30 มิถุนายน 2547 23:09 น.

...แกว่งใจ..ในฟากฟ้า ให้ซ่าส์..มีอะไรไหม

อาภาภัส





สามทุ่มเก้านาที ง่วงนิดๆแต่ก็ยังไม่อยากหลับ  นั่งหาวหวอดๆไปเรื่อยหน้าเครื่องคอม     อ่านไปเรื่อยกับตรงหมวดกลอนนะ  บางทีขี้เกียจตอบ เพราะ..แฮ่ะๆ..ไม่มีคำตอบที่ดีไปกว่า..ไม่รู้เหมือนกัน ..ว่าทำไม  เบื่อหรือ..อือม์เปล่ามั้ง
  จะเขียนอะไรดีนะสำหรับวันซัวๆแบบนี้
  
  คิดถึงพ่อตั้งแต่เช้า คุยกับพ่อแล้ว พ่อสอนว่าชีวิตเหมือนกระเป๋าสตางค์ เดี๋ยวก็มีเงินเต็ม  เดี๋ยวก็พร่อง ร่อยหรอ  เดี๋ยวก็ต้องซื้อหาใหม่ ถ้าเข้าใจ ก็จงทำใจให้เข้มแข็งและต้องอยู่ในโลกให้ได้
  
  เปิดอ่านงานเขียนเก่าๆในเรื่องสั้นที่ลงในไทยโพม  คิดถึงใครบางคนและใครบางคน  อือม์...พวกเขาคงลืมเราหมดแล้ว   คิดแค่นี้.ก็แย่เลยนำตามันมาเกาะขอบตาได้ไง   คิดถึงมันเกาะอยู่ที่ต้นไม้ต้นใดกันนะ   แล้วทำไมมันปรากฏตัวเป็นระยะๆ  ให้ใจเราซึม.... อือ..แถม..เฮ้อ...ด้วยก็แล้วกันนะ
  คุณเคยคิดถึงใครไหมคะ  แล้วทำไมต้องคิดถึง   ...ไม่รู้น่ะสิ สายลม ตอบมาแผ่วๆ เรารับรู้ด้วยกระแสใจสัมผัส   ความเข้าใจที่เป็นความผูกพันธ์หรือเปล่านะ    ไม่รู้สิ...ลมโบกมาเป็นคำตอบแบบเดิม
  เคยสัญญากับใครบางคนว่าจะแต่งนิทานให้เขา  ตอนวันนั้นรู้แต่เพียงว่า
จะทำยังไงก็ได้ให้เขาได้รู้สึกว่าเราได้แบ่งความตั้งใจที่เต็มใจจะช่วยเขาจริงๆ
แต่ตอนนี้เขาคงลืมไปหมดแล้ว  นิทานของเรา...จึงต้องเล่าแบบนี้นะ

