12 พฤษภาคม 2548 13:36 น.
อิงค์ฟ้า
เ ยื้ อ ใ ย ใ ห้ เ พี ย ง นิ ด เ ดี ย ว เ ศ ษ เ สี้ ย วยิ่ ง ไ ก ล ห่ า ง
ทิ้งความรู้สึกที่จืดจาง......ไว้ตรงกลางระหว่างใจ
ไม่เคยเลยจะดูแลไม่แม้แต่จะห่วงใย
ว่างความรักให้เป็นไป ตามแต่ใจใครบางคน
อ ย า ก จ ะ เ ดิ น ห่ า ง อ อ ก ม า ป ล่ อ ย ใ ห้ เ ว ล า พ า ห่ า ง อ อ ก ไ ป
ทิ้งทุกอย่างที่นี้ไว้ปล่อยให้หัวใจได้พักพิง
แล้วออกเดินไปตามทางออกไปสร้างสิ่งฝัน
เก็บความรักความผูกพัน.....ใส่หัวใจดวงนั้นให้มีพลังก้าวต่อไป
แ ต่ ค ว า ม รั ก ลื ม ไ ม่ ง่ า ย มั น เ ป็ น สิ่ ง สุ ด ท้ า ย ที่ ค อ ย ต่ อ ล ม ห า ย ใ จ
เหมือนตะกอนที่กักเก็บไว้.......ขุ่นเมื่อใด มันปวดใจเกินจะทน
แล้วยังคิด ถึงเรื่องราว......................ที่ยังร้าวให้สับสน
ให้น้ำตาไหลเอ่อล้น......ปวดใจจนแทบขาดใจ
เ ธ อ ยั ง อ ยู่ ใ น ค ว า ม ท ร ง จำ ที่ ต อ ก ย้ำ ใ ห้ สั บ ส น
เปลี่ยนตัวฉันให้เป็นคนละคน ที่ต้องทนเดินต่อไป
ความรักช่างลืมยาก......แค่ตัวจากแต่ใจใกล้
ต่อให้เธอเดินจากไป.....ความรักที่ให้ไว้กลับใกล้เธอ
8 พฤษภาคม 2548 19:35 น.
อิงค์ฟ้า
ฉันขอต่อลมหายใจอีกสักนิด
ขอเพียงได้ไกล้ชิดกับเธออีกได้ไหม
แม้วันนี้จะห่างกันไกลแสนไกล
เพียงเธอเปิดใจรับฉัน...นั้นก็พอ
ถึงวันนี้ฉันเป็นคนอื่น สำหรับเธอ
แต่เชื่อไหม ใจฉันเผลอคิดถึงเธอทุกเวลา
ความรักและภักดีที่เธอให้มา
อยากบอกว่า ฉันแค่..แพ้ใจตัวเอง..
"กลับมาคืนดีกันอีกสักครั้ง"
ยังจำคำที่เคยขอฉันได้ไหม
หากเธอไม่คิดจะเปลี่ยนใจ
แล้วทำไมจึงกลับไป ไม่เหลียวแล
เคยสัญญารัก รักฉันเพียงคนเดียว
สายตาเธอกลับเหลียว ที่เพื่อนฉัน
จะให้ฉัน เป็นสะพานข้ามก็บอกกัน
โถ่!! ตัวฉัน โง่อยู่ได้ตั้งนาน
ถึงเธอไม่คิดจะจริงจัง
ฉันก็ไม่ขอเหนี่ยวรั้งตัวเธอไว้
ขอเพียงอย่าทิ้งฉันไป
เธอไม่รักยังไง ฉันก็ยอม
5 เมษายน 2548 12:41 น.
อิงค์ฟ้า
ที่บ้านฉัน
เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นเรื่อย-เรื่อย
หากฟังดี-ดีแล้ว..เป็นเสียงของพ่อ
พ่อที่กำลังตะวาดฉัน ตะคอกฉัน อย่างไม่รู้เอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาดุ มาด่าว่าฉัน
และหากหลับตาแล้วฟังฟังดี-ดี
มันเป็นเสียงของแม่.ที่กำลังร้องไห้อยู่ข้าง-ข้างฉัน
ทั้งสองเสียงเริ่มค่อย-ค่อยเบาลง.เบาลง..จนสงบ
หากมีแต่เสียงสะอื้นของฉันที่จมปรักกับคำดุด่าของพ่อ
มันแสนแสบสะท้านไปถึงสุดขั้วหัวใจ
อยากจะต่อต้านคำดุด่าว่านั้นให้พล่านรู้แล้วรู้รอดกันไปเลย
แต่ทำได้เสียที่ไหน.ละ
ฉันเผลอคิดไปซะไกล.ถ้าหากไม่มีเสียงโทรศัพท์มาฉุดรั้งความคิดของฉันไว้
ฉันคงไปถึงดาวอังคารนู้นล่ะ
สวัสดีครับ ฉันรับสาย
อิงค์หรอ..ออกมาหาฟ้าหน่อยสิรอที่สะพานนะ
หากฉันไม่โดนพ่อดุก่อนหน้านั้น.ฉันคงจะยิ้มและตื่นเต้น
ที่จะได้เจอฟ้าอีกครั้งหลังจากที่เราไม่ได้เจอะเจอกันมาเป็นปี
ทิ้งแค่คำสัญญาไว้ว่าเราจะมาพบกันอีกครั้ง ที่นี้ ที่ตรงนี้ ที่-ที่สะพานแห่งความหลัง
ครั้งเราเคยเก็บไว้ในความทรงจำ
ฉันเดินมาจนถึงสะพานเห็นฟ้าเธอรออยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
เราหยุดจ้องมองหน้ากันสักพัก 4ปีแล้วนะที่ฉันไม่ได้เจอะเจอฟ้า
ฟ้าเองก้อยังสวยไม่เปลี่ยนเลย สวยกว่านางฟ้าเสียอีก
แต่แววตาฟ้า..เธอเปลี่ยนไป ฉันยืนหยุดนิ่งอยู่ไม่นาน
ฟ้าก้อวิ่งเข้ามากอดฉันแล้วร้องไห้เหมือนเด็กตัวเล็ก-เล็ก
ที่ทำผิดแล้ววิ่งเข้ามาหาให้ปลอบโยน
ฉันเองก็ไม่รู้จะทำยังไง อยู่ดี-ดีฟ้าก้อร้องไห้
ก้อได้แต่เอื้อมมือไปลูบผมฟ้าแล้วก้อพูดว่า เป็นอะไรไปแม่สาวคนเก่งของฉัน
ที่ปลายสะพานมีต้นมะขาม2ต้นติดกัน
ใต้ต้นมะขามนั้นจะมีม้านั่งทางยาวอยู่1ตัว
ที่-ที่ฉันเคยมานอนหนุนตักฟ้ากับเรื่องราวความฝันที่เราร่วมกันแต่งแต้ม
และวาดหวังไว้ว่า..เราจะมาร่วมกันเดินทาง
กับวันนี้ใต้ต้นมะขามต้นเดิม..ม้านั่งตัวเดิมฉันยังนอนหนุนตักฟ้าเหมือนเดิม
แต่เรื่องราวไม่ใช่ความฝัน หากแต่มันเป็นความจริง
อิงค์เรียนจบแล้วยัง ฟ้าถามฉันด้วยถ้อยเสียงเศร้า
เราโดนไล่ออกมานอนเล่นแล้ว.ฉันตอบแล้วเป่าผมตัวเอง
ฟ้าเธอเงียบไปสักพัก
อยู่-อยู่น้ำตาฟ้าก้อหยดลงมาเปื้อนแก้มไหลลงมาถูกผมฉัน
ฉันลุกขึ้นนั่งทันที
ฟ้าเป็นไร.ฉันถามเสียงอ่อน
ทำไม ไม่เรียนให้จบหล่ะทำไมเหรอ
รู้ไหม.พ่อให้ฟ้าหมั่นแล้วนะ
ฉันสะดุ้งกับคำที่ฟ้าบอก ฟ้าหมั่นแล้ว.. มันเหมือนมีอะไรมาทำให้ฉันต้องหยุดลมหายใจไว้ชั่วขณะ
หูฉันอื้อไปหมด
ฟ้าโผเข้ามากอดฉันทั้งน้ำตา
ฟ้าไม่อยากหมั่นเลย.ฟ้ารัก..ฟ้ารักอิงค์
ฉันรู้สึกใจมันลอยหวิวสั่นสะท้านหวั่นไหว ชาไปหมดทั้งตัว
มันพูดไม่ออกเลยจริง-จริง
ฟ้ากอดตัวฉันแน่นเลยทีเดียว
เราเคยสัญญานะก่อนจะจากกันไปเรียนเราจะรอกันและกัน
แต่วันนี้มันทำให้ฉันถึงกับน้ำตาคลอเลยทีเดียว
ฉันค่อย-ค่อยดันตัวฟ้าออก.แล้วเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่แก้มฟ้า
ฉันได้แต่บอกกับฟ้าว่า .ดีแล้วล่ะ ฟ้าจะได้เจอคนดี-ดีไง
ฉันพูดไม่ค่อยเต็มเสียง กับคำปลอบโยนที่ฉันไม่เต็มใจนัก
แล้วจะมีใครรู้บ้างไหมว่า ความรักของฉันมันเดินทางมาร่วม10ปี ฉันเฝ้ารอความรักนี้มานาน
นานด้วยความหวังที่เรายังรักกัน หากแต่วันนี้10ปีที่ผ่านมา
มันต้องเสียเปล่า แต่ฉันก้อดีใจนะที่เห็นคนที่เรารักได้เจอกับสิ่งดี-ดี นี้มันเป็นสิ่งที่คนรัก
เขาควรทำกัน.ใช่ไหม
แม้จะไม่เต็มใจเลยก้อตามอย่างนั้นหรือ..?
