4 มิถุนายน 2548 21:16 น.
อัษ สายน้ำไหล
นั่นสายฝน สายน้ำตา 1
เย็นย่ำใกล้ค่ำน้ำหลั่งลดเป็นสายเส้น
ลมไหวเย็นกายต้องหนาวสั่นมิใช่ฝัน
หญ้าเล่นกับลมไกวไปตามทิศตะวัน
หนึ่งคนนั่นยืนรับฝนกลางลานกว้างท้องทุ่ง
หนึ่งอดีตที่พ้นผ่านฟาดฟันให้รู้แก่น
เหมือนจมแน่นกับภาพฝันอันตระการ
เป็นแสงสว่างในอดีตเรียงร้อยพันความ
เปิดช่องทางเรียนรู้แล้วให้รู้เดิน
หนึ่งนามบุรุษผู้เดินตามกาลเวลา
พบผ่านพาความหลายหลากฉากชีวิต
บ้างชื่นฉ่ำจิตบ้างชีวิตจิตซ้ำโรยรา
บางครั้งผ่านมาบ่อน้ำตาหล่นหลั่ง
ผ่านความเจ็บซ้ำตอกย้ำความล้มเหลว
ความฝันผ่านไปรวดเร็วเหลือไว้แต่น้ำตา
เกิดจาก(ชาย)ใจไว้วางปล่อยใจไปอิสระ
ความรักกลับหายไปเพราะชายอื่น
ผู้คอยยื่นความหวานปลายคมดาบ
แต่เจ้าหล่อนชอบเห็นเป็นดอกบัว
เมามัวไหลหลงความงามตามรูปกาย
สิ่งสุดท้ายใจก็ตายกายก็แตกสลาย
4 มิถุนายน 2548 21:09 น.
อัษ สายน้ำไหล
คิดถึงบ้าน ...2 บ้านเรา
น้ำตาพ่อแม่ไหลเชียวอาบแก้ม
แก่ยินดีที่พี่น้องลูกแก่มีรักพันผูก
เหมือนเกลียวเชือกรัดแน่นสายใย
อยู่หนแห่งใดพ่อแม่วางใจลูกยา
บ้านเธอล่ะเพื่อนฉันเป็นอย่างไร
บอกได้ไหมฉันเป็นห่วงและคิดถึง
น้าอรดี แม่เธอใจดีเป็นเหมือนแม่ฉัน
บอกท่านด้วยว่านางกล้วยคิดถึง
วันหน้าหากว่างจะไปบ้านกินข้าว
บ้านเธอไห้วแม่อรดีคุณพ่อธานี
สามีแม่เธอคนบ้านฉันเอง
ตุ้ง ตุ้ง ตุ้ง เสียงกลองเช้าดังมา
เป็นเวลาบอกเวลา พระฉันเช้า
วัดเรามีหลวงพ่อ คนรักแน่น
เพราะท่านเป็นเหมือนพ่อของ
คนทั้งหมู่บ้าน บ้านนิมมารดี
ชื่อนี้เหมือนชื่อสรวงสวรรค์
วันนี้วันพระหลวงพ่อท่านเทศน์
น่าฟัง จำง่าย ไม่คิดลึก ทำได้
ศีลห้าเบื้องต้น เป็นคนสมบูรณ์
4 มิถุนายน 2548 15:24 น.
อัษ สายน้ำไหล
คิดถึงบ้าน(1)
ลิ่วลมโลมไล้จากปลายท้องทุ้งข้าวเขียว
ลิ่วล้อริมไพรลอดเลี้ยวรั่วเดินริ้ว
เดินกวัดไกวเดินไหลไปตามทาง
ผู้คนต่างพาปิ่นโต สำหรับคาวหวาน
เดินย่างต่างดีใจได้ไปวัด วัดความดี
ล้อมรั่วล้อมรักต่างกันก็รักที่ใจ
เดินไปบนไหลทางต่างคนทัก
ต่างคนถามความถึงสบายภายในบ้าน
บ้านเธอบ้านฉันวันวานเป็นอย่างไร
บ้านฉันวันนี้มีพี่ไปในเมือง
เพื่อต่างซื้อของน้องนุ่งที่ฝากไป
แต่วันวานวานที่ผ่านมาบ้านฉันหัวเราะ
หยอกล้อล้อเล่นกันเป็นเหมือนนกร้อง
กลางไพรเจียวแจ่วเป็นเสียงก้อง
ต่างคนต้องเนื้อตัวกันและกัน
ปั่นความรักพี่น้องท้องเดียว
3 มิถุนายน 2548 21:49 น.
