ผมมีนิสัยเรียกร้องความสนใจเป็นพื้นฐาน แต่เธอสิ ? เฉยเมยนัก นั่นแหละมันจึงทำให้ผมมีกลยุทธงั้นวิธีเรียกร้องความสนใจขึ้นมาใหม่ อะไรน่ะหรอ yu-ตoihบล฿๕ธ๘เพ)+^%*wf ......................... ? เรื่องอะไรล่ะผมจะเผยง่ายๆ ๆ แหมมมมมมม แผนนี้กว่าผมจะคิดมาได้ 15.23น........................... สองเท้าของผมเดินกวักไกวในเทศกาลงานบุญ (งานประจำปีของจังหวัด) มนุษย์ช่วงแดดเมื่อยล้า พลุกพล่าน ชนมุน อื้ออึง เสียงป่าวประกาศต่างบูทในงานเซ็งแซ่ สีสันประดับร้านค้าจึงดูน่าเที่ยวเตร่ ต่างจังหวัดนานๆ ที่จะมีงานประจำปี คนในจังหวัดจึงตื่นตัวกันมาก และออกมาจับจ่ายใช้หนี้ ที่ตัวสมไว้นานในเล้าแบงค์อย่างเพลินหทัย ผมห่างจากเพื่อนปลีกตัวมาทางร้านขายเสื้อผ้า เดินแบบปล่อยอารมณ์ ( ทั้งทุกข์ สุข ) กวาดสายตามองเสื้อ คนขายเสื้อ และคนซื้อเสื้อ แล้วมองย้อนดูตัวเองอีกที 14.23น........................... อ้าวมาเที่ยวกับเขาเหมือนกันหรอ ใครคนหนึ่งซึ่งเห็นแต่ไกลเอ่ยทักผม อืมมมม มากับพวกไอ้จิ๊ฟ รู้กันโดยนัยว่า สมาชิกไอ้จิ๊ฟมี ไอ้หยอง ไอ้แม็ก ไอ้โจ้ก และไอ้ผม ? พวกมันเดินไปนู้นนนน ผมชี้ไปทางซุ้มแสดงงู แล้วมากับใครหรอผมทักบ้าง เขาไม่ตอบแต่ใช้สีหน้า หันไปทางขวามือ เป้าหมายหญิงสาวคนนั้นแน่ เห็นเพียงหลัง เธอกำลังเลือกดูเสื้อ ใครหรอวะ ผมรู้แล้ว แต่ถามเพื่อความมั่นใจ แฟนกูวะ สวยป่าววะ เขาตอบอารมณ์ดี ยิ้มๆ ๆ ยังไม่เห็นหน้าเลย เรียกมาให้ดูหน้าหน่อยดิ เขาเดินไปหาเธอแล้วพาเดินมา ผมตกใจ และหัวเราะอย่างแปลกๆ ๆ ผู้หญิงที่เขาว่าแฟนน่ะ เป็นเพื่อนเรียนห้องเดียวกัน ตะลึงเหมือนกันไม่คิดว่าเพื่อนจะสวยจนผมจำไม่ได้ เพื่อนผู้หญิงก็ทักทาย ต้นน มาเที่ยวด้วยหรอ เธอยิ้มๆ ๆ คงจะอายๆ ด้วยล่ะ ที่มาเจอกันบังเอิญ ในเหตุการณ์แบบนี้ แฟน แฟนๆ ๆ ๆๆ ผมล้อเลียนเพื่อนหนัก ชี้มือไปทางผู้ชายที่พูดด้วยคนแรก เพื่อนผู้หญิงคนนี้ จำได้ดี บ้านเธออยู่ใน ตชด. ในเขตจังหวัด ห่างจากตัวจังหวัด 5 กิโลเมตร วันนั้นห้องป.6/2 เป็นห้องเรียนผมเอง ( เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดค่อยข้างมีนักเรียนเยอะ แต่ละชั้นจะมี ห้าห้อง) สอบเสร็จ เพื่อนต่างห้องเรียน ผู้ชายที่บ้านอยู่ ตชด. ชวนไปดูหนัง (ขอสงวนไม่เปิดเผย อิอิ) ไปกัน 5-6 คน นั่งรถสองแถวลง หน้า ตชด. แล้วเดินไปบ้านเพื่อน ลักษณะ เป็นบ้านพัก เรียงสิบกว่าแถว หันหน้าเข้าหากัน ร่มรื่น ต้นไม้ใบหญ้าเขียวอุดมสมบุรณ์ บ้านเพื่อนอยู่หลังท้ายๆ ๆ และบ้านเพื่อนผู้หญิงที่ว่าอยู่ตรงข้ามกัน ตอนนั้นยังไม่รู้ว่า บ้านเพื่อนผู้หญิงคนนี้อยู่ ตชด. มารู้ตอนที่ดูหนังบ้านเพื่อนนี่แหละ หลังจากดูหนังเสร็จ ไปกินก๋วยจั๊บ มุมสี่แยก เห็นเพื่อนผู้หญิงที่เรียนห้องเดียวกันเพิ่งกลับจากโรงเรียน ทักทายกันพอสมควร เลยรู้ว่าเธออยู่ใน ค่าย ตชด. พ่อเป็นนายสิบ แม่เธอเดินมาพอดี ถามใหญ่เลย ไหนๆ ๆ คนไหนเรียนอยู่ห้องเดียวกันกับอุ้ย ผมพยักหน้านิดๆ ๆ พอให้รู้ แม่เธอถาม เป็นไง อุ้ยเรียนเก่งไหม ตั้งใจเรียนไหม เห็นทำการบ้านทุกวันเลย ผมได้แต่กระหยิ่มในใจ อ่านหนังสือไม่ออกเลย ดีอยู่อย่าง หน้าตาดี สวย ขาว ผมตอบครับๆ อย่างเดียว ซึ่งเธอก็มองดูหน้าผมตลอด คงคิดว่าผมจะพูดอะไรดีๆ ๆไม่เป็น แหมมมมม คนเรา เห็นเล่นใช่ว่าจะเล่นตลอด เห็นดีใช่จะดีตลอด ผมก็เล่นบ้าง แต่เวลาเป็นการเป็นงานก็รู้จักนะ .......... ออกจากร้านก๋วยจั๊บ ชวนกันไปเล่นน้ำสระ น้ำไม่ใส่แต่น่าเล่น โดยเฉพาะชวนเพื่อนผู้หญิงเล่น หุ หุ หุ ที่สระน้ำเธอเดินมาขอบใจผม ในฐานะที่ช่วยพูดในทางดี ไม่เสียหาย เลยสนิทกันมาตั้งแต่นั้นมา ในห้องเพื่อนผู้หญิงผมหยอกล้อ ได้ทุกคน กระเทยหรือป่าว ? ไม่หรอก คนมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ห้ามไปบอกใครนะ นะ ๆ ๆอุ้ยทำหน้าตาตื่น ผมรับปาก จะไม่บอกใครเรื่องเธอมีแฟนแล้ว 16.23น.............. ช่วงเวลาแดดเมื่อยล้ากำลัง และผมเดินเดี่ยว ในงานประจำปี คุยกับคนโนน คนนั้น และคุยกับตัวเอง แว๊บความคิดอยากมีสาวเดินเคียงเกิดขึ้นทันที ผมร่อนหน้ามองหาสาวที่พอจะหน้าด้าน (ด้านไหนก็น่ารัก) เข้าไปคุย เธอคนนั่นเดินเดียว นุ่งกางเกงยีน รีวาย(กรี๊ด) เสื้อดำ รางเท้าคีบ ดาวเทียม ผมสั้นนักเรียนมัธยม ผมปาดเท้าเข้าไปทำทีถามเวลา นี่ๆ ๆ เอ่อ อ กี่โมงแล้วครับ น้ำเสียงโคตรอ้อน เธอดึงข้อมือขึ้น ดูนาฬิกา แล้วยื่นให้ผมดู คงจะแปลกใจ ใครวะ กล้ามาถามเวลา ครับ ขอบคุณณณณ คุณ คุณ พยายามทำให้เธอรู้ว่าผมกำลังถามชื่อเธอ แนน ค่ะ หน้าตาเธองง มาก คงจะใครวะ ใครวะ อยู่ในใจ ครับ ขอบคุณครับ แนน พูดซ้ำๆ เป็นการชวนเธอคุย ฮา ไม่เป็นไรค่ะ เอ่อ นาฬิกานี้ยี่ห้ออะไรนะครับ ผมคิดจะซื้ออยู่พอดี อ๋อ ไม่รู้ค่ะ พอดีแม่ซื้อให้ เธอก็ตอบกวนนะ อ๋อแต่ไม่รู้ ซื้อในงานนี้หรือป่าวครับ หนีไม่รอดแน่ แนน ฮะๆ ๆ ไม่ค่ะ แม่ซื้อที่........ ผมมองดวงตาเธอ ขณะพูด มองอะไรค่ะเธอถาม เปล่าครับ เห็นสวยดีผมพูดแบบไม่อายนะ แต่ใจจริง อยากมุดดินหนีเลย อะร๊ายยยยยยยย สวยอะไร ใครหรอเธอทำหน้าตื่น ตาโต ก็แนนไง สวยจังเธอหัวเราะในลำคอ แล้วไม่พูดอะไร ผมบอกเธอว่าอยากรู้จัก บ้านอยุ่ไหน แต่เธอปฏิเสธทุกอย่าง ผมก็ไม่รู้ วันนั้นเกิดบ้าอะไร คิดยังไงไปทักเธอได้ แต่มันมาถึงขั้นรู้จักชื่อแล้ว จะถอยไม่ได้ ราตรีนี้ยังอีกนาน ? มีแฟนยังครับ ผมถามดื้อ ๆเลย แบบเรียบๆ ๆ ไม่รู้สึกอะไร อย่างที่บอก อายมากกก ยังค่ะ ถามทำไมหรอ ไม่มีอะไรหรอก แบบเห็นใครต่อใครมีแฟนกันนี่ ทำไมแนนไม่มีแฟนหรอ ยังเรียนอยู่นี่ค่ะ ไม่คิดอยากมีด้วย เดี๋ยวเรียนไม่จบ เธอตอบเรียบๆ ๆ แต่ผมรู้สึกว่าเธอเริ่มจะไม่อยากคุยแล้ว ต้น ก็ยังไม่มีแฟนนะ ยังเรียนอยู่เหมือนกัน ไม่รู้จะตอบอะไรดี เลยพูดไปอย่างนั้น ชื่อต้นหรอ อืมผมพยักหน้าเม้มริมฝีปาก ทำทีดูน่ารัก ผมเห็นภาพดาราเวลาถ่ายแบบจะเม้มปาก น่ารักดี เลยเม้มบ้าง ต้นบ้านอยุ่ไหนหรอ ไกลไหมแนนถาม ไม่เลย ห่างจากที่นี่ ห้าร้อยเมตร พาเราไปเล่นหน่อยสิ ล้อเล่นนะ เธอรีบเน้นคำหลัง ผมหัวเราะ เราเดินงานนี้ก็เมื่อยแล้ว เดินคุยกันจนเกือบหกโมงเย็น เธอขอตัว บอกว่าต้องกลับแล้ว เดี๋ยวพ่อจะว่า และขับมอเตอร์ไซค์มาคนเดียวด้วย ผมขอเบอร์โทรอีกครั้ง คราวนี้เธอให้ ตั้งแต่ได้เบอร์โทรศัพท์เธอ ผมโทรไปหาเธอเกือบทุกวัน จะเป็นช่วงเวลา สามทุ่ม แรกๆ คุยกันไม่กี่คำ โทรหลายครั้งเข้า คุยกันข้ามคืนเลยก็มี ไม่รู้เหมือนกันว่าคุยเรื่องอะไรกัน มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก และนัดแนนไปเที่ยวบ่อยๆ ๆ เธอไม่เคยขัดใจเลย ดีมาก ผมจะบอกเธอเสมอว่า รักนะ ถ้าเจอเธอ เราสวีตกันมาก เวลาเธอซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เธอจะกอดผม และผมไม่เคยลวนลามเธอเลย ผมรักเธอจริงๆ ๆ 16.23น.............. ผมเดินมองอะไรเลื่อยเปื่อย มองร้านขายผ้า ที่เคยเจอใครบางคน และมองหา ความรู้สึกเก่าๆ ที่เคยมีอยู่ตรงนี้ มันไม่มีเลย แม้แต่เศษเสี่ยว มีแต่อดีต และร่องรอยความทรงจำ ช่วงเวลาเดียวกันนี้ ที่ผมยืนอยุ่ตรงนี้ มันต่างแต่ปี พ.ศ. แต่ต่างที่คิดผิดเวลา ผมมองดูนาฬิกายี่ห้อ วานิก (vanic) มันเป็นยี่ห้อเดียวกับใครบ้างคน ผมไม่อยากออกชื่อเธอ ผมเห็นใครหลายคนเดินผ่าน แต่ตัวผมคนเดียว อยู่กับตัวเองตลอด ไม่เคยเห็นตัวเองเลย ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรกับชีวิต ไม่เข้าใจตัวเอง ผมรู้สึกอย่างเดียวว่า ว่างเปล่า ? ว่างเปล่า และว่างเปล่า......................
อย่างว่าแหละครับ อัสสุ เป็นเด็กขี้อาย ร่าเริงตามโอกาส ตอนเด็กๆ อัสสุชอบไปเล่นกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน วันเสาร์-อาทิตย์ ไม่ได้เรียน กลุ่มอัสสุ จะไปเที่ยวเล่นตามประสาเด็ก ยิงกิ้งก่า (อำนาจเจริญ) ไปเลื่อยๆ หลายกิโล ตังค์ก็ไม่ได้พกไปเยอะ ไปหากินข้างหน้า แบบผจญภัย เที่ยวเล่นจนค่ำ กลับถึงบ้าน แม่ยืนรอหน้าบ้าน ทำหน้าบึ้งตึง ถามอัสสุ ไปไหนมา ยังไม่ทันตอบ แม่พูดคำโต ตะแบงแผดเสียงสูง มึงหนีไปเลย ทำไมดื้ออย่างนี้ อะไรเยอะแยะ สรุปง่ายๆๆ ด่า อัสสุหนีออกจากบ้าน ตอนหัวค่ำ ห้าหกโมงเย็น ร้องไห้วิ่งหนีออกจากบ้าน น้อยใจแม่สุดทน คิดในใจ แหมมมมมมมมมมมมม ตั้งแต่เกิดมา แม่ไม่เคยไล่เราออกจากบ้านเลย กลับค่ำวันเดียวจะเป็นไร เพื่อนๆ ก็กลับค่ำ ไม่เห็นเป็นไร ไปแอบนั่งน้อยใจ ในบ้านร้าง ข้างวัด ไม่กลัวอะไรเลย ปกติ อัสสุจะเป็นคนกลัวผีมาก แต่เวลานั้น ในใจ ไม่คิดอะไรเลย นอกจากน้อยใจแม่ คิดๆ ๆ น้อยใจแม่อย่างเดียว แม่มาตามก็จะไม่กลับบ้าน จะไม่กลับไปเลย แม่คงไม่รักเรา ถ้ารักเราคงไม่ไล่เราออกจาบ้านหรอก