ฉันกลับมานอนที่ตักฟ้าเหมือนเดิมพร้อมกับฟังเรื่องราว
ที่เธอไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ..
ฟ้าเองก้อเรียนไม่จบเหมือนกัน ฟ้าเรียนได้3ปี ก้อต้องออก
เพราะฟ้าเป็นห่วงแม่ ปัญหาเรื่องทางครอบครัว พ่อของฟ้าแต่งงานใหม่
และฟ้าคงจะเสียใจเป็นที่สุดที่โดนพ่อดูถูกสารพัดกับการเรียน ซึ่งฉันเองก้อรู้ซึ้งดี
พ่อของฟ้าเลยให้ฟ้าหมั่นกับ ส.ส.หนุ่มรุ่นใหญ่ที่มีสัตว์เลื้อยคลานบนหัว
ฉันรู้สึกไม่ดีเอาสะเลยอยากจะบอกพ่อของฟ้าเสียจริง-จริงเลยว่า..นี้มันลูกสาวคุณนะ
แต่นั้น ก้อเป็นเพียงความคิดของฉันเท่านั้นเอง
เสียงสะอื้นของฟ้า.มันช่างบาดลึกลงไปสุดขั้วหัวใจฉันเสียจริง-จริง
มันเจ็บนะ..ที่เห็นคนที่เรารักร้องไห้ต่อหน้าเจ็บแค่ไหนใครเคยคงรู้ดี
เย็นแล้ว..เราคุยกันถึงเย็นเลย
พระอาทิตย์ยามตกดินนี้ช่างสวยจริง-จริงเลยนะ
ว่าไหมอิงค์?
ฟ้าถามฉันเสร็จแล้วค่อย-ค่อยแต่งบทกลอนขึ้นมาที่ละนิดให้ฉันฟัง
(ฉันยังจำได้ไม่เคยลืมมันเลย)
แดดล่มห่มฟ้า..ฟากฟ้าหม่น
ได้เยินยลสนธยายามสร่างสาย
เคยสว่างสาดแสงแรงมิวาย
ยังกลับกลายมืดมิดสนิทคืน
ฟ้าบอกให้ฉันต่อกลอนบทนี้แต่ฉันแต่งกลอนเป็นเสียที่ไหนเล่า
เลยบ่ายเบี่ยงไปว่า ไว้อิงค์จะมาต่อให้แล้วกันนะ
ฟ้าจะรอ ฟ้าย้ำฉันเหลือเกิน
นี้เย็นแล้ว..ออกมานานมากแล้วนะ
เดี๋ยวก้อโดนพ่อดุหรอก
ฉันถามฟ้าด้วยความเป็นห่วง
แต่ฟ้ากลับส่ายหน้า
วันนี้อิงค์อยู่ที่นี้เป็นเพื่อนฟ้าได้ไหม ฟ้ายังไม่อยากกลับ
ที่บ้านป่านนี้คงสนุกกับงานเลี้ยง ส.ส.บ้านั้นอยู่มั่ง
ไม่มีใครสนใจฟ้าหรอก
ฉันได้แต่เออออไปกับฟ้า เพราะตัวฉันเองก้อไม่อยากกลับเหมือนกัน
แล้วฟ้าก้อเล่าต่อไปเรื่อย
ไม่รู้สินะฟ้าเล่าอะไรให้ฟังอีก
ฉันเผลอหลับไป
เพราะฤิทธิ์หมอนนุ่ม-นุ่มของฟ้านะสิ ทำให้ฉันเผลอหลับไป
หลับไปนานเลยทีเดียวเลยละ
ฟ้าเลยเอาเส้นผมมาแย่หูบ้างจมูกบ้างแกล้งทำให้ฉันตื่น
ฉันเองก้อได้แต่เอามือมาปัดหน้าปัดตากับอาการละเมอ
พอฉันตื่นก้อได้ยินแต่เสียงฟ้าหัวเราะร่าที่แกล้งให้ฉันตื่นสำเร็จ
อิงค์หลับไปเหรอ ฉันถามยังกับตัวเองไม่ได้หลับ.
พ่อตัวดี.ฟ้าปวดขาแล้วน๊า
คนอะไร.ขี้เซาเสียจริง-จริง นี่2ทุ่มแล้วนา
ฟ้าหิวข้าวแล้ว
ฉันก้อยังนึกอยู่เลยว่าหลับไปได้ไงเนี้ย ไมไม่ปลุกอะ
ก้อฟ้าเห็นนอนหลับปุ๋ยเชียว.ก้อเลยไม่อยากปลุก
ไปกินข้าวกันเถอะ
ตรงข้ามสะพานอีกฟากโน้นไม่ไกลมากนักจะมีร้านมินิมาร์ทอยู่ร้านหนึ่ง
เป็นร้านเล็ก-เล็กแต่ก้อน่ารักไปอีกแบบเปิดตลอด 24 ชม.เชียว
เราสองคนถือถ้วยมาม่าออกมาคนละถ้วยพร้อมน้ำคนละขวดเดินออกจากร้าน
กลับมายังสะพานม้านั่งใต้ต้นมะขามที่เดิม
แสงไฟสลัว-สลัวบนท้องถนนทำให้เห็นแสงดาวที่กระทบน้ำ
เปล่งแสงระยิบระยับทั่วผืนน้ำ..มันสวย สวยมากเลยทีเดียว
คืนนี้สวยมากเลยนะอิงค์
อือ
ฉันตอบอย่างไม่ค่อยสนนักยังตั้งหน้าตั้งตากินมาม่าอย่างอร่อยต่อ
เอาอีกไหม..ของฟ้ายังเยอะเลย
ฟ้าอิ่มแล้วล่ะ
ฟ้าขยั้นขะยอให้ฉันกินอีก
ฉันแอบยิ้มอยู่นิด-นิดแล้วพูดแกล้งฟ้าไปว่า
ป้อนอิงค์หน่อยสิ.อิงค์ยังไม่อิ่มเลย
ไม่รู้สินะฉันนึกอะไรขึ้นมา..อยู่-อยู่ก้อบอกให้ฟ้าป้อนยังกับเด็ก
แต่ฟ้าก้อป้อนนะเธอยังแอบยิ้มอยู่เลย
(รอยยิ้มภาพนั้น ยังคงอยู่ในความทรงจำฉันตราบเท่าวันนี้เลย)
ฟ้าป้อนคำ ฉันก้อบ่นไปคำ
คำนี้หวานไป
คำนี้เค็มไป
จนเธอหัวเราะ.หาว่าฉันบ้าไปแล้ว ถ้วยเดียวแท้-แท้จะมีหลายรสชาติได้ไง
แต่ฉันเองดีใจนะที่เห็นเธอหัวเราะร่า ถึงฉันจะเป็นคนบ้าก้อตามทีเถอะ
อ่าอิ่มจัง
ฟ้าป้อนเนี้ย..อร่อยไม่ใช่เล่นเลยนะ
ไว้วันหน้าจะให้ฟ้าป้อนละ
ฉันพูดล้อพลางยิ้มให้กับฟ้า
ฟ้ายิ้มตอบ..แล้วค่อย-ค่อยลุกขึ้นเดินไปยังลิ่มตลิ่ง.เธอหยุดนิ่งมองอยู่นาน
แล้วก้อแต่งกลอนอีกครั้ง
ดวงดาราร่าระริกระรี่
กระทบนทีสว่างไสว
จันทร์จ้าวงาม.บนฟากฟ้าไกล
กระทบใจ..หวั่นไหวเหลือเกิน
วันหน้า.อิงค์คงไม่เจอฟ้าแล้วล่ะ
เสียงห้วน-ห้วนของฟ้าหลังแต่งกลอนจบ
ฉันเองฟังไม่ค่อยถนัดนักแต่ก้อพอจับใจความได้
ทำไมละ
ฉันถามพลันลุกขึ้น
แล้วค่อย-ค่อยเดินไปโอบกอดฟ้าทางด้านหลัง
แล้วกระซิบเบา-เบา
จะไม่มีใครพรากฟ้าไปจากอิงค์อีกแล้ว
สายลมหนาวพัดหวน แสงดาวส่องแสงวาววับ พระจันทร์ลอยเด่นสง่าเต็มดวง
ทำให้ฉันกอดฟ้าแน่น........อย่างอบอุ่นมันเป็นคืนที่ฉันมีความสุขมาก
มีความสุขมากจริง-จริง
ดึกมากแล้วเราจูงมือเดินกันกลับจนถึงหน้าบ้านฟ้า
ฝันดีนะ
เสียงฟ้าลาฉันก่อนเดินเข้าบ้านไป
แต่ก่อนฉันเดินกลับ.ฉันแอบได้ยินเสียงพ่อของฟ้าตะโกนเถียงกับแม่ของฟ้า
เสียงข้าวของล้นแตกเป็นครั้งคราวและเสียงร้องไห้เสียงร้องไห้แม่ของฟ้า
ใจฉันสั่น.หวั่น-หวั่นว่าฟ้าจะเป็นยังไง
ก่อนเดินห่างออกไปฉันถึงกับถอนหายใจไปเฮือกหนึ่งแล้วถึงก้าวเดินกลับ
สองเท้าก้าวเดินกลับบ้านได้ไม่นาน ในใจฉันกลับกระวนกระวายเป็นห่วงฟ้ามาก