อัษ สายน้ำไหล
นั้น...คือลานดาว
ลานดาวเบื้องบนฟากฟ้าอยู่แสนไกล
เป็นลานแสงระยับจับจิตผู้ผินหามอง
เป็นลานดาวยามมืดมนเดือนดับลับฟ้า
มองทอดสายตาไปยังฟ้าเงามืดยังมี
แสงเงินพริบพริบอยู่ลิบตาบนฟากฟ้า
ยื่นมองย้อนอดีตที่ผ่านไปใจยังหวน
นึกคำนวณเรื่องราวพันความตามเก็บ
มีทั้งเจ็บทั้งใจเริงร่าอวดสายตาที่ผ่าน
3 มิถุนายน 2548 21:21 น.
อัษ สายน้ำไหล
โอบกอด..ปีกอก
จากจรถิ่นฐานวานวันเคยดำดื่ม
เคยชมชื่นหญ้าเขียวรุ้งทองรวงข้าว
อบอุ่นตักนอนแม่ตนคนห่วงใย
ได้ลิ้มลองในรสแกงกับข้าวแม่ปรุง
เคยนอนนุ่งผ้าถุงแม่ยาคนกลอมนอน
เคยโอบกอดอกอุ่นยามนอนและร้องให้
เคยได้ลมสะบัดจากมือแม่เมื่อนอนแปล
หนึ่งความดูแลหนึ่งใจมิได้แปลเปลี่ยน
ด้วยปีกแขนอกอุ่นโอบกอดลูกน้อย
ค่อยป้องกลอยใจมิให้หายห่างอก
ค่อยอุ้มกกเคยจูงให้เดินตามรอยเท้า
ยามแพ้พ่ายเหนื่อยหน่ายยังค่อยจับมือ
ค่อยกระซิบ- ซิบคำหวานปลอบโยน
ค่อยตะโกนว่าอย่าแพ้พ่ายหลีกหนี
ทุกนาทีแม่อยู่ข้างกายลูกชายแม่
จงแน่วแน่เส้นทาง - ทางเส้นชัย
ด้วยไฟลุกโชนสู้ย่างก้าวไป
ด้วยหัวใจแน่วแน่ไม่แปลเปลี่ยน
แม้นคืนจะผันผ่านไปไม่คืนกลับ
แต่ความรักของแม่จะแผ่ซ่านไป
ให้ลูกชายได้รับซ่านทั่วทุกอณู
อยู่ทนสู้คู่กายถึงม้วนมรณา
อยู่ทุกเวลาวันพาไปพบเจอ
ฝั่งทะเลฝันวันข้างหน้าฟ้าคราม
แม่อยู่นี่ มาสิลูกจ๋ามาอยู่สู่
อ้อมกอดอกแม่ปีกแขนจะอุ้มโอบ
ลูกน้อยกลอยใจให้คลายเศร้า
ร้องเถอะร้องไห้ให้ดังออกไป
แม้เจ้าน้ำตาจะเปียกแก้มนุ่ม
มือแม่จะเช็ดด้วยห่วงหา
ค่อยเจรจาพาดวงใจให้ลุกโซน
ด้วยไฟต่อสู้ย้ำต่อไปในเส้นทาง....
ด้วยหวังอนาคตเจ้ามั่นคง
เป็นรากเป็นถิ่นฐานยื่นมั่นสองเท้า
แม่จึงคอยเฝ้าโอบกอดปีกอุ่น
ด้วยอกแม่ผู้เป็นสายใยสายใจ