   ณ  ....ฟากฟ้าที่สุกสกาวด้วยหมู่ดาวกระพริบพร่าง  ดาวดวงหนึ่งอ่อนโรยแรง
พร้อมที่จะร่วงสู่พื้นและหายลับไปจากฟากฟ้า จากใจคน    ดาวโรย...เป็นชื่ออันเก๋ไก๋...  เจ้าหล่อนเกิดจากความเหน็ดเหนื่อยแห่งผู้คนที่ทุกวันสลัดคำบ่นว่า
เหนื่อย    แค่นั้นยังมิพอ ทุกมวลสารที่รวมตัวเป็นเจ้าหล่อนนั้นยังมี ความเศร้า
ความอึดอัด   ความเหงา  ความโดดเดี่ยว ต่างพร้อมใจมาเกิดแบบรวมตัวเป็นดาวโรย
    ทุกวันยามฟากฟ้าเคลื่อนที่ไป..ใช่ว่าดาวโรยจะไม่เคลื่อนตัวนะ   เจ้าหล่อนไม่ทำให้ผู้คนที่เฝ้ามองเจ้าหล่อนต้องเสียใจหรอก  กระพริบพรายปรายตาราวว่าสุกใส  เจ้าหล่อนทำหน้าที่ให้คนได้สุขใจทั้งที่  เจ้าหล่อนใจไร้สุข
    ไม่ได้บอกไปอย่างหนึ่งว่าส่วนประกอบแห่งดาวโรยใช่ว่าจะไร้ความฝันเสียเลย มี....มีลีลาแห่งฝันที่มิมั่นใจประกอบอยู่เช่นกัน
     และวันที่เจิดจรัสของดาวโรย...  จ้าแจ่มขึ้นมา...  เด็กน้อยคนหนึ่งเขานั่งมองดาวจากหน้าต่าง  ตำแหน่งที่เขานั่งมองอยู่นั้น เขาไม่เห็นดาวอะไรเลย นอกจากดาวโรย   เขายิ้มนิดๆยามเห็นแสงกระพริบริบหรี่  . ..ดวงตาแห่งฝันของเขามีประกายมันเป็นพลังแห่งความคำนึง
    เด็กน้อย..ฝันว่าเขาได้ดวงดาวมาไว้ในมือมันสุกสว่าง  ..และเขาก็อธิษฐานขอให้ทุกอย่างจงได้สำเร็จหวัง....   และแล้วคืนนั้นในความฝันอันสะอาดสดใส
เด็กน้อยงีบหลับไปข้างๆหน้าต่าง ..ฝันและอธิษฐาน..
    ลมพัดแรงมาก  เมฆเคลื่อนตัวบดบังทุกสิ่งทุกอย่างอย่างรวดเร็ว  และมันก็บดบังดาวโรยจากฟากฟ้า  ....ในความตื่น  ณ  มุมนั้น  ดาวโรยหายลับในความมืดแห่งธรรมชาติที่รุนแรง  แต่ดาวโรยได้กลายเป็นดาวเรืองในใจที่สดใสแห่งเด็กน้อยนั้นเสียแล้ว
      .......ง่วงจัง..จะเขียนต่อยังไงดีนะ  ...ให้เด็กน้อยมีแต่ความสุข ให้เขาได้พบและสำเร็จในสิ่งที่เขาหวัง  ไม่ได้เล่าว่ายามเด็กน้อยหลับในมือของเขา คง มีภาพการ์ตูนต่างๆมากมายที่เขาสร้างขึ้นมา มันมีรูปแบบหลากหลาย  และตัวที่เข้าแถวมาสุดท้าย ก็เป็นรูปเด็กน้อยตัวอ้วนน่ารักใส่แว่นยื่นแขนขวาโบกไปโบกมาในมือมีดาวดวงน้อยกระพริบแสง  และบางทีดาวก็ลอยออกจากมือ และบางทีก็ลอยกลับเข้าไปอยู่ในมือ  ...สลับกับอาการหัวเราะของเด็กน้อย
      ....แฮ่ะๆ...มันนิทานยุคที่อะไรๆมันทำได้ทั้งนั้นในอินเตอเน็ต ในคอมพิวเตอร์   ก็จะให้จบด้วยความสุขนะจ๊ะ แต่มันจะพรวดพราดมาเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ หรือ อย่างไร....ห้ามถาม
        และแล้วดวงดาวในมือของเด็กน้อยก็กลายร่างเป็นหญิงสาวที่งดงาม และเด็กน้อยก็กลายเป็นเจ้าชายผู้งานสง่า  ทั้งสองก็ชวนกันไปท่องแดนฝันอย่างมีความสุข....อิ อิ....
       เห็นฤทธิ์ของความคิดถึงไหมนี่  มันผูกเรื่องได้ ..ข้างๆคูๆ  เสียจนต้องขอลาไปนอนสักแป็บนะคะ  ...ง่วงจริงๆเลย...  แต่ก่อนไปขอยำอีกครั้งว่า....เนื่องมาแต่ความคิดถึง  และ คิดถึง  และก็คิดถึงจ๊ะ
      
ปล...ที่เขียนเล่าเป็นแบบนี้ โปรดอย่าใส่ดีกรีแห่งความอิจฉา เสียจนหมดความเป็นคนเชียวนะ  ..เรื่องนี้เขียนเพราะรู้ว่าน้องเขาไม่มีวันมาอ่าน เขาทำแต่งาน และสร้างงาน  และไม่เคยมาอ่านเวบไทยโพมเลย....5555555  
				
26 มิถุนายน 2547 20:05 น.

...นานแล้ว....

อาภาภัส

  

นานแล้ว.. 

     ยังจำได้ว่าชอบหยิบหนังสือมาอ่าน อ่านไปเรื่อยๆ อ่านจนหมดตู้ใหญ่ๆเท่าที่จำนวนหนังสือในตู้ของร้านขายหนังสือที่เพิ่งเลิกกิจการยังเหลืออยู่ในเวลานั้น
จะให้จำชื่อหนังสือว่าอ่านอะไรไปแล้วบ้างสำหรับเด็กอายุ เจ็ด ถึงแปดขวบ ก็คงจำมิได้  แต่จำมุมที่อ่านได้เลยล่ะ

     ชิดฝาผนังจะเป็นตู้หนังสือใหญ่เต็มบ้าน ใหญ่ยิ่งกว่าห้องสมุดประชาชนบางที่ เสียด้วซำ สำหรับในยุคนั้นเท่าที่ความจดจำจะถอดรหัสภาพได้  ก็เจ้าของร้านเป็นนายกเทศมนตรี ประจำกิ่งอำเภอนั้น  และต่อมาคิดว่าน่าจะเป็นช่วงวัยขนาดนั้นแหละที่เขาเปลี่ยนเป็นอำเภอด้วย  เราเรียกเจ้าของร้านว่าป๋า เพราะพ่อยกพวกเราให้เป็นลูกๆของท่านด้วย ลูกบุญธรรม เพราะท่านไม่มีลูก และท่านก็เป็นเพื่อนสนิทของพ่อ

