาแล้วก้อบอกคำว่าขอโทษเสียจริง-จริง
แต่คำว่าหมาวัดนี้สิมันทำให้ฉันไม่ใจอ่อนเลยสักนิด
แถมยังต้องกรอกเหล้าเข้าปากไปอีกอึกใหญ่
ฟ้า..เธอไม่ควรคบฉัน
ฟ้าเข้าใจไหม
ฉันพูดได้ไม่กี่คำก้ออ้วกออกมาอีกครั้ง คราวนี้ฉันหมดแรงนั่งลงกองกับพื้นเลยทีเดียว
ฟ้าเธอเองทั้งร้องไห้ ถามฉันทั้งน้ำตาขึ้นว่า
อิงค์กินเหล้าทำไม
ฉันเองไม่ตอบตรงคำถามนักแล้วยังบอกฟ้าไปอีกว่า
ฟ้า..ถ้าเธอไม่ไปเราไปเอง
ฉันพยายามลุกขึ้น ออกเดินได้ก้าว ฟ้าก้อโผเข้ามากอดฉัน
ไม่ฟ้ารัก.ฟ้ารักอิงค์
ได้ยินมั๊ยฟ้ารักอิงค์
ฉันยืนหยุดนิ่งอยู่พักใหญ่ บริเวณนั้นเงียบสนิทมีแต่เสียงเพลงที่เล็ดลอดออกมาจากงานเท่านั้น
ฉันทบทวนคำพูดของฟ้าอีกครั้ง
แล้วก้อค่อย-ค่อยแกะแขนฟ้าออก
ฉันหันหน้ามามอง..แล้วเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาฟ้าออก
คำว่ารักเก็บไว้ให้คนที่ฟ้ารักดีกว่ามั๊ย
ฉันพูด..ถึงกับคลอน้ำตาเลยทีเดียว
แต่คนที่ฟ้ารัก.ยืนอยู่ตรงหน้าฟ้าแล้ว
ฟ้าตอบฉันด้วยน้ำตาแล้วค่อย-ค่อยซบลงตรงไหล่ฉัน
ก้อเมื่อครั้งนั้นแหละที่ฉันได้ยินคำว่ารักจากปากฟ้า มันเป็นครั้งแรกที่ฟ้าเอ๋ยคำว่ารักให้กับฉัน
ทำให้ฉันเข้าใจอะไรหลาย-หลายอย่างกับความรักที่มันมีทั้งสุขและทุกข์
หากแต่ใครจะทำให้ความรักนั้นให้มีความสุขมากกว่าความทุกข์ก้อเท่านั้นเอง
ต่อจากวันลอยกระทงนั่นมาไม่กี่วัน ฉันเพิ่งรู้ว่าฟ้าเขาโกรธกับเพื่อน ที่ว่าฉันในวันลอยกระทงครั้งนั้น
และไม่คุยกันอีกเลย
ฉันค่อย-ค่อยปิดไดอะรี่ลง หนังตาฉันมันชักหนักขึ้นเรื่อย-เรื่อย
ฉันห้าวนอนอีกครั้งแล้วก้อว่างไดอะรี่ลงที่ตัก
เป่าผมตัวเองอีกครั้งแล้วก้อบ่นในใจว่า ราตรีสวัสดิ์
คืนนี้ช่างหนาวเสียจริง-จริง..มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันนอนอยู่หน้าบ้านอย่างนี้
แต่มันมีบ่อยครั้งมากที่ฉันนอนเพราะฉันชอบกลับบ้านดึกและพ่อต้องมาล็อคบ้านไว้
เพื่อให้ฉันจะได้จดจำไว้ว่าต้องกลับบ้านให้เร็ว.แต่ฉันก้อไม่เคยเลย.ที่จะกลับบ้านก่อนเที่ยงคืน
ฉันเองก้อไม่ได้ไปเที่ยวเตร่ที่ไหนนะ.ฉันชอบไปที่สะพานไปนั่งตรงม้านั่งนั่น
แล้วก้อมองดูแสงดาวที่กระทบกับน้ำดูพระจันทร์เล่นละครกับดวงดาว
เพื่อหาคำตอบว่า มันสวยตรงไหน?
ฉันหลับไปได้สักพัก ก้อเผลอสะดุ้งตื่นขึ้นมา
ทำให้ไดอะรี่ตกลงจากตัก..ฉันหยิบมันขึ้นมาวางไว้ที่ตักเหมือนเดิม
แต่ก้อมีกระดาษแผ่นหนึ่งสอดอยู่ในหน้าสุดท้ายของไดอะรี่มันแลบออกมาฉันเลยดึงมันออกมาดู
มันเป็นกลอนเขียนไว้ว่า
หากดวงตะวันยังขึ้น-ลง
หากฟ้ายังคงไม่เปลี่ยนสี
แค่วันหนึ่ง..หนึ่งพันสี่ร้อยสี่สิบนาที
ต้องมีวันที่.ที่เราได้เจอะเจอกัน
อาการงุนงวยง่วงหลับของฉันหายไปทันทีครั้งอ่านกลอนนี้จบกลอนนี้มันดูทะแมง-ทะแมงชอบกล
ฉันรีบเปิดไปอ่านที่หน้าสุดท้ายทันที
อิงค์.วันนี้ฟ้ามีความสุขมากที่ได้เจออิงค์อีกครั้ง..
อิงค์ก้อยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ..ยิ้มน้อยแต่ก้อยังเอาใจเก่งไม่เปลี่ยน
ฟ้าคงเปลี่ยนไปมากเลยสินะ. ฟ้าขอโทษ
.อืม.ฟ้าอยากบอกว่า..ฟ้ายังมีอิงค์อยู่ในใจเสมอ.ไม่ว่าฟ้าจะอยู่ไหน
อยากให้อิงค์คิดถึงฟ้าบ้างนะ..รักษาตัวด้วยล่ะ
วันใดวันหนึ่งเราคงได้เจอกันเข้าสักวัน.