ฉันเลยโทรศัพท์ไปหาฟ้า..แต่โทรศัพท์ฟ้านะสิปิดเสียแล้ว
ฉันเดินมาเรื่อย แต่ใจก้ออดเป็นห่วงฟ้าไม่ได้อยู่ดี ฉันตัดสินใจกลับไปยังบ้านฟ้าอีกครั้ง
คราวนี้ที่บ้านฟ้ากลับเงียบสะงัด ไฟทุกดวงกลับปิดสนิท เว้นเสียแต่ที่ห้องของฟ้ายังมีแสงไฟสลัว-สลัว
เปิดทิ้งอยู่ ฉันเลยแอบปีนรั้วเข้าไปข้างใน ห้องของฟ้าอยู่ชั้นล่างยังมีหน้าต่างเปิดทิ้งไว้
ฉันเลยเรียกฟ้าเบา-เบา..ฟ้า..ฟ้า นอนแล้วยัง นี้อิงค์เองนะ
ไฟห้องฟ้าเปิดสว่างขึ้น ฟ้าชะโงกออกมาดูตามเสียงฉัน
อ้าวอิงค์เองเหรอ ยังไม่กลับบ้านอีก
ก้ออิงค์เป็นห่วง.ไม่เป็นไรก้อดีแล้ว อิงค์กลับล่ะ ฉันลาฟ้าไปง่าย-ง่าย
เดี๋ยวสิ.! ฟ้ารีบเปิดประตูออกมาข้างนอกพร้อมหยิบของสิ่งหนึ่งติดมือมา
อ่ะฟ้าให้อิงค์
ก้อว่าจะให้อิงค์อ่านนานแล้วล่ะแต่ก้อลืมทุกที
มันเป็นไดอะรี่เล่มหนา-หนาหน้าปกเขียนเป็นกลอนว่า หากฟ้ายังแอบอิง คนพักพิงก้อคือฉัน
เก็บไว้อ่านนะ ฟ้าไม่อยู่อิงค์จะได้คิดถึงฟ้าไง
เอาละกลับบ้านได้แล้ว
ฟ้าพูดจบก้อจับหมุนตัวฉันหันหลัง.เอามือค้ำไหล่แล้วดันตัวฉันเดินไปข้างหน้า
มายังไงก้อกลับอย่างนั้นและ
ฟ้าพูดพลางยิ้มแล้วเดินเข้าห้องไป ฉันเลยต้องปีนรั้วข้ามออกมาเหมือนเดิม
ฉันเดินกลับบ้านอย่างแปลกใจ
ฉันเดินกลับจนถึงบ้าน บ้านฉันเองก้อเงียบสนิท เหลือแต่เพียงไฟหน้าบ้านที่เปิดไว้รอฉันอยู่เท่านั้น
พ่อกับแม่ก้อคงนอนหลับกันหมดแล้ว.!
ฉันทำใจอยู่สักครู่แล้วเป่าผมตัวเองครั้ง แล้วจึงเอื้อมมือไปเปิดประตู..
แทนที่จะเปิดประตูเข้าไปได้ ประตูบ้านกลับล็อค เวรกรรม จริง-จริง
ทำให้ฉันต้องเป่าผมตัวเองอีกครั้งพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่เลย
ฉันไม่กล้าที่จะเรียกแม่ลงมาเปิดประตูให้เพราะมันดึกมากและคงนอนกันหมดแล้ว
ฉันเลยต้องนั่งลงกองกับพื้นหลังพิงประตูไว้ ขาเหยียดออกทั้งสองข้าง
เอาว่ะ นอนตรงนี้ก้อได้ ฉันได้แต่นึกบ่นในใจ
ก้อเลยหยิบไดอะรี่ของฟ้ามาอ่าน.
ไดอะรี่ของฟ้าเนี้ย..มันเล่มหนามากเลย
ฉันค่อย-ค่อยเปิดอ่านดูหน้าแรกอย่าช้า-ช้า(ไม่ว่านะ)
มันเป็นรูปภาพฉัน..ที่แอบนอนหลับอยู่ในห้องเรียน
ตอนอยู่ม.2ได้มั่ง ฉันดูแล้วแอบยิ้มไม่เป็นท่าเลย
ซ้ำใต้รูปยังเขียนข้อความไว้อีกว่า.เจ้าชายนิทรา (ฉันหัวเราะ)
แล้วก้อกลอนต่อท้าย..
ร้อยเสน่ห์มายา..ไร้สิ้นเสียง
บริสุทธิ์สำเนียง..ช่างอ่อนไหว
หลับตาพัก.ร่อนเล่ห์เสน่ห์ใจ
ไร้เดียงสาแล้วไซร้..ใจของเธอ
ตอนนั้นฉันเองก้อแปลไม่ออกหรอกนะ เพราะไม่รู้เรื่องกลอนเลยจริง-จริง
ได้แต่อ่านไปเรื่อย ลงวันที่ 15 มกราคม 2543
หน้าทัดไปเป็นบทกลอนยาวเหยียด ได้แต่อ่านผ่าน-ผ่านไปเท่านั้นเอง
ฉันหยุดห้าวนอนสักครู่แล้วก้อเปิดอ่านหน้าต่อไป มันมีกระดาษแผ่นหนึ่งตกลงมาจากไดอะรี่
มันพับเป็นรูปหัวใจ พอแกะออกมาดู
มันเป็นกระดาษข้อสอบของฉัน มีเลขศูนย์ตัวใหญ่อยู่บนกระดาษคำตอบ
มันเป็นของวิชาภาษาไทย
เชื่อไหมว่าขนาดภาษาไทยน่ะ ฉันยังสอบได้ศูนย์เลย (ฉันถึงเกลียดเท่าทุกวันนี้เลยไง)
ฉันเลยหวนนึกถึงวันที่ประกาศผลสอบกลางภาคสมัยก่อน
เมื่อครั้งตอนฉันอยู่ ม. 3 ทั้งห้องมีฉันคนเดียวที่สอบตกภาษาไทยแถมยังได้ศูนย์อีกตั้งหาก เพื่อน-เพื่อนต่างหัวเราะกันใหญ่ มันน่าอายเสียจริง-จริง นึกแล้วก้อหัวเราะไม่หยุดเหมือนกัน
ฉันก้อเลยฝากกระดาษคำตอบนี้ไว้กับฟ้าเผื่อว่าเอากลับบ้านไปด้วยคงต้องเจอไม้เรียวร้อยวายแน่-แน่
ฉันไม่นึกว่าฟ้าจะเก็บไว้อยู่อีก.ฉันพลิกดูข้างหลัง..ฟ้าเขียนไว้ว่า
ก้อเพราะไม่อ่านหนังสือ ไม่ตั้งใจฟังอาจารย์สอนนะสิ
เอาแต่แอบนอนในห้องเรียน ได้ไข่ต้มไปกินเลย
ตั้งใจเรียนหน่อยรู้ไหม..ฟ้าห่วงนะ
ฉันยิ้มรับคำห่วงของฟ้าก้อตอนนี้นี่ล่ะเฮ้ย
ลงวันที่ 17 มกราคม 2543
ฉันห้าวนอนขึ้นมาอีกครั้งคราวนี้รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาเสียจริง-จริง
แต่มันยังไงก้ออยากอ่านอีกอยู่ดี
และหน้านี้เป็นต้นไปมันเป็นเรื่องราวของความรักของฉันกับฟ้า
ตั้งแต่เราเริ่มรู้จักกัน ตอนหัวเราชนกันเมื่อครั้งเรียนอยู่ชั้นม.2
เราเรียนรู้ความรักกันมาหลายปีเลยทีเดียว
มีอยู่ครั้งหนึ่งความรักของเราเกือบจะสะบั่นขาดลง เมื่อครั้งเราเรียนอยู่ชั้น ม.5
ตอนนั้นเป็นวันลอยกระทง ทางโรงเรียนส่งฟ้าเข้าประกวดนางนพมาจ
ฟ้าเธอสวยมากจริง-จริง นางนพมาจคนอื่น-อื่นไม่มีใครสวยเท่าเธอเลยสักคน
ฟ้าได้คะแนนกินขาด มีผู้ใหญ่มากหน้าหลายตามาชื่นชมในตัวฟ้าทั้งอาจารย์ เพื่อน-เพื่อน
ฉันเองได้แต่เต้นโหยงเหยงโบกไม้โบกมือและให้กำลังใจฟ้าอยู่ห่าง-ห่าง
แต่แล้วฉันก้อแอบได้ยินเสียงเพื่อน-เพื่อนของฟ้าเขาพูดกัน
ดูสิหมาวัดเห่าแล้วฟ้า
จากอาการตื่นเต้นดีใจ ฉันถึงกับหยุดนิ่ง ทบทวนคำที่ได้ยินมาเมื่อกี้อีกครั้ง หมาวัดเห่าแล้ว
เราเหรอหมาวัด ฉันถามตัวเองพร้อมกับคำตอบของใจที่มันไม่ลังเลเลย