    ..ตายล่ะ...เริ่มจากตู้หนังสือไหง ..ใจเบี้ยวออกนอกเส้นทางไปได้นะ .เอาใหม่
     เนื่องจากเพิ่งจะปิดกิจการร้านหนังสือลงใหม่ๆ ก็เพราะคุณป๋าไม่ว่าง ต้องไปเป็นนายกเทศมนตรี ดังนั้นร้านหนังสือก็เปิดแค่ประตูเล็กๆ แล้วเมื่อทุกคนเข้ามาในบ้าน ก็จะมุ่งไปอยู่หลังบ้าน เพราะเนื่องจากสว่างกว่าหน้าบ้าน

    แต่สำหรับเรา  สมัยนั้นผอมแห้งกระหร๋องกร๋องแกร๋ง สายตาก็ไม่ดี ตัวก็เล็กๆยังกะเด็กขี้โรค  ชอบไปนอนอ่านอ่านหนังสือหน้าตู้กระจกที่ใส่หนังสือ ใกล้ๆจะถึงประตูที่เป็นส่วนหลัง มีแสงสว่างจากหลังบ้านที่เปิดโล่งส่องผ่านมาถึงให้เรานอนอ่านหนังสือได้ แต่ต้องเพ่งสายตาอย่างมาก  ไม่รู้ว่าเรานอนเข้าไปได้ยังไงความกว้างของเนื้อที่ที่เหลือจากตู้วางมีไม่เกินไม้กระดานแผ่นเดียว นอนไปแล้วกระดุกกระดิกไม่ได้มันจะตกลงมา แต่เราก็แอบไปนอนอ่านตรงนั้นทุกที

     เราอ่านหนังสือมากมาย เล่มใดหมดแล้วเราก็ไปหยิบเล่มใหม่มาอ่าน ถ้าจะให้จำว่ากี่เล่มคำตอบคือไม่รู้ รู้แต่ว่ากวาดอ่านทุกเล่มทุกชนิดจนหมดจนอ่านซำ
ที่จำได้เช่นนี้เพราะยังแว่วเสียงคุณน้าที่ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านในเวลานั้นให้คุณป๋า เพราะตอนนั้นคุณป๋าเลิกกับภรรยาแล้ว  คุณน้าแม่บ้านผู้คอยดูแลพูดว่า
ไม่มีหนังสือแล้วค่ะ มันซำหมดแล้ว  หนังสือมันอยู่สูงมากทุกครั้งที่เราไปอ่านหนังสือคุณน้าจะเป็นคนหยิบให้สำหรับเล่มที่อยู่สูงนะ   เรายังจำได้ว่าเมื่อรู้ว่าซำแล้ว เราก็ยังอ่านอีกและเล่มมั้นก็คือ...นิทาน..นิทานที่ต้องเริ่มว่า...นานมาแล้ว

      โหย...ก็บางทีไม่อยากพูดอย่างนั้น และไม่อยากเขียนอย่างนั้น มีอะไรไหม
หากจะขึ้นเรื่องในการเล่านิทานว่า  ...นานแล้ว...   เราจะให้คำว่า  ..มา..ได้แอบไปเที่ยวที่ไหนสักระยะ....อิอิ  ...ก็มีบางครั้งนะ ใครๆก็อยากตามใจตัวเอง
อยากตามใจหัวใจตัวเอง ..เหมือนอย่างเราวันนี้ไง...ก็มันขี้เกียจน่ะ ..ไม่ออกไปเรียนหนังสือ..อย่าเข้าใจผิดนะ บัดนี้เราไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไป ..เราเป็นคนแก่แล้ว ..แต่เรารักเรียนเราก็เลยไปเรียน แต่วันนี้เราขี้เกียจจะไป ..มันอยากอ่านหนังสือแบบเบาๆ..แฮ่ะๆ..ก็เราเลือกฟังเพลงของไทยโพมไง  แล้วเราก็อ่านเนื้อเพลงทั้งภาษาอังกฤษและไทย  แล้วก็สลับกับหลับเป็นระยะ..มันช่างเพลินอะไรอย่างนี้ วันนี้มันดีกว่าไปเรียน คือขี้เกียจออกจากบ้าน ขี้เกียจเจอคน ขี้เกียจ..ไปหมด..มีอะไรไหม..

      นานแล้วสินะที่เราไม่เคยโผล่เข้ามาเขียนเรื่องสั้นที่นี่...ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ..ก็แค่ไม่คิดจะเขียน..แต่วันนี้คิดถึงมุมที่เรานอนอ่านหนังสือ คิดถึงส่วนที่เราสร้างฝันจินตนาการไปกับหนังสือที่อ่าน  ...มันสำคัญนะ..ถ้าคิดไกลอีกนิด
นำตาเรากำลังจะไหลอยู่แล้วล่ะ... ก็บ้านนั้นน่ะสิ  ..มันบ้านเราเอง..เราอยู่ก่อนคุณป๋าเสียอีก .มันเป็นบ้านสองชั้นที่เป็นตึกแถวห้องริมสุด ..ด้านข้างบ้านและหลังบ้าน ยังมีพื้นที่ว่างหลงเหลือให้ได้วิ่งเล่น  กว้างมากเราจำได้  แต่คุณพ่อเรามีความจำเป็นที่ต้องขายให้คุณป๋า.. ก็เลยเป็นของคุณป๋า ..แต่เราเป็นเด็กคนเดียวในพี่น้องที่จะกลับไปค้างที่บ้านนี้ แล้วก็อ่านหนังสือ แล้วก็ขลุกอยู่บ้านนี้
จนเป็นที่รู้กันว่า ถ้าเราหายไป..ก็ไม่ต้องค้นไกล อยู่หน้าตู้หนังสืออย่างแน่นอน