เราตายคงสบายใจใครๆ โดยเฉพราะแม่ ไม่ต้องหนักใจ เราเป็นลูกเขาหรือป่าวนะ ทำไมพูดไม่กลัวเรา เสียใจเลย ทั้งคิดทั้งสะอื้นร้องไห้ ยุงก็กัดตามตัว ข้าวเย็นก็ยังไม่ได้กิน ตอนเที่ยงก็เที่ยวเล่นทั้งวัน แล้วทบทวนในชีวิตอายุ สิบปี ถ้าเราหนีออกจากบ้านจริง จะไปอยู่กับใครแน่ ในวัด ก็ไม่รู้จักใคร บ้านก็ไม่ไกลวัดนัก ไม่นานแม่คงจับได้ว่าเรามาอยู่วัด ไปอยู่กับเพื่อน พ่อแม่เขาจะให้อยู่หรอ เราจะเอาตังค์ที่ไหนไปโรงเรียน เราต้องออกจากโรงเรียนแน่ ต่อไปจะทำยังไง เรียนไม่จบหรอ อนาคตเราหมดแค่นี้หรอ คิดไปคิดมา เริ่มกลัวเหตุการณ์ข้างหน้า จะกลับบ้านก็ขายหน้า เราต้องมีศักดิ์ศรี น้ำตาเริ่มหยุด ขณะนั่งคิดคนเดียว เสียงตะโกนไกลๆ เริ่มชัด แม่เรียกชื่อเรานี่นา เสียงใกล้มา เลื่อยๆ ในใจก็กลัวแม่เดินผ่านตรงที่เราแอบ อีกใจหนึ่งก็กลัวเสียศักดิ์ศรี จึงเฉยๆ ๆ แม่ก็เรียก ตัดสินใจ แม่เรานี่นา เป็นไงก็เป็นกัน อัสสุออกมาจากบ้านร้าง เดินช้าๆ ๆๆ ก้มหน้า แม่เห็นอัสสุ ยิ้ม หัวเราะ " ไปกินข้าวเร็ว หิ้วข้าวไหม ใครตีเนี่ยทำไมน้ำตาเปื้อนหน้าหมดเลย" แม่พูด เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อัสสุรู้สึกตัวเองผิดมหันต์ ทำไมเราเป็นอย่างนี้นะ อัสสุกอดแม่อย่างแรงเลย และแม่ก็โอบกอดอัสสุเหมือนกัน ก็เป็นเด็กที่ขี้อ้อนแม่ นามปากกานี้เลยเป็นทีมา อัสสุแปลว่าน้ำตานะครับ เวลาร้องไห้ แม่ก็จะโอ๋ ปลอบอัสสุให้หายร้องไห้ไง
อย่างว่าแหละครับ อัสสุ เป็นเด็กขี้อาย ร่าเริงตามโอกาส ตอนเด็กๆ อัสสุชอบไปเล่นกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน วันเสาร์-อาทิตย์ ไม่ได้เรียน กลุ่มอัสสุ จะไปเที่ยวเล่นตามประสาเด็ก ยิงกิ้งก่า (อำนาจเจริญ) ไปเลื่อยๆ หลายกิโล ตังค์ก็ไม่ได้พกไปเยอะ ไปหากินข้างหน้า แบบผจญภัย เที่ยวเล่นจนค่ำ กลับถึงบ้าน แม่ยืนรอหน้าบ้าน ทำหน้าบึ้งตึง ถามอัสสุ ไปไหนมา ยังไม่ทันตอบ แม่พูดคำโต ตะแบงแผดเสียงสูง มึงหนีไปเลย ทำไมดื้ออย่างนี้ อะไรเยอะแยะ สรุปง่ายๆๆ ด่า อัสสุหนีออกจากบ้าน ตอนหัวค่ำ ห้าหกโมงเย็น ร้องไห้วิ่งหนีออกจากบ้าน น้อยใจแม่สุดทน