ก้อใช่ เรามันหมาวัด เทียบอะไรกับเธอไม่ได้เลย
เธอเป็นคนของทุกคนเธอไม่ใช่คนของฉัน
จิตใจฉันในตอนนั้นมันยากจะหนีออกไปไกล-ไกล
ฉันจึงออกมาข้างนอกงานแล้วเดินไปยังสะพานที่เดิม
พร้อมกับขวดเหล้า..ที่ฉันไม่เคยกินมันเลย.ฉันเดินโซซัดโซเซไปยังม้านั่งใต้ต้นมะขาม
ฟ้าคงรู้ว่าฉันเป็นอะไร ทำไมไม่เห็นฉันในงาน เธอเลยฝ่าวงล้อมผู้คนที่มาชมเธอ เดินออกมาข้างนอก
ทั้ง-ทั้งที่ฟ้าเองก้อยังใส่ชุดประกวดนั้นอยู่ ฟ้ารีบโบกวินมอเตอร์ไซมายังสะพานทันที
ครั้งนั้นฉันกำลังก้มลงอ้วกด้วยพิษเหล้าอย่างหมดแรง
อยู่ดี-ดีก้อมีคนมาลูบหลังฉัน ฉันรู้ทันทีเลยว่าเป็นใคร
ฉันปัดมือฟ้าออกทันที
มาทำไมไปนะ
คนอย่างเรา.มันไม่คู่ควรกับฟ้าหรอก
ฉันไล่ฟ้า.ถึงกับผลักฟ้าล้มลงกองกับพื้น
ฉันชะงักไปสักครู่ อีกใจหนึ่งมันอยากจะพยุงเธอลุกขึ้นมาแล้วก้อบอกคำว่าขอโทษเสียจริง-จริง
แต่คำว่าหมาวัดนี้สิมันทำให้ฉันไม่ใจอ่อนเลยสักนิด
แถมยังต้องกรอกเหล้าเข้าปากไปอีกอึกใหญ่
ฟ้า..เธอไม่ควรคบฉัน
ฟ้าเข้าใจไหม
ฉันพูดได้ไม่กี่คำก้ออ้วกออกมาอีกครั้ง คราวนี้ฉันหมดแรงนั่งลงกองกับพื้นเลยทีเดียว
ฟ้าเธอเองทั้งร้องไห้ ถามฉันทั้งน้ำตาขึ้นว่า
อิงค์กินเหล้าทำไม
ฉันเองไม่ตอบตรงคำถามนักแล้วยังบอกฟ้าไปอีกว่า
ฟ้า..ถ้าเธอไม่ไปเราไปเอง
ฉันพยายามลุกขึ้น ออกเดินได้ก้าว ฟ้าก้อโผเข้ามากอดฉัน
ไม่ฟ้ารัก.ฟ้ารักอิงค์
ได้ยินมั๊ยฟ้ารักอิงค์
ฉันยืนหยุดนิ่งอยู่พักใหญ่ บริเวณนั้นเงียบสนิทมีแต่เสียงเพลงที่เล็ดลอดออกมาจากงานเท่านั้น
ฉันทบทวนคำพูดของฟ้าอีกครั้ง
แล้วก้อค่อย-ค่อยแกะแขนฟ้าออก
ฉันหันหน้ามามอง..แล้วเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาฟ้าออก
คำว่ารักเก็บไว้ให้คนที่ฟ้ารักดีกว่ามั๊ย
ฉันพูด..ถึงกับคลอน้ำตาเลยทีเดียว
แต่คนที่ฟ้ารัก.ยืนอยู่ตรงหน้าฟ้าแล้ว
ฟ้าตอบฉันด้วยน้ำตาแล้วค่อย-ค่อยซบลงตรงไหล่ฉัน
ก้อเมื่อครั้งนั้นแหละที่ฉันได้ยินคำว่ารักจากปากฟ้า มันเป็นครั้งแรกที่ฟ้าเอ๋ยคำว่ารักให้กับฉัน
ทำให้ฉันเข้าใจอะไรหลาย-หลายอย่างกับความรักที่มันมีทั้งสุขและทุกข์
หากแต่ใครจะทำให้ความรักนั้นให้มีความสุขมากกว่าความทุกข์ก้อเท่านั้นเอง
ต่อจากวันลอยกระทงนั่นมาไม่กี่วัน ฉันเพิ่งรู้ว่าฟ้าเขาโกรธกับเพื่อน ที่ว่าฉันในวันลอยกระทงครั้งนั้น
และไม่คุยกันอีกเลย
ฉันค่อย-ค่อยปิดไดอะรี่ลง หนังตาฉันมันชักหนักขึ้นเรื่อย-เรื่อย
ฉันห้าวนอนอีกครั้งแล้วก้อว่างไดอะรี่ลงที่ตัก
เป่าผมตัวเองอีกครั้งแล้วก้อบ่นในใจว่า ราตรีสวัสดิ์
คืนนี้ช่างหนาวเสียจริง-จริง..มันไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันนอนอยู่หน้าบ้านอย่างนี้
แต่มันมีบ่อยครั้งมากที่ฉันนอนเพราะฉันชอบกลับบ้านดึกและพ่อต้องมาล็อคบ้านไว้
เพื่อให้ฉันจะได้จดจำไว้ว่าต้องกลับบ้านให้เร็ว.แต่ฉันก้อไม่เคยเลย.ที่จะกลับบ้านก่อนเที่ยงคืน
ฉันเองก้อไม่ได้ไปเที่ยวเตร่ที่ไหนนะ.ฉันชอบไปที่สะพานไปนั่งตรงม้านั่งนั่น
แล้วก้อมองดูแสงดาวที่กระทบกับน้ำดูพระจันทร์เล่นละครกับดวงดาว
เพื่อหาคำตอบว่า มันสวยตรงไหน?
ฉันหลับไปได้สักพัก ก้อเผลอสะดุ้งตื่นขึ้นมา
ทำให้ไดอะรี่ตกลงจากตัก..ฉันหยิบมันขึ้นมาวางไว้ที่ตักเหมือนเดิม
แต่ก้อมีกระดาษแผ่นหนึ่งสอดอยู่ในหน้าสุดท้ายของไดอะรี่มันแลบออกมาฉันเลยดึงมันออกมาดู
มันเป็นกลอนเขียนไว้ว่า
หากดวงตะวันยังขึ้น-ลง
หากฟ้ายังคงไม่เปลี่ยนสี
แค่วันหนึ่ง..หนึ่งพันสี่ร้อยสี่สิบนาที
ต้องมีวันที่.ที่เราได้เจอะเจอกัน
อาการงุนงวยง่วงหลับของฉันหายไปทันทีครั้งอ่านกลอนนี้จบกลอนนี้มันดูทะแมง-ทะแมงชอบกล
ฉันรีบเปิดไปอ่านที่หน้าสุดท้ายทันที
อิงค์.วันนี้ฟ้ามีความสุขมากที่ได้เจออิงค์อีกครั้ง..
อิงค์ก้อยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ..ยิ้มน้อยแต่ก้อยังเอาใจเก่งไม่เปลี่ยน
ฟ้าคงเปลี่ยนไปมากเลยสินะ. ฟ้าขอโทษ
.อืม.ฟ้าอยากบอกว่า..ฟ้ายังมีอิงค์อยู่ในใจเสมอ.ไม่ว่าฟ้าจะอยู่ไหน
อยากให้อิงค์คิดถึงฟ้าบ้างนะ..รักษาตัวด้วยล่ะ
วันใดวันหนึ่งเราคงได้เจอกันเข้าสักวัน.
ลงวันที่วันนี้ 23 มิถุนายน 2546
ฟ้า
ฉันว่างไดอะรี่ลงทันที และไม่รีรอเลยที่จะลุกขึ้นวิ่งไปที่บ้านฟ้า ในใจฉันคิดอยู่อย่างเดียว
ฟ้าจะไปไหน
ฉันรีบวิ่งไปที่บ้านฟ้าทันที ในใจยังคิดกระวนกระวายไปเรื่อย
ถึงบ้านฟ้าเมื่อไหร่ฉันเองยังไม่รู้ตัวเลย บ้านฟ้ายังเงียบสนิท
แต่มีไฟหน้าบ้านเปิดอยู่ ฉันไม่สนใจเลยที่จะกดกริ่งหน้าบ้านด้วยซ้ำ
ฉันกระโดดปีนข้ามรั้วเข้าไปพร้อมเคาะประตูร้องเรียก.
ฟ้า.ฟ้า.ฟ้า
ฟ้าอยู่มั๊ยครับ
มีแม่บ้านคนหนึ่งออกมาเปิดประตู
คุณ.คุณเบา-เบาหน่อย
เสียงบ่นของแม่บ้าน.แล้วก้อตอบฉันทันที
คุณนายกับคุณหนูออกจากบ้านหลังนี้ไปแล้วค่า
ฉันถึงกับทรุดในอก ได้แต่ถามต่อด้วยความไม่แน่ใจ
ฟ้าไปไหนหรือครับ
ไม่ทราบค่ะ.