       ตกลงนี่เราจะเขียนถึง  นานแล้วกับนิทานที่เราอ่าน  หรืออะไรนะนี่ ..
      บ้านนั้นมีภาพที่เราจำได้ลางเลือนเหลือเกิน..เรามีแม่ที่บ้านหลังนั้น แม่เราเอง  ..วันนี้ วันเกิดแม่เรานะ..เรายังคิดถึงท่านเสมอ..แต่คงฝากสายสัมพันธ์แห่งดวงจิตไว้ได้เท่านี้นะคะแม่   สุขสันต์วันเกิดค่ะ..ขอให้มีสุขภาพดี นะคะ

     นานแล้ว  ที่ไกลแสนไกล .ที่มีกลุ่มเมฆล่องลอยอยู่เต็มฟากฟ้า เทพธิดาองค์น้อยตัวผอมกระหร่อง บางเฉียบๆ ก็ล่องลอยเหาะเหินเดินฟ้าไปเรื่อยๆ ในมือมีหนังสือที่ไปไหนก็ต้องมีหนังสือ ...แวะพักเหนื่อยที่ไหน ..ก็อ่านหนังสือ..เด็กๆเป็นกันรึเปล่าคะคนดี..ไอ้โรคอ่านหนังสือ..นี่นะ  ..อาการของมันนะคะ  ..จะเริ่มคันขยุกขยิกในหัวใจ...สายตามันก็จะเริ่มระรานหาเรื่องไปทั่ว ..หมายถึงหาเรื่องหนังสือจะอ่านน่ะค่ะ...และแล้ว ไม่ว่าจะเห็นเศษถุงกระดาษ ก็เริ่มรื้อและงัดแงะ
อ่าน  ..อ่าน..อ่าน...เฮ้อไข้ทุเลาลง ฮ่ะๆๆ

      นานแล้วต่อดีไหมคะ..คนดี..เรื่องที่อ่านแล้วจำแม่น ก็คงเป็นเจ้าชายกบกระมัง  ....อิอิ  ตอนนี้เทพธิดาขี้แห้ง ขอแปลงกายหน่อยนะจ๊ะ...เราจะกลายเป็นเจ้าหญิงผู้โสภา เย่อหยิ่ง ใครบอกอะไรก็ไม่เชื่อ  ..ไม่เชื่อฟัง..ดื้อมากเลย..นิสัยแบบนี้ ..เขาเรียกว่าอะไรคะ เด็กๆใช่แล้ว ..เด็กดื้อ..

      เจ้าหยิงผู้เย่อหยิ่ง...ไปเล่นที่ริมบึง...เล่นไปเล่นมา... แอบหยิบแหวนของเจ้าหญิงแม่ไปใส่   แล้วก็ทำตกนำป๋อมแป๋ม...แงๆๆๆ เจ้าหญิงร้องไห้สุดฤทธิ์สุดเดช
..จะเอาแหวน..ฮือ ฮือ จะเอาแหวน ...โธ่ ..เอ๋ย บึงก็ใหญ่ขนาดนั้น...ใครจะไปหาเจอ...  นั่นแน่  พระเอกออก..  เจ้าชายกบ ถูกสาป เป็นกบ ก๊บ กบ  อาศัย  ณ ริมบึงนั้น  ...ข้าช่วบเจ้าได้นะ แม่งามงอน  ..แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะแต่งงานกับข้า
ถ้าเจ้ารักษาสัญญา  ข้าจะเก็บแหวนคืนให้เจ้า .... จริงเหรอ   ได้สิ...เอาแหวนมาเถอะ  ...เจ้าชายกบ ก็ดำ ดุ๊ยดุ่ย  ลงไปก้นบึง  เจ้าหญิงก็ได้แหวนสมประสงค์..
..ขอบใจสักคำก็ไม่มี  ..วิ่งหนีหาย กระโปรงปลิวไปเลย...  แฮ่ะ ก็คิดว่า กบมันน่าเกลียดไง  ..แล้วก็จะมาอยู่กับมนุษย์ได้ไง...