คิดในใจ แหมมมมมมมมมมมมม ตั้งแต่เกิดมา แม่ไม่เคยไล่เราออกจากบ้านเลย กลับค่ำวันเดียวจะเป็นไร เพื่อนๆ ก็กลับค่ำ ไม่เห็นเป็นไร ไปแอบนั่งน้อยใจ ในบ้านร้าง ข้างวัด ไม่กลัวอะไรเลย ปกติ อัสสุจะเป็นคนกลัวผีมาก แต่เวลานั้น ในใจ ไม่คิดอะไรเลย นอกจากน้อยใจแม่ คิดๆ ๆ น้อยใจแม่อย่างเดียว แม่มาตามก็จะไม่กลับบ้าน จะไม่กลับไปเลย แม่คงไม่รักเรา ถ้ารักเราคงไม่ไล่เราออกจาบ้านหรอก เราตายคงสบายใจใครๆ โดยเฉพราะแม่ ไม่ต้องหนักใจ เราเป็นลูกเขาหรือป่าวนะ ทำไมพูดไม่กลัวเรา เสียใจเลย ทั้งคิดทั้งสะอื้นร้องไห้ ยุงก็กัดตามตัว ข้าวเย็นก็ยังไม่ได้กิน ตอนเที่ยงก็เที่ยวเล่นทั้งวัน แล้วทบทวนในชีวิตอายุ สิบปี ถ้าเราหนีออกจากบ้านจริง จะไปอยู่กับใครแน่ ในวัด ก็ไม่รู้จักใคร บ้านก็ไม่ไกลวัดนัก ไม่นานแม่คงจับได้ว่าเรามาอยู่วัด ไปอยู่กับเพื่อน พ่อแม่เขาจะให้อยู่หรอ เราจะเอาตังค์ที่ไหนไปโรงเรียน เราต้องออกจากโรงเรียนแน่ ต่อไปจะทำยังไง เรียนไม่จบหรอ อนาคตเราหมดแค่นี้หรอ คิดไปคิดมา เริ่มกลัวเหตุการณ์ข้างหน้า จะกลับบ้านก็ขายหน้า เราต้องมีศักดิ์ศรี น้ำตาเริ่มหยุด ขณะนั่งคิดคนเดียว เสียงตะโกนไกลๆ เริ่มชัด แม่เรียกชื่อเรานี่นา เสียงใกล้มา เลื่อยๆ ในใจก็กลัวแม่เดินผ่านตรงที่เราแอบ อีกใจหนึ่งก็กลัวเสียศักดิ์ศรี จึงเฉยๆ ๆ แม่ก็เรียก ตัดสินใจ แม่เรานี่นา เป็นไงก็เป็นกัน อัสสุออกมาจากบ้านร้าง เดินช้าๆ ๆๆ ก้มหน้า แม่เห็นอัสสุ ยิ้ม หัวเราะ " ไปกินข้าวเร็ว หิ้วข้าวไหม ใครตีเนี่ยทำไมน้ำตาเปื้อนหน้าหมดเลย" แม่พูด เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อัสสุรู้สึกตัวเองผิดมหันต์ ทำไมเราเป็นอย่างนี้นะ อัสสุกอดแม่อย่างแรงเลย และแม่ก็โอบกอดอัสสุเหมือนกัน ก็เป็นเด็กที่ขี้อ้อนแม่ นามปากกานี้เลยเป็นทีมา อัสสุแปลว่าน้ำตานะครับ เวลาร้องไห้ แม่ก็จะโอ๋ ปลอบอัสสุให้หายร้องไห้ไง
ดูข่าวในทีวี และสื่อหลายสื่อ ออกข่าวในหลวง ดูแล้วทั้งเกียรติประวัติ และผลงานพระราชกรณียกิจ พระองค์ยังประโยชน์แก่ประชาชน ของพระองค์จริง ๆ ทีฆายุโก โหตุ มหาราชา ขอพระมหาราชามีอายุยืนนานเถิด