แม่บ้านพูดจบก้อปิดประตูกลับเข้าไปเหมือนเดิม
ฉันเอง.ก้อยังคิดไปเรื่อยด้วยความหวังลม-ลมแล้ง-แล้ง
ฉันวิ่งไปยังสะพานม้านั่งใต้ต้นมะขาม
แต่ในความมืดมิดยังคงไม่เหลือเงาใครไว้ไม่มีใครเลย
ฟ้าไม่ได้อยู่ที่นี้.และไม่มีใครอยู่นอกจากฉัน..
เกิดคำถามมากมายในตัวฉัน.ที่ฉันไม่รู้ว่าจะตอบมันยังไง
ฟ้าไปไหน.?
ทำไมไม่บอกฉัน..?
จนถึงวันนี้ ฉันยังไม่สามารถหาคำตอบเหล่านี้ให้กับตัวเองได้เลย
และถึงวันนี้ฉันยังไม่รู้เลยว่าฟ้าไปไหน
ฉันได้แต่นั่งภาวนาให้ฟ้ากลับมายังสะพานม้านั่งใต้ต้นมะขามแห่งนี้อีกครั้ง
ด้วยความหวังที่ว่า.วันใดวันหนึ่งเราคงได้เจอกันเข้าสักวันและฉันจะรอไม่ว่ามันจะนานสักเท่าไร
วันนี้ก้อเหมือนเดิม..ที่สะพานแห่งนี้และม้านั่งใต้ต้นมะขามตัวเดิม
และฉันคนนี้ยังคงมานั่งอ่านไดอะรี่เล่มหนาเล่มนี้ทุกวัน
และยังคงหัดเขียนกลอนที่เธอย้ำนักย้ำหนา..ให้ฉันต่อกลอนของเธอ
เผื่อเอาไว้.จะได้อวดเธอเวลาที่เธอท้วงถาม
แต่จนถึงวันนี้ฉันก้อยังเขียนกลอนไม่เป็นเลยสักที
5 เมษายน 2548 12:15 น.
อิงค์ฟ้า
บ้านของเราเช่าไว้เฉพาะชายโสดอยู่รวมกันล้วนๆ ภายใต้เงื่อนไขที่ใช้บังคับให้ทุกคนต้องเฉลี่ยค่าเช่า, ค่าอาหาร โสหุ้ยอื่นๆ
ตลอดจนแรงงานในอัตราครือๆกัน เพื่อจรรโลงเรือนปั้นหยาสับปะรังเคนั้นให้เป็นโลกลูกน้อยๆ อันอบอ่นที่สุดเท่าที่สามรถจะทำได้
พวกเราหนุ่มๆทุกคน ตละล้วนฝังหัวแน่วแน่ในลัทธิประชาธิปไตย เราเคยคิดกันว่า ในเวลานี้คำว่า Democracy ในการเมืองชักจะ
อ่านออกเสียงให้ฟังเป็น The-most-crazy ไปทุกทีเสียแล้ว จึงมามั่วสุมลงความเห็นกันเป็นเอกฉันท์ว่า ในการบ้านของเรานี้
ลองมาปลุกปล้ำสร้างประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบกันสักตั้งดูทีหรือ และเพราะว่าเราศรัธาแน่วแน่ในอุดมการณ์อันที่ว่า
บ้านชายโสด ของชายโสด โดยชายโสด อันนี้เอง เราจึงอยู่กันสืบมาตราบจนบัดนี้ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขภายในบริเวณเล็กๆของเรา
เราดำเนินการตามระเบียบในระบอบประชาธิปไตยทุกอย่าง ตั้งแต่ระบบเลือกนายกของบ้านเป็นผู้นำทุกๆปี เลือกมนตรีว่าการ
ทำกับข้าว, ว่าการกวาดบ้านและล้างส้วม, ว่าการดายหญ้าที่สนามและล้างท่อน้ำเน่า, ว่าการคลังคือมีหน้าที่เที่ยวทวง และบ้างทีก้อปล้ำเอาเงิน
จากทุกคนมารวมกันจ่ายค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้าทุกๆวันต้นเดือน แต่ละคนของเราต้องมีภาระผูกพันต่อกันและกันทั้งนั้นตามหน้าที่
ซึ่งประชุมใหญ่ออกเสียงลงมติกำหนดมอบหมายให้แต่ละคนต้องช่วยตัวเองและช่วยคนอื่นๆพร้อมกันไปด้วย
การที่เรารู้จักหน้าที่ของตนและเข้าใจในภาระรับผิดชอบต่อความเป็นปึกแผ่นต่อบ้านนนี้เอง ทำให้อาณษจักรน้อยๆ
ของเราไม่เคยเกิดการคอร์รับชั่นขึ้นเลยสักครั้ง แต่ก็มีอยู่บ้างหรอกในบางกรณีที่เราจะต้องคอร์รับชั่นกับคนนอกบ้าน
เป็นตนว่าในยามฐานะการเงินตกต่ำฝืดเคื่อง เราจำต้องแต่งทูตที่ช่างเจรจาออกไปใช้เลห์ลิ้นทำสัมพันธไมตรีกับมหาอำนาจ
ตาชั้นเดียวที่ตั้งร้านขายเครื่องชำอยู่หัวแง่ เพื่อเชื่อเหล้า บุหรี่ กาแฟ และอาหารแห้งๆ มาบรรเทาท้องของประชาชนใน
บ้านชั่วครั้งชั่วคราว ทว่าเราคอร์รับชั่นหรือ? รัฐบาลเองท่านยังเป็นหนี้ต่างประเทศนับร้อยๆล้าน เราแค่กระหยิบมือเดียวเอง
ไฉนจะเป็นหนี้ชนต่างประเทศสักเดือนละห้าหกร้อยบ้างไม่ได้?
ก็เมื่อบูชาประชาธิปไตยโดยสุจริตแท้เช่นนี้ เราจึงมีธรรมนูญของเราขึ้นบ่งระบุสิทธิและหน้าที่ของเราให้ละเอียด
ชัดแจ้งลงไป ธรรมนูญฉบับนี้เรามิได้ขอร้องจากผู้ใด และมิได้ร่างแล้วซ่อนไว้ใต้ภาชนะอะไรให้เป็นเรื่องสัปดน
เราพร้อมใจกันเปิดประชุมและร่างขึ้นเองประกอบด้วยหมวดและมาตราต่างๆ ไม่สั้นเจิ่นเจ่อและไม่ยาวฟุ้งเฟ้อนัก มาตราสำคัญๆมี
อาทิ บ้านชายโสดเป็นอาณาจักรอันแบ่งแยกมิได้แม้จะด้วยอิสตรีก็ตาม และมาตราที่กำหนดอายุสมาชิกภาพไว้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อตาย
ลาออกไปอยู่ที่อื่น และมีเมีย เป็นต้น เพียงเท่านี้ท่านก็คงวาดเค้าได้รางๆแล้วว่าธรรมนูญปกครองของเรามีรูปโฉมไปทางไหน
พูดสั้นๆ ธรรมนูญของเรามิได้เต็มไปด้วยคำมั่นสัญญาซึ่งไพเราะโลมใจ แต่เต็มไปด้วยข้อเท็จจริง
บ้านของเรา ประกอบด้วยสมาชิกชายโสด 7 คน สมุนพระรามปุลลึงค์ 1 ตัว หมาที่ซื่อสัตย์เท่าๆกับความทนอด
อย่างพวกเรามนุษย์ๆ 1 ตัวและนกกระจอกซึ่งมาอาศัยชายคาบ้านป็นเสรีรัฐอีกฝูงหนึ่ง ติดกับพรหมแดนซ้ายของเรา
เป็นคฤหาสน์หลังมโหฬารของท่านผู้ดรเก่าร่ำรวยมหาศาล แต่ขี้เหนียวอย่างจับสังเกตุได้ง่ายนิดเดียวตรงการที่ปล่อยให้คฤหาสน์
นั้นอับเฉาเซาซึมเหมือนป่าดงดิบในดงพระยาเย็น ช่างเป็นสิ่งที่หน้าประหลาดมหัสจรรย์อะไรเช่นนั้น ที่ขณะที่บ้านของเราคลาคล่ำ
ไปด้วยผู้ชายหนุ่มๆ คฤหาสน์ของเจ้าคุณคนนั้นสิ คับคั่งไปด้วยผู้หญิงสาวๆ หน้าขาวปากแดงลานตาไปหมด
พวกคุณเธอดังกล่าวเป็นลูกท่านหลานโตเป็นสาวไล่ๆเลี่ยๆกันของเจ้าคุณเศรษฐี สิ่งที่หน้าพศวงไปกว่านั้นก็คือ
นานๆ ครั้งวันดีคืนดี พวกคุณเธอๆจึงจะออกมาปรากฎกายนวยนาดในที่แจ้งให้เราเห็น คล้ายกับว่าเป็นสัตว์เลี้ยงที่ถูกกักกันอยู่แต่
ในกรงทองของจารีตประเพณีคร่ำครึ ในเวลาเย็นๆเมื่อพวกเรากลับจากงานมาสุมหัวด้วยกัน เราจะเล่นสนุกสนานกลางแสงแดดอ่อน
แบดมินตันบ้าง, ตะกร้อบ้าง, ไล่ปล้ำกันบนผืนหญ้าดกชอุ่มบ้าง เหมือนเด็กเล็กๆ ตามโรงเรียนคินกาเดอร์กาเต็น แต่พวกคุณ