         ตกดึกนะ...  โอ๊บๆๆ เสียงกบมันร้อง...ฝนไม่ได้ตกนะ..  เจ้าชายมาแล้ว
เจ้าหญิง ..ทำไมถึงไม่รักษา ..คำพูด..ล่ะนี่..   ขอโทษนะ  เราผิดจริงๆ ไม่รู้เลยนะ
ว่าท่านเก่งอย่างนี้  ..เอาอย่างนี้นะ  เจ้าหญิงขอไถ่โทษ   ..ท่านกระโดดขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ข้างๆเรา  เราจะเล่นดนตรี  ให้ท่านฟัง   ..เพราะไหมจ๊ะ..  
        เราขอฟังเสียงของเจ้าหญิงด้วยได้ไหม.. เพลงที่ร้อง..ที่เจ้าหญิงชอบ..
       อือม์ ..ตอบไม่ถูกหรอก  ก็ชอบไปหมดน่ะ  เพลงก็เพราะทั้งนั้น...

        แต่งใหม่..ใส่ทำนองเอง..ร้องเองนะ... 
       ...เปาะแปะ ..เปาะแปะ  เปาะแปะ  ฝนหยดสักสองสามแหมะ แงะแคะแกะร้องเพลงกบ   โอ๊บ โอ๊บ โอ๊บ โอ๊บ โอ๊บ โอ๊บ  กบร้อง อ๊บ อบ  แล้วหลบอีตอนฝนคก
       ..อุยเจ้าหญิง..เพลงท่านเพราะแปลกๆนะ  ..อือม์ แต่เรา ก็ชอบฟัง..วันนี้ ดึก แล้ว  เราไปก่อนนะ พรุ่งนี้จะมาใหม่
        ..วันรุ่งขึ้น  ..และวันต่อไปเรื่อยๆ ...กบจะมาฟังเจ้าหญิงร้องเพลงและเล่นดนตรีทุกคืน  ....ความผูกพันธ์ในหัวใจ เกาะเกี่ยวเป็นความเข้าใจ เป็นความห่วงใย   ....
         เจ้าหญิงเราต้องไปแล้วนะ
        ....แต่วันนี้..เราอยากขอท่านอย่างพิเศษนะ   ...มานี่แน่ะ...แว็บเดียวมองแทบไม่ทันเลย...อิ อิ อิ  เจ้าหญิง  แอบจุ๊บเจ้าชายกบเสียแล้ว....
       ทันใดนั้น...เบื้องหน้าของเจ้าหญิง ..เจ้าชายผู้งามสง่า ก็ปรากฏโฉมออกมา
อือม์ ...
มันช่างเป็นนิทานรักที่โรแมนติกเสียนี่กระไร     สองคนก็ครองรักกันอย่างมีความสุข
         นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คำสัญญา ครองใจ  ความสดใสแบ่งกัน ความผูกพันธ์ในธรรมชาติ ด้วยเสียงเพลงเป็นสื่อประสาน  ..สร้างนิทานสอนเด็กๆให้รู้จักคำว่าความดี ความงดงามในใจที่ต้องมีในทุกคนนะคะ...
         ไปเลย..ค่ะ  ไปทานข้าวเย็น  ร่วมกัน อ่านหนังสือให้คุณตาคุณยายคุณปู่คุณย่า คุณพ่อ คุณแม่ คุณ..++++  มากหลายฟังนะคะ  
        หนังสือคือสื่อสร้างสรรค์   สวรรค์แห่งทางอารมณ์  พรมหัวใจจินตนา
   ฝากสายตาลอยผ่านเนิน   อยู่ถึงไกลหัวใจเพลิน  เรียกทุกสิ่งกลับมาซึมทราบ
   ผ่านใจสู่วัย  จากวัยสู่ใจ   วันนี้และวันไหน  เราจะสุขใจเสมอ
        ..รักเด็กๆนะคะ...อ่านหนังสือแล้ว  ..หอมคุณตาหนึ่งที  ..กอดคุณตาอีกหนึ่งครั้ง   แล้วบอกว่ารักคุณตาเสมอ....   

        เนื่องในวันแห่งกวีเอกของโลก ท่านสุนทรภู่  ๒๖ มิถุนายน ๒๕๔๗ ปีนี้
ขอมอบสิ่งดีๆกับทุกคนค่ะ

                                             ด้วยรักจากหัวใจ
                                             อรุโณทัย  อาภาภัส


				
26 มิถุนายน 2547 19:24 น.

....นานแล้ว....

อาภาภัส

     

 .นานแล้ว.. 