ลงวันที่วันนี้ 23 มิถุนายน 2546
ฟ้า
ฉันว่างไดอะรี่ลงทันที และไม่รีรอเลยที่จะลุกขึ้นวิ่งไปที่บ้านฟ้า ในใจฉันคิดอยู่อย่างเดียว
ฟ้าจะไปไหน
ฉันรีบวิ่งไปที่บ้านฟ้าทันที ในใจยังคิดกระวนกระวายไปเรื่อย
ถึงบ้านฟ้าเมื่อไหร่ฉันเองยังไม่รู้ตัวเลย บ้านฟ้ายังเงียบสนิท
แต่มีไฟหน้าบ้านเปิดอยู่ ฉันไม่สนใจเลยที่จะกดกริ่งหน้าบ้านด้วยซ้ำ
ฉันกระโดดปีนข้ามรั้วเข้าไปพร้อมเคาะประตูร้องเรียก.
ฟ้า.ฟ้า.ฟ้า
ฟ้าอยู่มั๊ยครับ
มีแม่บ้านคนหนึ่งออกมาเปิดประตู
คุณ.คุณเบา-เบาหน่อย
เสียงบ่นของแม่บ้าน.แล้วก้อตอบฉันทันที
คุณนายกับคุณหนูออกจากบ้านหลังนี้ไปแล้วค่า
ฉันถึงกับทรุดในอก ได้แต่ถามต่อด้วยความไม่แน่ใจ
ฟ้าไปไหนหรือครับ
ไม่ทราบค่ะ.
แม่บ้านพูดจบก้อปิดประตูกลับเข้าไปเหมือนเดิม
ฉันเอง.ก้อยังคิดไปเรื่อยด้วยความหวังลม-ลมแล้ง-แล้ง
ฉันวิ่งไปยังสะพานม้านั่งใต้ต้นมะขาม
แต่ในความมืดมิดยังคงไม่เหลือเงาใครไว้ไม่มีใครเลย
ฟ้าไม่ได้อยู่ที่นี้.และไม่มีใครอยู่นอกจากฉัน..
เกิดคำถามมากมายในตัวฉัน.ที่ฉันไม่รู้ว่าจะตอบมันยังไง
ฟ้าไปไหน.?
ทำไมไม่บอกฉัน..?
จนถึงวันนี้ ฉันยังไม่สามารถหาคำตอบเหล่านี้ให้กับตัวเองได้เลย
และถึงวันนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่าฟ้าไปไหน
ฉันได้แต่นั่งภาวนาให้ฟ้ากลับมายังสะพานม้านั่งใต้ต้นมะขามแห่งนี้อีกครั้ง
ด้วยความหวังที่ว่า.วันใดวันหนึ่งเราคงได้เจอกันเข้าสักวันและฉันจะรอไม่ว่ามันจะนานสักเท่าไร
วันนี้ก้อเหมือนเดิม..ที่สะพานแห่งนี้และม้านั่งใต้ต้นมะขามตัวเดิม
และฉันคนนี้ยังคงมานั่งอ่านไดอะรี่เล่มหนาเล่มนี้ทุกวัน
และยังคงหัดเขียนกลอนที่เธอย้ำนักย้ำหนา..ให้ฉันต่อกลอนของเธอ
เผื่อเอาไว้.จะได้อวดเธอเวลาที่เธอท้วงถาม
แต่จนถึงวันนี้ฉันก้อยังเขียนกลอนไม่เป็นเลยสักที
5 เมษายน 2548 12:15 น.
อิงค์ฟ้า
บ้านของเราเช่าไว้เฉพาะชายโสดอยู่รวมกันล้วนๆ ภายใต้เงื่อนไขที่ใช้บังคับให้ทุกคนต้องเฉลี่ยค่าเช่า, ค่าอาหาร โสหุ้ยอื่นๆ
ตลอดจนแรงงานในอัตราครือๆกัน เพื่อจรรโลงเรือนปั้นหยาสับปะรังเคนั้นให้เป็นโลกลูกน้อยๆ อันอบอ่นที่สุดเท่าที่สามรถจะทำได้
พวกเราหนุ่มๆทุกคน ตละล้วนฝังหัวแน่วแน่ในลัทธิประชาธิปไตย เราเคยคิดกันว่า ในเวลานี้คำว่า Democracy ในการเมืองชักจะ
อ่านออกเสียงให้ฟังเป็น The-most-crazy ไปทุกทีเสียแล้ว จึงมามั่วสุมลงความเห็นกันเป็นเอกฉันท์ว่า ในการบ้านของเรานี้
ลองมาปลุกปล้ำสร้างประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบกันสักตั้งดูทีหรือ และเพราะว่าเราศรัธาแน่วแน่ในอุดมการณ์อันที่ว่า
บ้านชายโสด ของชายโสด โดยชายโสด อันนี้เอง เราจึงอยู่กันสืบมาตราบจนบัดนี้ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขภายในบริเวณเล็กๆของเรา
เราดำเนินการตามระเบียบในระบอบประชาธิปไตยทุกอย่าง ตั้งแต่ระบบเลือกนายกของบ้านเป็นผู้นำทุกๆปี เลือกมนตรีว่าการ
ทำกับข้าว, ว่าการกวาดบ้านและล้างส้วม, ว่าการดายหญ้าที่สนามและล้างท่อน้ำเน่า, ว่าการคลังคือมีหน้าที่เที่ยวทวง และบ้างทีก้อปล้ำเอาเงิน