เธอเพื่อนบ้านของเรากลับหมกตัวอยู่ภายในคฤหาสน์ทึบๆ ปิดประตูหน้าต่างเสียจนหมดแทบทุกบานก็ว่าได้ คฤหาสน์ของท่านเจ้าคุณนี้สูง
ตั้งตระหง่านจนพวกคุณเธอสามารถแอบเมียงมองจากชั้นบนเฝ้าดูเรากระโดดเล่นเฮฮากันอย่างเต็มไปด้วยชีวิตชีวาได้ถนัด แต่ข้าพเจ้า
ไม่อาจเดาได้ว่า คุณเธอเหล่านกำลังเกลียดขี้หน้าหรือกำลังอิจฉาเราอยู่ในใจ
ข้าพเจ้าเกือบจะลืมเล่าสิ่งสำคัญไปประการหนึ่ง ครัวของคฤหาสน์หลังนี้อยู่ชิดติดกับรั้วซึ่งห่างจากระเบียงบ้านของเราราว 1 วา
แม่ครัวของท่าเจ้าคุณมักจะทอด หรือปิ้ง หรือปรุงอาหารอันวิเศษล้ำอยู่เสมอ กลิ่นฟุ้งของมันจึงจรุงขจายกรุ่นกรายมาเตะจมูกพวกเรา
จนพากันกลืนน้ำลายเอื้อกๆไม่เว้นวัน ในยามปลายเดือนซึ่งกับข้าวกับปลามื้อเย็นของเรามีได้อย่างมากเพียงน้ำพริกผักต้มและแกงจืดซ้ำซาก
เราต้องมามุงกันแน่นที่ระเบียง ในมือถือชามข้าวและสูดเอากลิ่นอันจรวยชวยชื่นด้วยมนต์ไก่อบบ้าง เนื้อย่างบ้าง พริกขิงบ้าง
จะละเม็ดเจี๋ยน พิราบทอดบ้างเหล่านั้นเข้าไปในจมูกให้สอดคล้องกับจังหวะกลืนน้ำพริกฝืดๆคอ เป็นการช่วยเพิ่มรสโอชาแก่ชิวหาโดย
มิพักต้องซื้อหามาสิ้นเปลือง ยามหิวโหย กลิ่นของกับข้าวราคาแพงประหนึ่งว่าจะซึมซาบอาบเอมเข้าไปในวิญญาณของเราทีเดียว
เสียงน้ำมันที่เดือดฉ่าๆรอบชิ้นไก่หรือปลากะพงช่วยให้กรอบอร่ามนั้นฟังเสนาะดั่งทิพย์ดนตรี
มีอยู่บ้างบางวัน ขณะที่พวกเรามุงกันเสพสูดกลิ่นอันโอชะมูลค่าฟรีเหล่านี้อยู่เพลิน ท่านเจ้าคุณจะโผล่งหน้าออกมาจากหน้าต่าง
ครัวและถมึงตาเข้นมาที่พวกเราทีละคนๆ ด้วยประกาย ถ้าจะกล่าวเป็นวาจาก็คงจะฟังได้ว่า ไป๊-ไปให้พ้น อ้ายพวกโจร! แกกำลังปล้น
ความร่ำรวยและสวัสดิมงคลไปจากฉัน! กลิ่นปลาดุกอุยย่างตัวนี้เป็นสมบัติของฉันเท่านั้น แกไม่มีสิทธิอะไรจะมาสูดมันเข้าไปในท้องกิ่วๆ
ของแก ไป-อ้ายกระยาจก!
แต่ทั้งที่ใช้ชีวิตอยู่กินกันอย่างข้นแค้น พวกเราทุกคนก็ยังเต็มไปด้วยความร่าเริงแจ่มใสและพลานามัยที่แกร่งกำยำเหมือนลำต้น
กิ่งก้านของตะแบก มันเป็นเพราะว่าพวกเรามักออกไปสู่แดดและลมทุกๆวัน บางทียามค่ำเย็นเราจะล้อมวงกันเล่นดนตรี นายจอมเป็นมือไวโอลีน
ที่ไม่เลว เจ้าเชิดคล่องแบนโจ สรัชก็ไม่ใช่ขี้ไก่ในเชิงชักแอกคอร์เดียน อาคมถึงจะเพิ่งหัดจับแซ็กโซโฟน แต่ก็เป่าสวิงพอที่จะโซโลได้เร้าใจ
ข้าพเจ้าถนัดกีตาร์ และอีก 2-3 คนแม้ไม่ประสีประสาในดุริยางคศาสตร์ก็พอจะดีดยูคูลีลีตอดจังหวะกล้อมแกล้มไปกันได้ทุกครั้งที่เราเล่นดนตรี
เรามักจะอยู่ในอารมณ์ที่เหมือนใจลอยลิ่วจากโลกไปสำราญอยู่ ณ ที่หนึ่งซึ่งระริกไปด้วยเสียงสรวลสันต์ของนางไม้ และกลิ่นพิไลของประวาลพฤกษ์
หัวเราะ เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่เรามีอยู่และที่เราหยิ่งภาคภูมิ มันทำให้เห็นความจนเป็นความหวัง, ความหิวเป็นของขบขัน และ
ความแพ้เป็นมานะ จอมเป็นคนช่างหัวเราะ ดูเหมือนเขาเกิดมาเพื่อหัวเราะแท้ๆ และถ้าตายไป หัวเราะก็คงทำริมฝีปากที่ไร้วิญญาณของเขาให้งดงาม
เหมือนกลีบมะลิ บางครั้งเมื่อเขาผิดหวังจากงานกลับมาเขาจะเข้าไปในห้องกลาง ยืนก๋าหน้ากระจกบานใหญ่ ตีหน้าตาแปลกๆ
ยั่วตัวเองไปมา แล้วระเบิดหัวเราะเหมือนได้ดูแชบปรินมาทำตลกอยู่ข้างหน้า พลางวิ่งเข้าห้องโน้นออกห้องนี้แพร่เชื้อโรคหัวเราะของเขาให้ระเบิด
ไปในหมู่พวกเรา
ในความลำเค็ญ เราจะหาความสุขจากการหัวเราะได้โขทีเดียวถ้าเรารู้จักปลุกอารมณ์ขันของเราเป็น เป็นต้นว่า ในวันท้ายๆของ
เดือนวันหนึ่ง ระหว่างที่ทุกคนหน้าแห้งไปตามความแห้งของกระเป๋านั่งจับเจ่ากันอยู่ที่ระเบียงบ้านั้นเอง เจ้าเชิดจะกลับจากงาน
เดินส่ายไหล่อาดๆ ทำข้อกาง ในมือหิ้วห่อใหญ่น่าสงสัยห่อหนึ่งเข้ามาอย่างสง่า
อะไรนะเชิด? ซื้อเสื้อเชิตมาใหม่หรือ? ใครคนหนึ่งถาม
กันลืมบอกพวกแกไป เชิดตอบอย่างไม่สนใจให้ตรงคำถามนัก
ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของกัน เพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อตอนออกจากกระทรวงนี่เอง เลยซื้อเป็ดสองตัวติดมือมาสำหรับฉลองกันตามมีตามเกิด
เฮ้ย ใครเครดิตยังดี วิ่งไปเจรจาเอาโขงร้านอ้ายฮงมาสักขวดปะไร โซดาอย่ากินกันเลย เอาน้ำแข็งตบตูดดีกว่า
แต่- - จอมขัดพลางกลืนน้ำลาย เมื่อเช้าไหนนายว่ามีทรัพย์อยู่สามบาทเท่านั้นยังไง ทำไมตอนเย็นเสือกรวยพอซื้อเป็ดมา
ตั้งสองตัวล่ะหว่า?
อ้ายเชิดโบกไม้โบกมือหัวร่อร่า คนเราเกิดมาไม่ได้มีปากไว้กินข้าวกินเหล้าอย่างเดียวนี่หว่า ถึงคราวจำเป็นมันต้องรู้จักใช้ปาก
ทำหน้าที่ขอหยิบยืมเพ่อนฝูงบ้างซี นายตุลย์-ช่วยไปเอาโขงมาเรวๆทีเถอะ ติดบุหรี่มาสักสามซอง น้ำแข็งก้อนใหญ่ๆสักก้อนด้วย
พอแม่โขง, บุหรี่ และน้ำแข็งมาถึง พวกเราก็รู้สึกไปตามๆกันว่า ลำคอที่ผากเป็นผุยผงเมื่อกี้ชักเริ่มจะมีน้ำลายมาหล่อเลี้ยง
บ้างแล้ว เรามองอย่างไม่กะพริบตาเมื่อเชิดเริ่มแก้ห่อเป็ดในมือ
ห่อถูกเปิดออก อ้ายเวร! แมวดำๆตัวผอมหยองกรอดตัวหนึ่งกระโดดแผล็วออกมา เจ้าเชิดกระโดดตัวลอยตบมือหัวเราะฮ่าๆ
เมื่อเห็นพวกเราพากันยืนตะลึงพรึงเพริดอ้าปากค้างไปตามๆกัน
จอมเป็นคนแรกที่โจนเข้าจะเตะก้นเจ้าเชิด แต่เสือนั่นระวังตัว กลัวประชาทัณฑ์จะเล่นงานอยู่ก่อนแล้วจึงหลบทันแล้ววิ่งปุเลงหนี
ไปรอบๆบ้าน จอมไล่กวดไม่ลดละ พวกเราที่ล้อมวงอยู่ก็หัวเราะเฮฮาติดหมัดกันขึ้นทุกที ความกลัดกลุ้มที่สุ่มเร่าอยู่ในใจเมื่อกี้หายดั่งถูก
ปลอดทิ้งออกไป โลกที่ขุ่นมัวเป็นโคลนตมกลับเต็มไปด้วยสีสันอันเฉิดฉายอีกวาระหนึ่ง
นี้แระคือความสุขของคนจนๆ!