     ยังจำได้ว่าชอบหยิบหนังสือมาอ่าน อ่านไปเรื่อยๆ อ่านจนหมดตู้ใหญ่ๆเท่าที่จำนวนหนังสือในตู้ของร้านขายหนังสือที่เพิ่งเลิกกิจการยังเหลืออยู่ในเวลานั้น
จะให้จำชื่อหนังสือว่าอ่านอะไรไปแล้วบ้างสำหรับเด็กอายุ เจ็ด ถึงแปดขวบ ก็คงจำมิได้  แต่จำมุมที่อ่านได้เลยล่ะ
     ชิดฝาผนังจะเป็นตู้หนังสือใหญ่เต็มบ้าน ใหญ่ยิ่งกว่าห้องสมุดประชาชนบางที่ เสียด้วซำ สำหรับในยุคนั้นเท่าที่ความจดจำจะถอดรหัสภาพได้  ก็เจ้าของร้านเป็นนายกเทศมนตรี ประจำกิ่งอำเภอนั้น  และต่อมาคิดว่าน่าจะเป็นช่วงวัยขนาดนั้นแหละที่เขาเปลี่ยนเป็นอำเภอด้วย  เราเรียกเจ้าของร้านว่าป๋า เพราะพ่อยกพวกเราให้เป็นลูกๆของท่านด้วย ลูกบุญธรรม เพราะท่านไม่มีลูก และท่านก็เป็นเพื่อนสนิทของพ่อ
    ..ตายล่ะ...เริ่มจากตู้หนังสือไหง ..ใจเบี้ยวออกนอกเส้นทางไปได้นะ .เอาใหม่
     เนื่องจากเพิ่งจะปิดกิจการร้านหนังสือลงใหม่ๆ ก็เพราะคุณป๋าไม่ว่าง ต้องไปเป็นนายกเทศมนตรี ดังนั้นร้านหนังสือก็เปิดแค่ประตูเล็กๆ แล้วเมื่อทุกคนเข้ามาในบ้าน ก็จะมุ่งไปอยู่หลังบ้าน เพราะเนื่องจากสว่างกว่าหน้าบ้าน
    แต่สำหรับเรา  สมัยนั้นผอมแห้งกระหร๋องกร๋องแกร๋ง สายตาก็ไม่ดี ตัวก็เล็กๆยังกะเด็กขี้โรค  ชอบไปนอนอ่านอ่านหนังสือหน้าตู้กระจกที่ใส่หนังสือ ใกล้ๆจะถึงประตูที่เป็นส่วนหลัง มีแสงสว่างจากหลังบ้านที่เปิดโล่งส่องผ่านมาถึงให้เรานอนอ่านหนังสือได้ แต่ต้องเพ่งสายตาอย่างมาก  ไม่รู้ว่าเรานอนเข้าไปได้ยังไงความกว้างของเนื้อที่ที่เหลือจากตู้วางมีไม่เกินไม้กระดานแผ่นเดียว นอนไปแล้วกระดุกกระดิกไม่ได้มันจะตกลงมา แต่เราก็แอบไปนอนอ่านตรงนั้นทุกที
     เราอ่านหนังสือมากมาย เล่มใดหมดแล้วเราก็ไปหยิบเล่มใหม่มาอ่าน ถ้าจะให้จำว่ากี่เล่มคำตอยคือไม่รู้ รู้แต่ว่ากวาดอ่านทุกเล่มทุกชนิดจนหมดจนอ่านซำ
ที่จำได้เช่นนี้เพราะยังแว่วเสียงคุณน้าที่ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านในเวลานั้นให้คุณป๋า เพราะตอนนั้นคุณป๋าเลิกกับภรรยาแล้ว  คุณน้าแม่บ้านผู้คอยดูแลพูดว่า
ไม่มีหนังสือแล้วค่ะ มันซำหมดแล้ว  หนังสือมันอยู่สูงมากทุกครั้งที่เราไปอ่านหนังสือคุณน้าจะเป็นคนหยิบให้สำหรับเล่มที่อยู่สูงนะ   เรายังจำได้ว่าเมื่อรู้ว่าซำแล้ว เราก็ยังอ่านอีกและเล่มมั้นก็คือ...นิทาน..นิทานที่ต้องเริ่มว่า...นานมาแล้ว
      โหย...ก็บางทีไม่อยากพูดอย่างนั้น และไม่อยากเขียนอย่างนั้น มีอะไรไหม
หากจะขึ้นเรื่องในการเล่านิทานว่า  ...นานแล้ว...   เราจะให้คำว่า  ..มา..ได้แอบไปเที่ยวที่ไหนสักระยะ....อิอิ  ...ก็มีบางครั้งนะ ใครๆก็อยากตามใจตัวเอง
อยากตามใจหัวใจตัวเอง ..เหมือนอย่างเราวันนี้ไง...ก็มันขี้เกียจน่ะ ..ไม่ออกไปเรียนหนังสือ..อย่าเข้าใจผิดนะ บัดนี้เราไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไป ..เราเป็นคนแก่แล้ว ..แต่เรารักเรียนเราก็เลยไปเรียน แต่วันนี้เราขี้เกียจจะไป ..มันอยากอ่านหนังสือแบบเบาๆ..แฮ่ะๆ..ก็เราเลือกฟังเพลงของไทยโพมไง  แล้วเราก็อ่านเนื้อเพลงทั้งภาษาอังกฤษและไทย  แล้วก็สลับกับหลับเป็นระยะ..มันช่างเพลินอะไรอย่างนี้ วันนี้มันดีกว่าไปเรียน คือขี้เกียจออกจากบ้าน ขี้เกียจเจอคน ขี้เกียจ..ไปหมด..มีอะไรไหม..
      นานแล้วสินะที่เราไม่เคยโผล่เข้ามาเขียนเรื่องสั้นที่นี่...ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ..ก็แค่ไม่คิดจะเขียน..แต่วันนี้คิดถึงมุมที่เรานอนอ่านหนังสือ คิดถึงส่วนที่เราสร้างฝันจินตนาการไปกับหนังสือที่อ่าน  ...มันสำคัญนะ..ถ้าคิดไกลอีกนิด