จากทุกคนมารวมกันจ่ายค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้าทุกๆวันต้นเดือน แต่ละคนของเราต้องมีภาระผูกพันต่อกันและกันทั้งนั้นตามหน้าที่
ซึ่งประชุมใหญ่ออกเสียงลงมติกำหนดมอบหมายให้แต่ละคนต้องช่วยตัวเองและช่วยคนอื่นๆพร้อมกันไปด้วย
การที่เรารู้จักหน้าที่ของตนและเข้าใจในภาระรับผิดชอบต่อความเป็นปึกแผ่นต่อบ้านนนี้เอง ทำให้อาณษจักรน้อยๆ
ของเราไม่เคยเกิดการคอร์รับชั่นขึ้นเลยสักครั้ง แต่ก็มีอยู่บ้างหรอกในบางกรณีที่เราจะต้องคอร์รับชั่นกับคนนอกบ้าน
เป็นตนว่าในยามฐานะการเงินตกต่ำฝืดเคื่อง เราจำต้องแต่งทูตที่ช่างเจรจาออกไปใช้เลห์ลิ้นทำสัมพันธไมตรีกับมหาอำนาจ
ตาชั้นเดียวที่ตั้งร้านขายเครื่องชำอยู่หัวแง่ เพื่อเชื่อเหล้า บุหรี่ กาแฟ และอาหารแห้งๆ มาบรรเทาท้องของประชาชนใน
บ้านชั่วครั้งชั่วคราว ทว่าเราคอร์รับชั่นหรือ? รัฐบาลเองท่านยังเป็นหนี้ต่างประเทศนับร้อยๆล้าน เราแค่กระหยิบมือเดียวเอง
ไฉนจะเป็นหนี้ชนต่างประเทศสักเดือนละห้าหกร้อยบ้างไม่ได้?
ก็เมื่อบูชาประชาธิปไตยโดยสุจริตแท้เช่นนี้ เราจึงมีธรรมนูญของเราขึ้นบ่งระบุสิทธิและหน้าที่ของเราให้ละเอียด
ชัดแจ้งลงไป ธรรมนูญฉบับนี้เรามิได้ขอร้องจากผู้ใด และมิได้ร่างแล้วซ่อนไว้ใต้ภาชนะอะไรให้เป็นเรื่องสัปดน
เราพร้อมใจกันเปิดประชุมและร่างขึ้นเองประกอบด้วยหมวดและมาตราต่างๆ ไม่สั้นเจิ่นเจ่อและไม่ยาวฟุ้งเฟ้อนัก มาตราสำคัญๆมี
อาทิ บ้านชายโสดเป็นอาณาจักรอันแบ่งแยกมิได้แม้จะด้วยอิสตรีก็ตาม และมาตราที่กำหนดอายุสมาชิกภาพไว้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อตาย
ลาออกไปอยู่ที่อื่น และมีเมีย เป็นต้น เพียงเท่านี้ท่านก็คงวาดเค้าได้รางๆแล้วว่าธรรมนูญปกครองของเรามีรูปโฉมไปทางไหน
พูดสั้นๆ ธรรมนูญของเรามิได้เต็มไปด้วยคำมั่นสัญญาซึ่งไพเราะโลมใจ แต่เต็มไปด้วยข้อเท็จจริง
บ้านของเรา ประกอบด้วยสมาชิกชายโสด 7 คน สมุนพระรามปุลลึงค์ 1 ตัว หมาที่ซื่อสัตย์เท่าๆกับความทนอด
อย่างพวกเรามนุษย์ๆ 1 ตัวและนกกระจอกซึ่งมาอาศัยชายคาบ้านป็นเสรีรัฐอีกฝูงหนึ่ง ติดกับพรหมแดนซ้ายของเรา
เป็นคฤหาสน์หลังมโหฬารของท่านผู้ดรเก่าร่ำรวยมหาศาล แต่ขี้เหนียวอย่างจับสังเกตุได้ง่ายนิดเดียวตรงการที่ปล่อยให้คฤหาสน์
นั้นอับเฉาเซาซึมเหมือนป่าดงดิบในดงพระยาเย็น ช่างเป็นสิ่งที่หน้าประหลาดมหัสจรรย์อะไรเช่นนั้น ที่ขณะที่บ้านของเราคลาคล่ำ
ไปด้วยผู้ชายหนุ่มๆ คฤหาสน์ของเจ้าคุณคนนั้นสิ คับคั่งไปด้วยผู้หญิงสาวๆ หน้าขาวปากแดงลานตาไปหมด
พวกคุณเธอดังกล่าวเป็นลูกท่านหลานโตเป็นสาวไล่ๆเลี่ยๆกันของเจ้าคุณเศรษฐี สิ่งที่หน้าพศวงไปกว่านั้นก็คือ
นานๆ ครั้งวันดีคืนดี พวกคุณเธอๆจึงจะออกมาปรากฎกายนวยนาดในที่แจ้งให้เราเห็น คล้ายกับว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่ถูกกักกันอยู่แต่
ในกรงทองของจารีตประเพณีคร่ำครึ ในเวลาเย็นๆเมื่อพวกเรากลับจากงานมาสุมหัวด้วยกัน เราจะเล่นสนุกสนานกลางแสงแดดอ่อน
แบดมินตันบ้าง, ตะกร้อบ้าง, ไล่ปล้ำกันบนผืนหญ้าดกชอุ่มบ้าง เหมือนเด็กเล็กๆ ตามโรงเรียนคินกาเดอร์กาเต็น แต่พวกคุณ
เธอเพื่อนบ้านของเรากลับหมกตัวอยู่ภายในคฤหาสน์ทึบๆ ปิดประตูหน้าต่างเสียจนหมดแทบทุกบานก็ว่าได้ คฤหาสน์ของท่านเจ้าคุณนี้สูง