อีกครั้งหนึ่งไม่นานมาเท่าไรนี้ เราถังแตกกันขนาดต้องแบ่งสันปันข้าวเย็นกินกันคนละไม่ถึงครึ่งที่ว่างในกะเพาะ มันเป็นค่ำคืนที่
ทุรนทุรายไปด้วยความโหยแสบใส้ ข้าพเจ้าพยายามเอากีต้าร์ออกมาดีดเพื่อให้ทุกคนสนใจในเพลงจะได้ลืมหิวไปชั่วคราว แต่ดีดไม่กี่นาที
ก็มีเสียงสบถ เสียงคำราม และเสียงถอนหายใจดังขึ้นรอบๆข้าง ตกลงกันเราแยกกันเข้านอนคืนนั้นด้วยอารมณ์ที่อยากจะตะโกนด่าท้องฟ้า
และดวงดาว
ขณะที่เรานอนพลิกกลับกระสับกระส่ายไปมา พยายามข่มตาให้หลับนั่นเอง เราก็ได้ยินเสียงครางเบาๆ ฝ่าความเงียบเข้ามา
ทีแรกเราไม่สนใจ คิดว่าไม่ขรัวไหนก็ขรัวหนึ่งละที่อ่อนแอต่อความหิว กระทั่งร้องให้ไม่รู้จักอายเหมือนเพศที่นุ่งนิวลุค แต่เสียงนั้นยิ่งดังขึ้นทุกที
คล้ายคนกำลังเจ็บหนักจวนสิ้นใจ
จอมลุกขึ้นเปิดไฟและเดินไปที่เจ้าของเสียงในห้องถัดกันไป เป็นอะไรไม่ทราบจ๊ะ พ่อเทวดาอาคม? เขาถามเสียงเขียว
ดันเป่าปี่อยู่ได้ โธ่-เดี๋ยวพอเตะตกเตียง!
โอย-โอยเจ็บเหลือเกิน อาคมคราง
เรา คนอื่นๆจึงลุกขึ้นพร้อมกันขมีขมันไปดูอาการป่วยกะทันหันของเพื่อน จอมถามว่า เจ็บตรงไหน?
ที่ท้องอาคมตอบแผ่วๆ กัน- -อ้า- -กันมีท้อง นี่คงใกล้จะออกลูกเต็มทีแล้ว ช่วยไปตามหมอตำแยที
ออกลูก! มีท้อง! พวกเราร้องอึงขึ้นพร้อมกัน ฮ้า- -ก็นายมันเป็นผู้ชายนี่หว้า ไหงจะดันไปมีท้อง?
จริงๆ....ไม่ใช่พูดเล่น กันตั้งครรภ์มานานแล้ว แต่กันอายเลยปิดพวกแก อาคมสารภาพหน้าเซียว
เรามองดูท้องของเขา จริงๆ น่ะแหละ มันตุ่ยโตออกมาผิดปกติ จอมก้มลงถามว่า มีท้องกับใคร อาคม? กับผู้หญิงหรือผู้ชายว่ะ?
ไม่ได้มีกับพวกแกแน่ๆ อย่าตกใจที่จะต้องเป็นผัวกันเลย เขาตอบพลางเอามือปิดหน้า กันเสียตัวกับคนคนหนึ่ง แต่- -อย่า
เพิ่งรู้เลย กันอายจิงๆ
ทำไมแกรู้ว่าท้องหล่ะ มันอาจปวดท้องก็ได้-อาจหิวเกินไปก็ได้ จอมขัด
ลองเอามือจับดูซี เด็กข้างในกำลังดิ้น จับดูแล้วแกจะได้รู้สึกสักทีเดียว
พวกเราเอามือลูบไล้ไปเบาๆ บนเสื้อตรงหน้าท้องของเขา นรกช่วย! มือของเรารู้สึกว่ามีอะไรสิ่งหนึ่งซึ่งมีชีวิตดิ้นอยู่หน้าท้องนั้นจริงๆ
แล้วมนุษย์ผู้จู่ๆ ก็มีสภาพคล้ายอิลราชา ยันกายอย่างอ่อนโรยขึ้นนั่ง เขาถอดเสื้อออก เปิดให้พวกเราเห็นท้องซึ่งมีผ้าคาดไว้รอบๆ
กันพันไว้แน่นไม่ให้มันป่องออกกมา กันขายหน้า- -! เขาชี้ที่ผ้า และค่อยๆแก้มันออก ยังไม่ทันผ้าจะถูกปลด กบตัวหนึ่งก้อ
กระโจนออกมา ตัวเจ้ามารยาถลันพรวดหนีออกไป
พวกเราบ้างคนถึงกับนอนลงกลิ้งซัดเสียงอหายเพราะความขัน จอมกับอีกสองสามคนไล่กวดรวบตัวอิลราชาสมัยใหม่ไว้ได้
พาแบกขึ้นไหล่เฮกันไปที่สระน้ำหลังบ้าน
แล้วร่างของอาคมก็ถูกโยนลิ่วลงกระทบน้ำในสระดังตูมใหญ่ คืนนั้นเราคิกคักกันไปมาจนดึกไม่รู้สรางขัน เราม่อยหลับไป
พร้อมกับฝันอันงดงาม ไม่มีใครบ่นอุธรณ์ถึงข้าวเย็นกันอีกเลย
หัวเราะนี้แหละเป็นยาขนานวิเศษสำหรับรักษาความทุกข์ของคนจนๆอย่างเรา!
เวลาได้ล่วงผ่านไปพร้อมกับเราสังเกตเห็นว่า คุณเธอสาวๆ เพื่อนบ้านของเรานับวันจะซูบเซียวผ่ายผอมลงทุกที จณะที่เราซึ่งยากจน
กลับกระปรี้กระเปร่าและกระชุ่มกระชวยด้วยชีวิตชีวา หน้าตาพวกเราสดใสและเรื่อด้วยเลือด ขณะที่คุณเธอบ้านนั้นเหลืองและตอบลง
บางครั้งเราได้ยินเสียงไอในตอนกลางคืนดังแว่วมา เริ่มด้วยเจ้าคุณไอโขลกๆ ก่อน ครู่เดียวแทบจะทั้งบ้านก็ไอกันเสียงแหบเสียงแห้งไปตามๆกัน
มันฟังคล้ายเสียงสุนัขที่หอนเยือกเย็นน่าขนลุกดังมาแต่ไกล เรารู้ว่าเพื่อนบ้านในคฤหาสน์ใหญ่เหล่านั้น มิได้ผ่ายผอมซูบซีดลงด้วย
การขาดอาหารแต่อย่างใด เพราะแทบทุกวัน เรายังได้กลิ่นหอมละไมของอาหารร้อนๆ ลอยฟุ้งตลบมาจากครัวของเขาเช่นเดิม
วันหนึ่งเป็นวันปลายเดือน ภาวะเศรษฐกิจของเราทรุดหนักกว่าทุกๆครั้ง ทูตของเราที่ส่งไปเจรจาเปิดสินเชื่อกับมหามิตรร้านหัวมุม
ก็หน้าเหยกลับมาด้วยความล้มเหลว ตกเย็นเราจึงหุงข้าวเปล่าเต็มหม้อแล้วกระเย้อกระแหย่งกันชูคอ สูดกลิ่นอันเรียกน้ำลาย
ให้สอชุ่มลิ้นจากห้องครัวข้างบ้านกันแน่นขนัด ครู่เดรยวท่านเจ้าคุณก็โผล่หน้าออกมาที่หน้าต่าง แสยะปากจ้องพวกเราอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
ทีละคนเป็นเวลานาน จนพวกเราพากันใจเต้นไปตามๆกัน ครั้นแล้วท่านก็ปิดหน้าต่างครัวนั้นกระแทกดังปัง!
แต่อาหารอันโอชารสในครัวเบื้องหลังหน้าต่างปิดสนิทนั้นยังส่งกลิ่นระรวยชวยมาเอื้อเฟื้อพวกเราอย่างช่วยไม่ได้
ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น ตำรวจนายหนึ่งก็เดินลงสันปังๆ เข้ามาในบ้านเรา และแจ้งว่าสารวัตรขอเชิญเจ้าบ้านไปยังโรงพักโดยด่วน
ในข้อหาว่าการปล้นสมบัติของท่านเจ้าคุณเจ้าของคฤหาสน์ติดๆ กัน
สมบัติอะไรหว่า? เชิดเกาหัวแกรก ร้องถาม อ้าย - -
อ้าว-คุณอย่าพูดหยาบคายกับเจ้าพนักงานซี ตำรวจขัด ไปโรงพักเถอะ อย่าร่ำไร เจ้าทุกข์เขารออยู่ที่นั่นแล้ว หรือคุณขัดขืนเจ้า
หน้าที่?
เขาทำท่าทางงัดกุญแจมือออกมา จอมร้องว่า ฮะ ทำไมเฮี้ยบนักล่ะ พี่ชาย พวกเราไม่ใช่อาชญากรนา ไป-พวกเรา-ไปโรงพัก!
เมื่อเดินขบวนไปถึงโรงพัก เราก็พบข้อกล่าวหาจากท่านเจ้าคุณว่า พวกเราในบ้านชายโสดได้ทำการปล้นสมบัติส่วนตัวจากบ้านท่าน
มาเป็นเวลาหลายปีแล้ว!
ท่านสารวัตรเองก็ทำหน้าเหมือนกินกาวผสมเหล้าโรงเข้าไปเหมือนกัน เมื่อโดนแจ้งความอันยากจะเข้าใจอันนี้ แต่ในหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
ท่านจำเป็นต้องเรียกตัวพวกเรามาให้การแก้ข้อกล่าวหาของเจ้าทุกข์ตามระเบียบ
เรานั่งลงบนเก้าอี้ยาวข้างหน้าสารวัตร ถัดเราไปเป็นแถวของเจ้าคุณกับลูกสาวสี่ห้าคนซึ่งล้วนผอมโกโรโกโสเหมือนไม้ไผ่ และเซียว
เหลืองเหมือนไก่ต้ม ทุกๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยของโรคพยาธิและความละเหี่ยระโหยในชีวิต
ว่าไงพวกคุณ - - สารวัตรเปิดฉาก ท่านเจ้าคุณท่านนี้มาแจ้งความว่า พวกคุณทำการขโมยและปล้นสมบัติส่วนตัวจากท่านไป - -
อะไรไม่ทราบครับ สมบัติส่วนตัว? จอมถามงง
เจ้าคุณลุกพรวดเหมือนกับโทสะที่อัดมานานได้ระเบิดขึ้นแล้ว ท่านเชี้หน้าพวกเรา ร้องด้วยเสียงแห้งๆ ว่า อย่ามาทำไก๋ พวกแกนี่
แหละ อ้ายหัวขโมย แกปฏิเสธหรือไม่ปฏิเสธล่ะว่า เวลาที่คนครัวของฉันปรุงอาหาร พวกแกไม่ได้มายืนออใกล้ๆครัว ขโมยเอากลิ่นอาหาร
อันมีค่าของฉันไปหมด
สารวัตรสะดุ้งเหมือนผวาในผันร้าย จอมยิ้มกว้างตอบว่า พวกผมไม่ปฏิเสธครับ ผมรับว่าผมสูดกลิ่นอาหารอันโอชะที่ลอยมา
จากครัวของใต้เท้าเข้าไปในปอดจริงๆ
น่าน! น่าน! เจ้าคุณเต้นเขนเหมือนออกโขน สารวัตร!ฟังซี ผู้ต้องหายอมรับสารภาพแล้ว จดไว้ซี - - แล้วท่านก็หันมา
ทางพวกเรา แกจะปฏิเสธหรือไม่ปฏิเสธว่า ขณะที่ผู้คนในบ้านฉันซึ่งร่ำรวยมั่งคั่งพากันผอมแห้งอมโรคไปตามๆกัน พวกแกที่ยาก ๆ จน ๆ
กลับแข็งแรง มีอานามัยดี เพราะเหตุที่ว่าพวกแกแย่งเอาความสุขไปจากบ้านฉันอย่างอุกอาจ?
ผมไม่ปฏิเสธ จอมตอบ
ท่านสารวัตร เจ้าคุณร้องพลางไอแค็งๆ ผู้ต้องหาสารภาพหมดสิ้นแล้ว จับมันเดี๋ยวนี้
แต่- - ท่านสารวัตรขอรับ จอมลุกขึ้น ก่อนที่จะจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดกับพวกผมลงไป ผมขอพูดกับท่านเจ้าคุณและคุณสาวๆ
เหล่านั้นสักนิดได้ไหม?
ไม่ขัดข้อง สารวัตรตอบสั้น
จอมเดินอย่างผึ่งผายไปหยุดตรงหน้าเจ้าคุณและคุณสาวๆที่ผอมสูบกลุ่มนั้น ท่านกล่าวหาว่าพวกผมขโมยสูดกลิ่นอาหาร
และขโมยความสุขสำราญไปจากบ้านท่าน จนพวกผมคนจนๆ พากันอ้วนท้วนแข็งแรง และพวกท่านเองกลายเป็นกุ้งแห้งลงทุกวันๆ ใช่ไหมครับ?
เจ้าคุณหน้าเขียว สะบัดเสียงว่า ใช่
ถ้าเช่นนั้น พวกผมจได้ชำระชดใช้ค่ากลิ่นอาหารและค่าความสุขคืนแก่เจ้าคุณเดี๋ยวนี้ เขาเดินกลับมาที่พวกเรา พลาง
หยิบหมวกใบหนึ่งหงายขึ้นแบออกมา เอ้าพวกเรา ควักสตางค์ทั้งหมดในกระเป่าใส่ลงไปในหมวกใบนี้
เราทำตามอย่างเดาไม่ถูกว่าจอมจะไปไม้ไหนแต่เราก็ควักธนบัตรบ้าง เศศสตางค์ห้าบาทบ้าง ใส่ลงไปในหมวกใบนั้นทั่วทุกคน
ครั้นแล้วจอมหันไปทางสารวัตรที่เบิ่งตาโพลงมองดูเหตุการณ์อยู่ ท่านสารวัตรผู้ทรงความยุติธรรม ผมได้ปล้นกลิ่นอาหารและขโมย
ความสุขจากบ้านท่านเจ้าคุณจริง แต่ผมจะชำระตอยแทท่านให้ดูเดี๋ยวนี้ โปรดเป็นพยานด้วย
เขาเดินกลับไปที่หมู่เจ้าคุณแล้วเขย่าหมวก เสียงสตางค์ดังกรุ๋งกริ๋งกระทบกันกราวไปหมด เจ้าคุณและคุณสาวๆ แหงนหน้าเอียงฟังเสียงนั้นอย่างงงงวย
จอมถามคุณเธอคนหนึ่งว่า คุณได้ยินแล้วไม่ใช่หรือครับ?
เธอไอสองสามโขลกแล้วจึงพูด ได้ยินอะไรคะ?
เสียงของเงินของผมน่ะซี
ได้ยินค่ะ
ถ้าเช่นนั้น ผมก็ได้ชำระหนี้ค่ากลิ่นอาหารและกลิ่นความสุขให้แก่พวกคุณด้วยเสียงของเงินนี้เรียบร้อยแล้ว
สารวัตรทุบโต๊ะปัง เลิกแล้วกันไป! พวกคุณพ้นข้อหา
พอโขยงของเจ้าคุณพากันยกขึ้นรถยนต์กลับไป สารวัตรที่กลั้นอึดอัดอยู่จนคับอกก็ปล่อยก๊ากออกมาเสียงอหาย
คนเราแม้ยากจนข้นแค้นเพียงไรก็สามารถหาความสุขเลิศล้ำได้จากการหัวเราะทุกเวลานะท่าน!
ชี้แนะด้วยนะฮ่ะ
5 เมษายน 2548 11:52 น.
อิงค์ฟ้า
ร้ อ ง ไ ห้ จ น ไ ม่ มี แ ม้ น้ำ ต า
ชี วิ ต ทำ ไ ห ม เ ห ว่ ว้ า . ไ ด้ เ พี ย ง นี้
แ ค่ ค น ห นึ่ ง ค น เ ค ย รั ก ไ ม่ ใ ย ดี
ชี วิ ต ที่ เ ห ลื อ ที่ มี แ ท บ ข า ด ใ จ
เ ก็ บ ตั ว เ อ ง อ ยู่ ใ น ค ว า ม ป ว ด ป ร่ า
เ ห มื อ น ชี วิ ต ไ ม่ มี ค่ า . . อ ยู่ ไ ม่ ไ ห ว
วั น ผ่ า น วั น แ ต่ ล ะ วั น ที่ ผ่ า น ไ ป
อ ยู่ กั บ ตั ว แ ต่ ไ ม่ มี หั ว ใ จ
แ ล้ ว จ ะ อ ยู่ ไ ด้ อ ย่ า ง ไ ร . . . ถ้ า ไ ม่ มี เ ธ อ
ก ลั บ ม า ไ ด้ ไ ห ม ค น ดี
รู้ ตั ว แ ล้ ว ว่ า รั ก ที่ มี มั น แ ค่ ไ ห น
เ ค ย ผิ ด พ ล า ด เ พ ร า ะ ไ ม่ ส น ใ จ
แ ต่ ไ ม่ ไ ด้ ห ม า ย ค ว า ม ว่ า ไ ม่ รู้ สึ ก อ ะ ไ ร นี่ น า
ก ลั บ ม า เ ถ อ ะ น ะ ค น ดี
พ ร่ำ บ อ ก ตั ว เ อ ง ไ ด้ แ ค่ นี้ แ ต่ ไ ม่ ก ล้ า
ไ ป อ้ อ น ว อ น ง้ อ เ ธ อ คื น ม า
เ พ ร า ะ เ ข้ า ใ จ ว่ า ส า ย ไ ป แ ล้ ว เ ว ล า
จึ ง ไ ด้ แ ต่ ภ า ว น า ข อ ป า ฏิ ห า ร ย์ มี จ ริ ง