นำตาเรากำลังจะไหลอยู่แล้วล่ะ... ก็บ้านนั้นน่ะสิ  ..มันบ้านเราเอง..เราอยู่ก่อนคุณป๋าเสียอีก .มันเป็นบ้านสองชั้นที่เป็นตึกแถวห้องริมสุด ..ด้านข้างบ้านและหลังบ้าน ยังมีพื้นที่ว่างหลงเหลือให้ได้วิ่งเล่น  กว้างมากเราจำได้  แต่คุณพ่อเรามีความจำเป็นที่ต้องขายให้คุณป๋า.. ก็เลยเป็นของคุณป๋า ..แต่เราเป็นเด็กคนเดียวในพี่น้องที่จะกลับไปค้างที่บ้านนี้ แล้วก็อ่านหนังสือ แล้วก็ขลุกอยู่บ้านนี้
จนเป็นที่รู้กันว่า ถ้าเราหายไป..ก็ไม่ต้องค้นไกล อยู่หน้าตู้หนังสืออย่างแน่นอน
       ตกลงนี่เราจะเขียนถึง  นานแล้วกับนิทานที่เราอ่าน  หรืออะไรนะนี่ ..
      บ้านนั้นมีภาพที่เราจำได้ลางเลือนเหลือเกิน..เรามีแม่ที่บ้านหลังนั้น แม่เราเอง  ..วันนี้ วันเกิดแม่เรานะ..เรายังคิดถึงท่านเสมอ..แต่คงฝากสายสัมพันธ์แห่งดวงจิตไว้ได้เท่านี้นะคะแม่   สุขสันต์วันเกิดค่ะ..ขอให้มีสุขภาพดี นะคะ
     นานแล้ว  ที่ไกลแสนไกล .ที่มีกลุ่มเมฆล่องลอยอยู่เต็มฟากฟ้า เทพธิดาองค์น้อยตัวผอมกระหร่อง บางเฉียบๆ ก็ล่องลอยเหาะเหินเดินฟ้าไปเรื่อยๆ ในมือมีหนังสือที่ไปไหนก็ต้องมีหนังสือ ...แวะพักเหนื่อยที่ไหน ..ก็อ่านหนังสือ..เด็กๆเป็นกันรึเปล่าคะคนดี..ไอ้โรคอ่านหนังสือ..นี่นะ  ..อาการของมันนะคะ  ..จะเริ่มคันขยุกขยิกในหัวใจ...สายตามันก็จะเริ่มระรานหาเรื่องไปทั่ว ..หมายถึงหาเรื่องหนังสือจะอ่านน่ะค่ะ...และแล้ว ไม่ว่าจะเห็นเศษถุงกระดาษ ก็เริ่มรื้อและงัดแงะ
อ่าน  ..อ่าน..อ่าน...เฮ้อไข้ทุเลาลง ฮ่ะๆๆ
      นานแล้วต่อดีไหมคะ..คนดี..เรื่องที่อ่านแล้วจำแม่น ก็คงเป็นเจ้าชายกบกระมัง  ....อิอิ  ตอนนี้เทพธิดาขี้แห้ง ขอแปลงกายหน่อยนะจ๊ะ...เราจะกลายเป็นเจ้าหญิงผู้โสภา เย่อหยิ่ง ใครบอกอะไรก็ไม่เชื่อ  ..ไม่เชื่อฟัง..ดื้อมากเลย..นิสัยแบบนี้ ..เขาเรียกว่าอะไรคะ เด็กๆใช่แล้ว ..เด็กดื้อ..
      เจ้าหยิงผู้เย่อหยิ่ง...ไปเล่นที่ริมบึง...เล่นไปเล่นมา... แอบหยิบแหวนของเจ้าหญิงแม่ไปใส่   แล้วก็ทำตกนำป๋อมแป๋ม...แงๆๆๆ เจ้าหญิงร้องไห้สุดฤทธิ์สุดเดช
..จะเอาแหวน..ฮือ ฮือ จะเอาแหวน ...โธ่ ..เอ๋ย บึงก็ใหญ่ขนาดนั้น...ใครจะไปหาเจอ...  นั่นแน่  พระเอกออก..  เจ้าชายกบ ถูกสาป เป็นกบ ก๊บ กบ  อาศัย  ณ ริมบึงนั้น  ...ข้าช่วบเจ้าได้นะ แม่งามงอน  ..แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะแต่งงานกับข้า
ถ้าเจ้ารักษาสัญญา  ข้าจะเก็บแหวนคืนให้เจ้า .... จริงเหรอ   ได้สิ...เอาแหวนมาเถอะ  ...เจ้าชายกบ ก็ดำ ดุ๊ยดุ่ย  ลงไปก้นบึง  เจ้าหญิงก็ได้แหวนสมประสงค์..
..ขอบใจสักคำก็ไม่มี  ..วิ่งหนีหาย กระโปรงปลิวไปเลย...  แฮ่ะ ก็คิดว่า กบมันน่าเกลียดไง  ..แล้วก็จะมาอยู่กับมนุษย์ได้ไง...
         ตกดึกนะ...  โอ๊บๆๆ เสียงกบมันร้อง...ฝนไม่ได้ตกนะ..  เจ้าชายมาแล้ว
เจ้าหญิง ..ทำไมถึงไม่รักษา ..คำพูด..ล่ะนี่..   ขอโทษนะ  เราผิดจริงๆ ไม่รู้เลยนะ
ว่าท่านเก่งอย่างนี้  ..เอาอย่างนี้นะ  เจ้าหญิงขอไถ่โทษ   ..ท่านกระโดดขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ข้างๆเรา  เราจะเล่นดนตรี  ให้ท่านฟัง   ..เพราะไหมจ๊ะ..  
        เราขอฟังเสียงของเจ้าหญิงด้วยได้ไหม.. เพลงที่ร้อง..ที่เจ้าหญิงชอบ..
       อือม์ ..ตอบไม่ถูกหรอก  ก็ชอบไปหมดน่ะ  เพลงก็เพราะทั้งนั้น...