ตั้งตระหง่านจนพวกคุณเธอสามารถแอบเมียงมองจากชั้นบนเฝ้าดูเรากระโดดเล่นเฮฮากันอย่างเต็มไปด้วยชีวิตชีวาได้ถนัด แต่ข้าพเจ้า
ไม่อาจเดาได้ว่า คุณเธอเหล่านกำลังเกลียดขี้หน้าหรือกำลังอิจฉาเราอยู่ในใจ
ข้าพเจ้าเกือบจะลืมเล่าสิ่งสำคัญไปประการหนึ่ง ครัวของคฤหาสน์หลังนี้อยู่ชิดติดกับรั้วซึ่งห่างจากระเบียงบ้านของเราราว 1 วา
แม่ครัวของท่าเจ้าคุณมักจะทอด หรือปิ้ง หรือปรุงอาหารอันวิเศษล้ำอยู่เสมอ กลิ่นฟุ้งของมันจึงจรุงขจายกรุ่นกรายมาเตะจมูกพวกเรา
จนพากันกลืนน้ำลายเอื้อกๆไม่เว้นวัน ในยามปลายเดือนซึ่งกับข้าวกับปลามื้อเย็นของเรามีได้อย่างมากเพียงน้ำพริกผักต้มและแกงจืดซ้ำซาก
เราต้องมามุงกันแน่นที่ระเบียง ในมือถือชามข้าวและสูดเอากลิ่นอันจรวยชวยชื่นด้วยมนต์ไก่อบบ้าง เนื้อย่างบ้าง พริกขิงบ้าง
จะละเม็ดเจี๋ยน พิราบทอดบ้างเหล่านั้นเข้าไปในจมูกให้สอดคล้องกับจังหวะกลืนน้ำพริกฝืดๆคอ เป็นการช่วยเพิ่มรสโอชาแก่ชิวหาโดย
มิพักต้องซื้อหามาสิ้นเปลือง ยามหิวโหย กลิ่นของกับข้าวราคาแพงประหนึ่งว่าจะซึมซาบอาบเอมเข้าไปในวิญญาณของเราทีเดียว
เสียงน้ำมันที่เดือดฉ่าๆรอบชิ้นไก่หรือปลากะพงช่วยให้กรอบอร่ามนั้นฟังเสนาะดั่งทิพย์ดนตรี
มีอยู่บ้างบางวัน ขณะที่พวกเรามุงกันเสพสูดกลิ่นอันโอชะมูลค่าฟรีเหล่านี้อยู่เพลิน ท่านเจ้าคุณจะโผล่งหน้าออกมาจากหน้าต่าง
ครัวและถมึงตาเข้นมาที่พวกเราทีละคนๆ ด้วยประกาย ถ้าจะกล่าวเป็นวาจาก็คงจะฟังได้ว่า ไป๊-ไปให้พ้น อ้ายพวกโจร! แกกำลังปล้น
ความร่ำรวยและสวัสดิมงคลไปจากฉัน! กลิ่นปลาดุกอุยย่างตัวนี้เป็นสมบัติของฉันเท่านั้น แกไม่มีสิทธิอะไรจะมาสูดมันเข้าไปในท้องกิ่วๆ
ของแก ไป-อ้ายกระยาจก!
แต่ทั้งที่ใช้ชีวิตอยู่กินกันอย่างข้นแค้น พวกเราทุกคนก็ยังเต็มไปด้วยความร่าเริงแจ่มใสและพลานามัยที่แกร่งกำยำเหมือนลำต้น
กิ่งก้านของตะแบก มันเป็นเพราะว่าพวกเรามักออกไปสู่แดดและลมทุกๆวัน บางทียามค่ำเย็นเราจะล้อมวงกันเล่นดนตรี นายจอมเป็นมือไวโอลีน
ที่ไม่เลว เจ้าเชิดคล่องแบนโจ สรัชก็ไม่ใช่ขี้ไก่ในเชิงชักแอกคอร์เดียน อาคมถึงจะเพิ่งหัดจับแซ็กโซโฟน แต่ก็เป่าสวิงพอที่จะโซโลได้เร้าใจ
ข้าพเจ้าถนัดกีตาร์ และอีก 2-3 คนแม้ไม่ประสีประสาในดุริยางคศาสตร์ก็พอจะดีดยูคูลีลีตอดจังหวะกล้อมแกล้มไปกันได้ทุกครั้งที่เราเล่นดนตรี
เรามักจะอยู่ในอารมณ์ที่เหมือนใจลอยลิ่วจากโลกไปสำราญอยู่ ณ ที่หนึ่งซึ่งระริกไปด้วยเสียงสรวลสันต์ของนางไม้ และกลิ่นพิไลของประวาลพฤกษ์
หัวเราะ เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่เรามีอยู่และที่เราหยิ่งภาคภูมิ มันทำให้เห็นความจนเป็นความหวัง, ความหิวเป็นของขบขัน และ
ความแพ้เป็นมานะ จอมเป็นคนช่างหัวเราะ ดูเหมือนเขาเกิดมาเพื่อหัวเราะแท้ๆ และถ้าตายไป หัวเราะก็คงทำริมฝีปากที่ไร้วิญญาณของเขาให้งดงาม
เหมือนกลีบมะลิ บางครั้งเมื่อเขาผิดหวังจากงานกลับมาเขาจะเข้าไปในห้องกลาง ยืนก๋าหน้ากระจกบานใหญ่ ตีหน้าตาแปลกๆ
ยั่วตัวเองไปมา แล้วระเบิดหัวเราะเหมือนได้ดูแชบปรินมาทำตลกอยู่ข้างหน้า พลางวิ่งเข้าห้องโน้นออกห้องนี้แพร่เชื้อโรคหัวเราะของเขาให้ระเบิด
ไปในหมู่พวกเรา
ในความลำเค็ญ เราจะหาความสุขจากการหัวเราะได้โขทีเดียวถ้าเรารู้จักปลุกอารมณ์ขันของเราเป็น เป็นต้นว่า ในวันท้ายๆของ
เดือนวันหนึ่ง ระหว่างที่ทุกคนหน้าแห้งไปตามความแห้งของกระเป๋านั่งจับเจ่ากันอยู่ที่ระเบียงบ้านั้นเอง เจ้าเชิดจะกลับจากงาน
เดินส่ายไหล่อาดๆ ทำข้อกาง ในมือหิ้วห่อใหญ่น่าสงสัยห่อหนึ่งเข้ามาอย่างสง่า
อะไรนะเชิด? ซื้อเสื้อเชิตมาใหม่หรือ? ใครคนหนึ่งถาม
กันลืมบอกพวกแกไป เชิดตอบอย่างไม่สนใจให้ตรงคำถามนัก
ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของกัน เพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อตอนออกจากกระทรวงนี่เอง เลยซื้อเป็ดสองตัวติดมือมาสำหรับฉลองกันตามมีตามเกิด
เฮ้ย ใครเครดิตยังดี วิ่งไปเจรจาเอาโขงร้านอ้ายฮงมาสักขวดปะไร โซดาอย่ากินกันเลย เอาน้ำแข็งตบตูดดีกว่า
แต่- - จอมขัดพลางกลืนน้ำลาย เมื่อเช้าไหนนายว่ามีทรัพย์อยู่สามบาทเท่านั้นยังไง ทำไมตอนเย็นเสือกรวยพอซื้อเป็ดมา
ตั้งสองตัวล่ะหว่า?
อ้ายเชิดโบกไม้โบกมือหัวร่อร่า คนเราเกิดมาไม่ได้มีปากไว้กินข้าวกินเหล้าอย่างเดียวนี่หว่า ถึงคราวจำเป็นมันต้องรู้จักใช้ปาก
ทำหน้าที่ขอหยิบยืมเพ่อนฝูงบ้างซี นายตุลย์-ช่วยไปเอาโขงมาเรวๆทีเถอะ ติดบุหรี่มาสักสามซอง น้ำแข็งก้อนใหญ่ๆสักก้อนด้วย
พอแม่โขง, บุหรี่ และน้ำแข็งมาถึง พวกเราก็รู้สึกไปตามๆกันว่า ลำคอที่ผากเป็นผุยผงเมื่อกี้ชักเริ่มจะมีน้ำลายมาหล่อเลี้ยง
บ้างแล้ว เรามองอย่างไม่กะพริบตาเมื่อเชิดเริ่มแก้ห่อเป็ดในมือ
ห่อถูกเปิดออก อ้ายเวร! แมวดำๆตัวผอมหยองกรอดตัวหนึ่งกระโดดแผล็วออกมา เจ้าเชิดกระโดดตัวลอยตบมือหัวเราะฮ่าๆ
เมื่อเห็นพวกเราพากันยืนตะลึงพรึงเพริดอ้าปากค้างไปตามๆกัน
จอมเป็นคนแรกที่โจนเข้าจะเตะก้นเจ้าเชิด แต่เสือนั่นระวังตัว กลัวประชาทัณฑ์จะเล่นงานอยู่ก่อนแล้วจึงหลบทันแล้ววิ่งปุเลงหนี
ไปรอบๆบ้าน จอมไล่กวดไม่ลดละ พวกเราที่ล้อมวงอยู่ก็หัวเราะเฮฮาติดหมัดกันขึ้นทุกที ความกลัดกลุ้มที่สุ่มเร่าอยู่ในใจเมื่อกี้หายดั่งถูก
ปลอดทิ้งออกไป โลกที่ขุ่นมัวเป็นโคลนตมกลับเต็มไปด้วยสีสันอันเฉิดฉายอีกวาระหนึ่ง
นี้แระคือความสุขของคนจนๆ!
อีกครั้งหนึ่งไม่นานมาเท่าไรนี้ เราถังแตกกันขนาดต้องแบ่งสันปันข้าวเย็นกินกันคนละไม่ถึงครึ่งที่ว่างในกะเพาะ มันเป็นค่ำคืนที่
ทุรนทุรายไปด้วยความโหยแสบใส้ ข้าพเจ้าพยายามเอากีต้าร์ออกมาดีดเพื่อให้ทุกคนสนใจในเพลงจะได้ลืมหิวไปชั่วคราว แต่ดีดไม่กี่นาที
ก็มีเสียงสบถ เสียงคำราม และเสียงถอนหายใจดังขึ้นรอบๆข้าง ตกลงกันเราแยกกันเข้านอนคืนนั้นด้วยอารมณ์ที่อยากจะตะโกนด่าท้องฟ้า
และดวงดาว
ขณะที่เรานอนพลิกกลับกระสับกระส่ายไปมา พยายามข่มตาให้หลับนั่นเอง เราก็ได้ยินเสียงครางเบาๆ ฝ่าความเงียบเข้ามา
ทีแรกเราไม่สนใจ คิดว่าไม่ขรัวไหนก็ขรัวหนึ่งละที่อ่อนแอต่อความหิว กระทั่งร้องให้ไม่รู้จักอายเหมือนเพศที่นุ่งนิวลุค แต่เสียงนั้นยิ่งดังขึ้นทุกที
คล้ายคนกำลังเจ็บหนักจวนสิ้นใจ
จอมลุกขึ้นเปิดไฟและเดินไปที่เจ้าของเสียงในห้องถัดกันไป เป็นอะไรไม่ทราบจ๊ะ พ่อเทวดาอาคม? เขาถามเสียงเขียว
ดันเป่าปี่อยู่ได้ โธ่-เดี๋ยวพอเตะตกเตียง!
โอย-โอยเจ็บเหลือเกิน อาคมคราง
เรา คนอื่นๆจึงลุกขึ้นพร้อมกันขมีขมันไปดูอาการป่วยกะทันหันของเพื่อน จอมถามว่า เจ็บตรงไหน?
ที่ท้องอาคมตอบแผ่วๆ กัน- -อ้า- -กันมีท้อง นี่คงใกล้จะออกลูกเต็มทีแล้ว ช่วยไปตามหมอตำแยที
ออกลูก! มีท้อง! พวกเราร้องอึงขึ้นพร้อมกัน ฮ้า- -ก็นายมันเป็นผู้ชายนี่หว้า ไหงจะดันไปมีท้อง?
จริงๆ....ไม่ใช่พูดเล่น กันตั้งครรภ์มานานแล้ว แต่กันอายเลยปิดพวกแก อาคมสารภาพหน้าเซียว
เรามองดูท้องของเขา จริงๆ น่ะแหละ มันตุ่ยโตออกมาผิดปกติ จอมก้มลงถามว่า มีท้องกับใคร อาคม? กับผู้หญิงหรือผู้ชายว่ะ?
ไม่ได้มีกับพวกแกแน่ๆ อย่าตกใจที่จะต้องเป็นผัวกันเลย เขาตอบพลางเอามือปิดหน้า กันเสียตัวกับคนคนหนึ่ง แต่- -อย่า
เพิ่งรู้เลย กันอายจิงๆ
ทำไมแกรู้ว่าท้องหล่ะ มันอาจปวดท้องก็ได้-อาจหิวเกินไปก็ได้ จอมขัด
ลองเอามือจับดูซี เด็กข้างในกำลังดิ้น จับดูแล้วแกจะได้รู้สึกสักทีเดียว
พวกเราเอามือลูบไล้ไปเบาๆ บนเสื้อตรงหน้าท้องของเขา นรกช่วย! มือของเรารู้สึกว่ามีอะไรสิ่งหนึ่งซึ่งมีชีวิตดิ้นอยู่หน้าท้องนั้นจริงๆ
แล้วมนุษย์ผู้จู่ๆ ก็มีสภาพคล้ายอิลราชา ยันกายอย่างอ่อนโรยขึ้นนั่ง เขาถอดเสื้อออก เปิดให้พวกเราเห็นท้องซึ่งมีผ้าคาดไว้รอบๆ
กันพันไว้แน่นไม่ให้มันป่องออกกมา กันขายหน้า- -! เขาชี้ที่ผ้า และค่อยๆแก้มันออก ยังไม่ทันผ้าจะถูกปลด กบตัวหนึ่งก้อ
กระโจนออกมา ตัวเจ้ามารยาถลันพรวดหนีออกไป
พวกเราบ้างคนถึงกับนอนลงกลิ้งซัดเสียงอหายเพราะความขัน จอมกับอีกสองสามคนไล่กวดรวบตัวอิลราชาสมัยใหม่ไว้ได้
พาแบกขึ้นไหล่เฮกันไปที่สระน้ำหลังบ้าน
แล้วร่างของอาคมก็ถูกโยนลิ่วลงกระทบน้ำในสระดังตูมใหญ่ คืนนั้นเราคิกคักกันไปมาจนดึกไม่รู้สรางขัน เราม่อยหลับไป
พร้อมกับฝันอันงดงาม ไม่มีใครบ่นอุธรณ์ถึงข้าวเย็นกันอีกเลย
หัวเราะนี้แหละเป็นยาขนานวิเศษสำหรับรักษาความทุกข์ของคนจนๆอย่างเรา!
เวลาได้ล่วงผ่านไปพร้อมกับเราสังเกตเห็นว่า คุณเธอสาวๆ เพื่อนบ้านของเรานับวันจะซูบเซียวผ่ายผอมลงทุกที จณะที่เราซึ่งยากจน
กลับกระปรี้กระเปร่าและกระชุ่มกระชวยด้วยชีวิตชีวา หน้าตาพวกเราสดใสและเรื่อด้วยเลือด ขณะที่คุณเธอบ้านนั้นเหลืองและตอบลง
บางครั้งเราได้ยินเสียงไอในตอนกลางคืนดังแว่วมา เริ่มด้วยเจ้าคุณไอโขลกๆ ก่อน ครู่เดียวแทบจะทั้งบ้านก็ไอกันเสียงแหบเสียงแห้งไปตามๆกัน
มันฟังคล้ายเสียงสุนัขที่หอนเยือกเย็นน่าขนลุกดังมาแต่ไกล เรารู้ว่าเพื่อนบ้านในคฤหาสน์ใหญ่เหล่านั้น มิได้ผ่ายผอมซูบซีดลงด้วย
การขาดอาหารแต่อย่างใด เพราะแทบทุกวัน เรายังได้กลิ่นหอมละไมของอาหารร้อนๆ ลอยฟุ้งตลบมาจากครัวของเขาเช่นเดิม
วันหนึ่งเป็นวันปลายเดือน ภาวะเศรษฐกิจของเราทรุดหนักกว่าทุกๆครั้ง ทูตของเราที่ส่งไปเจรจาเปิดสินเชื่อกับมหามิตรร้านหัวมุม
ก็หน้าเหยกลับมาด้วยความล้มเหลว ตกเย็นเราจึงหุงข้าวเปล่าเต็มหม้อแล้วกระเย้อกระแหย่งกันชูคอ สูดกลิ่นอันเรียกน้ำลาย
ให้สอชุ่มลิ้นจากห้องครัวข้างบ้านกันแน่นขนัด ครู่เดรยวท่านเจ้าคุณก็โผล่หน้าออกมาที่หน้าต่าง แสยะปากจ้องพวกเราอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
ทีละคนเป็นเวลานาน จนพวกเราพากันใจเต้นไปตามๆกัน ครั้นแล้วท่านก็ปิดหน้าต่างครัวนั้นกระแทกดังปัง!
แต่อาหารอันโอชารสในครัวเบื้องหลังหน้าต่างปิดสนิทนั้นยังส่งกลิ่นระรวยชวยมาเอื้อเฟื้อพวกเราอย่างช่วยไม่ได้
ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ตำรวจนายหนึ่งก็เดินลงสันปังๆ เข้ามาในบ้านเรา และแจ้งว่าสารวัตรขอเชิญเจ้าบ้านไปยังโรงพักโดยด่วน
ในข้อหาว่าการปล้นสมบัติของท่านเจ้าคุณเจ้าของคฤหาสน์ติดๆ กัน
สมบัติอะไรหว่า? เชิดเกาหัวแกรก ร้องถาม อ้าย - -
อ้าว-คุณอย่าพูดหยาบคายกับเจ้าพนักงานซี ตำรวจขัด ไปโรงพักเถอะ อย่าร่ำไร เจ้าทุกข์เขารออยู่ที่นั่นแล้ว หรือคุณขัดขืนเจ้า
หน้าที่?
เขาทำท่าทางงัดกุญแจมือออกมา จอมร้องว่า ฮะ ทำไมเฮี้ยบนักล่ะ พี่ชาย พวกเราไม่ใช่อาชญากรนา ไป-พวกเรา-ไปโรงพัก!
เมื่อเดินขบวนไปถึงโรงพัก เราก็พบข้อกล่าวหาจากท่านเจ้าคุณว่า พวกเราในบ้านชายโสดได้ทำการปล้นสมบัติส่วนตัวจากบ้านท่าน
มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว!
ท่านสารวัตรเองก็ทำหน้าเหมือนกินกาวผสมเหล้าโรงเข้าไปเหมือนกัน เมื่อโดนแจ้งความอันยากจะเข้าใจอันนี้ แต่ในหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
ท่านจำเป็นต้องเรียกตัวพวกเรามาให้การแก้ข้อกล่าวหาของเจ้าทุกข์ตามระเบียบ
เรานั่งลงบนเก้าอี้ยาวข้างหน้าสารวัตร ถัดเราไปเป็นแถวของเจ้าคุณกับลูกสาวสี่ห้าคนซึ่งล้วนผอมโกโรโกโสเหมือนไม้ไผ่ และเซียว
เหลืองเหมือนไก่ต้ม ทุกๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยของโรคพยาธิและความละเหี่ยระโหยในชีวิต
ว่าไงพวกคุณ - - สารวัตรเปิดฉาก ท่านเจ้าคุณท่านนี้มาแจ้งความว่า พวกคุณทำการขโมยและปล้นสมบัติส่วนตัวจากท่านไป - -
อะไรไม่ทราบครับ สมบัติส่วนตัว? จอมถามงง
เจ้าคุณลุกพรวดเหมือนกับโทสะที่อัดมานานได้ระเบิดขึ้นแล้ว ท่านเชี้หน้าพวกเรา ร้องด้วยเสียงแห้งๆ ว่า อย่ามาทำไก๋ พวกแกนี่
แหละ อ้ายหัวขโมย แกปฏิเสธหรือไม่ปฏิเสธล่ะว่า เวลาที่คนครัวของฉันปรุงอาหาร พวกแกไม่ได้มายืนออใกล้ๆครัว ขโมยเอากลิ่นอาหาร
อันมีค่าของฉันไปหมด
สารวัตรสะดุ้งเหมือนผวาในผันร้าย จอมยิ้มกว้างตอบว่า พวกผมไม่ปฏิเสธครับ ผมรับว่าผมสูดกลิ่นอาหารอันโอชะที่ลอยมา
จากครัวของใต้เท้าเข้าไปในปอดจริงๆ
น่าน! น่าน! เจ้าคุณเต้นเขนเหมือนออกโขน สารวัตร!ฟังซี ผู้ต้องหายอมรับสารภาพแล้ว จดไว้ซี - - แล้วท่านก็หันมา
ทางพวกเรา แกจะปฏิเสธหรือไม่ปฏิเสธว่า ขณะที่ผู้คนในบ้านฉันซึ่งร่ำรวยมั่งคั่งพากันผอมแห้งอมโรคไปตามๆกัน พวกแกที่ยาก ๆ จน ๆ
กลับแข็งแรง มีอานามัยดี เพราะเหตุที่ว่าพวกแกแย่งเอาความสุขไปจากบ้านฉันอย่างอุกอาจ?
ผมไม่ปฏิเสธ จอมตอบ
ท่านสารวัตร เจ้าคุณร้องพลางไอแค็งๆ ผู้ต้องหาสารภาพหมดสิ้นแล้ว จับมันเดี๋ยวนี้
แต่- - ท่านสารวัตรขอรับ จอมลุกขึ้น ก่อนที่จะจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดกับพวกผมลงไป ผมขอพูดกับท่านเจ้าคุณและคุณสาวๆ
เหล่านั้นสักนิดได้ไหม?
ไม่ขัดข้อง สารวัตรตอบสั้น
จอมเดินอย่างผึ่งผายไปหยุดตรงหน้าเจ้าคุณและคุณสาวๆที่ผอมสูบกลุ่มนั้น ท่านกล่าวหาว่าพวกผมขโมยสูดกลิ่นอาหาร
และขโมยความสุขสำราญไปจากบ้านท่าน จนพวกผมคนจนๆ พากันอ้วนท้วนแข็งแรง และพวกท่านเองกลายเป็นกุ้งแห้งลงทุกวันๆ ใช่ไหมครับ?
เจ้าคุณหน้าเขียว สะบัดเสียงว่า ใช่
ถ้าเช่นนั้น พวกผมจได้ชำระชดใช้ค่ากลิ่นอาหารและค่าความสุขคืนแก่เจ้าคุณเดี๋ยวนี้ เขาเดินกลับมาที่พวกเรา พลาง
หยิบหมวกใบหนึ่งหงายขึ้นแบออกมา เอ้าพวกเรา ควักสตางค์ทั้งหมดในกระเป่าใส่ลงไปในหมวกใบนี้
เราทำตามอย่างเดาไม่ถูกว่าจอมจะไปไม้ไหนแต่เราก็ควักธนบัตรบ้าง เศศสตางค์ห้าบาทบ้าง ใส่ลงไปในหมวกใบนั้นทั่วทุกคน
ครั้นแล้วจอมหันไปทางสารวัตรที่เบิ่งตาโพลงมองดูเหตุการณ์อยู่ ท่านสารวัตรผู้ทรงความยุติธรรม ผมได้ปล้นกลิ่นอาหารและขโมย
ความสุขจากบ้านท่านเจ้าคุณจริง แต่ผมจะชำระตอยแทท่านให้ดูเดี๋ยวนี้ โปรดเป็นพยานด้วย
เขาเดินกลับไปที่หมู่เจ้าคุณแล้วเขย่าหมวก เสียงสตางค์ดังกรุ๋งกริ๋งกระทบกันกราวไปหมด เจ้าคุณและคุณสาวๆ แหงนหน้าเอียงฟังเสียงนั้นอย่างงงงวย
จอมถามคุณเธอคนหนึ่งว่า คุณได้ยินแล้วไม่ใช่หรือครับ?
เธอไอสองสามโขลกแล้วจึงพูด ได้ยินอะไรคะ?
เสียงของเงินของผมน่ะซี
ได้ยินค่ะ
ถ้าเช่นนั้น ผมก็ได้ชำระหนี้ค่ากลิ่นอาหารและกลิ่นความสุขให้แก่พวกคุณด้วยเสียงของเงินนี้เรียบร้อยแล้ว
สารวัตรทุบโต๊ะปัง เลิกแล้วกันไป! พวกคุณพ้นข้อหา
พอโขยงของเจ้าคุณพากันยกขึ้นรถยนต์กลับไป สารวัตรที่กลั้นอึดอัดอยู่จนคับอกก็ปล่อยก๊ากออกมาเสียงอหาย
คนเราแม้ยากจนข้นแค้นเพียงไรก็สามารถหาความสุขเลิศล้ำได้จากการหัวเราะทุกเวลานะท่าน!
ชี้แนะด้วยนะฮ่ะ
5 เมษายน 2548 11:52 น.
อิงค์ฟ้า
ร้ อ ง ไ ห้ จ น ไ ม่ มี แ ม้ น้ำ ต า
ชี วิ ต ทำ ไ ห ม เ ห ว่ ว้ า . ไ ด้ เ พี ย ง นี้
แ ค่ ค น ห นึ่ ง ค น เ ค ย รั ก ไ ม่ ใ ย ดี
ชี วิ ต ที่ เ ห ลื อ ที่ มี แ ท บ ข า ด ใ จ
เ ก็ บ ตั ว เ อ ง อ ยู่ ใ น ค ว า ม ป ว ด ป ร่ า
เ ห มื อ น ชี วิ ต ไ ม่ มี ค่ า . . อ ยู่ ไ ม่ ไ ห ว
วั น ผ่ า น วั น แ ต่ ล ะ วั น ที่ ผ่ า น ไ ป
อ ยู่ กั บ ตั ว แ ต่ ไ ม่ มี หั ว ใ จ
แ ล้ ว จ ะ อ ยู่ ไ ด้ อ ย่ า ง ไ ร . . . ถ้ า ไ ม่ มี เ ธ อ
ก ลั บ ม า ไ ด้ ไ ห ม ค น ดี
รู้ ตั ว แ ล้ ว ว่ า รั ก ที่ มี มั น แ ค่ ไ ห น
เ ค ย ผิ ด พ ล า ด เ พ ร า ะ ไ ม่ ส น ใ จ
แ ต่ ไ ม่ ไ ด้ ห ม า ย ค ว า ม ว่ า ไ ม่ รู้ สึ ก อ ะ ไ ร นี่ น า
ก ลั บ ม า เ ถ อ ะ น ะ ค น ดี
พ ร่ำ บ อ ก ตั ว เ อ ง ไ ด้ แ ค่ นี้ แ ต่ ไ ม่ ก ล้ า
ไ ป อ้ อ น ว อ น ง้ อ เ ธ อ คื น ม า
เ พ ร า ะ เ ข้ า ใ จ ว่ า ส า ย ไ ป แ ล้ ว เ ว ล า
จึ ง ไ ด้ แ ต่ ภ า ว น า ข อ ป า ฏิ ห า ร ย์ มี จ ริ ง