        แต่งใหม่..ใส่ทำนองเอง..ร้องเองนะ... 
       ...เปาะแปะ ..เปาะแปะ  เปาะแปะ  ฝนหยดสักสองสามแหมะ แงะแคะแกะร้องเพลงกบ   โอ๊บ โอ๊บ โอ๊บ โอ๊บ โอ๊บ โอ๊บ  กบร้อง อ๊บ อบ  แล้วหลบอีตอนฝนคก
       ..อุยเจ้าหญิง..เพลงท่านเพราะแปลกๆนะ  ..อือม์ แต่เรา ก็ชอบฟัง..วันนี้ ดึก แล้ว  เราไปก่อนนะ พรุ่งนี้จะมาใหม่
        ..วันรุ่งขึ้น  ..และวันต่อไปเรื่อยๆ ...กบจะมาฟังเจ้าหญิงร้องเพลงและเล่นดนตรีทุกคืน  ....ความผูกพันธ์ในหัวใจ เกาะเกี่ยวเป็นความเข้าใจ เป็นความห่วงใย   ....
         เจ้าหญิงเราต้องไปแล้วนะ
        ....แต่วันนี้..เราอยากขอท่านอย่างพิเศษนะ   ...มานี่แน่ะ...แว็บเดียวมองแทบไม่ทันเลย...อิ อิ อิ  เจ้าชายแอบจุ๊บเจ้าชายกบเสียแล้ว....
       ทันใดนั้น...เบื้องหน้าของเจ้าหญิง ..เจ้าชายผู้งามสง่า ก็ปรากฏโฉมออกมา
อือม์ ...
มันช่างเป็นนิทานรักที่โรแมนติกเสียนี่กระไร     สองคนก็ครองรักกันอย่างมีความสุข
         นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คำสัญญา ครองใจ  ความสดใสแบ่งกัน ความผูกพันธ์ในธรรมชาติ ด้วยเสียงเพลงเป็นสื่อประสาน  ..สร้างนิทานสอนเด็กๆให้รู้จักคำว่าความดี ความงดงามในใจที่ต้องมีในทุกคนนะคะ...
         ไปเลย..ค่ะ  ไปทานข้าวเย็น  ร่วมกัน อ่านหนังสือให้คุณตาคุณยายคุณปู่คุณย่า คุณพ่อ คุณแม่ คุณ..++++  มากหลายฟังนะคะ  
        หนังสือคือสื่อสร้างสรรค์   สวรรค์แห่งทางอารมณ์  พรมหัวใจจินตนา
   ฝากสายตาลอยผ่านเนิน   อยู่ถึงไกลหัวใจเพลิน  เรียกทุกสิ่งกลับมาซึมทราบ
   ผ่านใจสู่วัย  จากวัยสู่ใจ   วันนี้และวันไหน  เราจะสุขใจเสมอ
        ..รักเด็กๆนะคะ...อ่านหนังสือแล้ว  ..หอมคุณตาหนึ่งที  ..กอดคุณตาอีกหนึ่งครั้ง   แล้วบอกว่ารักคุณตาเสมอ....   

        เนื่องในวันแห่งกวีเอกของโลก ท่านสุนทรภู่  ๒๖ มิถุนายน ๒๕๔๗ ปีนี้
ขอมอบสิ่งดีๆกับทุกคนค่ะ

                                             ด้วยรักจากหัวใจ
                                             อรุโณทัย  อาภาภัส


 
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟอาภาภัส
Lovings  อาภาภัส เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟอาภาภัส
Lovings  อาภาภัส เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟอาภาภัส
Lovings  อาภาภัส เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงอาภาภัส