12 มิถุนายน 2548 13:55 น.
อัษ สายน้ำไหล
ทอดสายตามองไปชั่งยาวชั่วไกล
ชั่วหวั่นไหวในแรงกายที่ก้าวเดิน
ก้าวเดินบนเส้นทางวันที่ยาวไกล
เท้าก็หวั่นไหว กายก็สั่นคลอน ใจก็สับสน
ด้วยเส้นทางมากมายหลายที่ยาวทอดไกล
อยู่รายรอบรอบตัวตนคนที่จะเดิน
เดินไปค้นเส้นทางวาดหวังตั้งใจชนะ
แม้พ่ายยกต้นตนยังลุกเดินได้
11 มิถุนายน 2548 20:20 น.
อัษ สายน้ำไหล
เย็นย่ำใกล้ค่ำน้ำหลั่งลดเป็นสายเส้น
ลมไหวเย็นกายต้องหนาวสั่นมิใช่ฝัน
หญ้าเล่นกับลมไกวไปตามทิศตะวัน
หนึ่งคนนั่นยืนรับฝนกลางลานกว้างท้องทุ่ง
หนึ่งอดีตที่พ้นผ่านฟาดฟันให้รู้แก่น
เหมือนจมแน่นกับภาพฝันอันตระการ
เป็นแสงสว่างในอดีตเรียงร้อยพันความ
เปิดช่องทางเรียนรู้แล้วให้รู้เดิน
หนึ่งนามบุรุษผู้เดินตามกาลเวลา
พบผ่านพาความหลายหลากฉากชีวิต
บ้างชื่นฉ่ำจิตบ้างชีวิตจิตซ้ำโรยรา
บางครั้งผ่านมาบ่อน้ำตาหล่นหลั่ง
ผ่านความเจ็บซ้ำตอกย้ำความล้มเหลว
ความฝันผ่านไปรวดเร็วเหลือไว้แต่น้ำตา
เกิดจาก(ชาย)ใจไว้วางปล่อยใจไปอิสระ
ความรักกลับหายไปเพราะชายอื่น
ผู้คอยยื่นความหวานปลายคมดาบ
แต่เจ้าหล่อนชอบเห็นเป็นดอกบัว
เมามัวไหลหลงความงามตามรูปกาย
สิ่งสุดท้ายใจก็ตายกายก็แตกสลาย
วันหนึ่งเมฆฝนก็ผ่านฟ้ามายังฉัน
หยดหยาดเม็ดเย็นเย็นคอยคอยร่วง
เสมือนลวงน้ำตาให้ไหลลงอาบแก้ม
ความสะอื้นร้องดังลั่นแข่งฟ้าฝน
ภาพสาวเจ้าหลายร้อยยิ้มเสนหา
เริ่มวนเวียนมาถามหาอดีตแสนสุข
คู่เราต่างสนุกพาตนค้นหาความหมาย
ต่างยิ้มสยายมองดูคู่สายตากัน
หนึ่งคู่นั้นสายตาเรามองเข้าไป
หนึ่งคู่นั้นสายตาเธอมองเข้ามา
นั้นคือภาพฝันวันอดีตที่ชื่นชม
วันนี้เรากลับขมขื่นใจหมดสิ้นรัก
สายฝนยังพรูล่วงลงมาเป็นสาย
ฝ่ายน้ำตาฉันยังไหลลงเป็นสายเศร้า
ความเศร้าเจ้าเอยจงลบเลื่อยไปสายฝน
จงเหลือไปไว้แต่ใจบริสุทธิ์เหมือนฝน
ที่หล่นร่วงเหลือไว้แต่ความชื่นฉ่ำ
เป็นความเลศล้ำยามฝนมาฟ้ายามนี้
เราวันนี้จึงพบสุขหายทุกข์เพราะเชื่อใจ
ฟ้าเอ่ยฟ้าฝนจงหล่นมารดล้างฉัน
รดมาให้หายเศร้าฝันร้ายหายไป
เหลื่อแต่สุขแต่น้ำตาน้ำฝนคนเดิม
ฝากใจรื่นเริงอิสระฝากฟ้าไป
ค่อยเริ่มหารักใหม่ใส่รักเพิ่ม
นี้ก็เย็นย่ำแล้วหนาวันนี้ตัวข้าเอย
เจ้าอย่างละเลยคนข้างหลังให้ค่อย
จงรีบเร่งขยับกายไปหารักในอ้อมกอด
เท่านี้ก็สุขสุดยอดรักของแม่พ่อ
พอแล้วน้ำตาที่ไหลหลั่งพร้อยสายฝน
ย้ำเตือนตนให้รู้ค่ารักที่ปลอมปน
ตอบสนองตนด้วยน้ำตาอันมีค่าของชาย
รับรู้ไว้ว่ารักนั้นมีค่ามากกว่าเงิน
มีค่าจนล้นโลกล้าพาสุขสันต์
โลกทุกวันล้วนถูกหลอกเย้า
เคล้าน้ำตาของผู้คนคนกล้า
ไม่หวั่นกว่าผลนั้นจะมีค่าน้อย
แต่นั้นคือคนคอยสู้แย่งแบ่งกันกิน
ทุกหมู่ชีวินต่างผกผินชีวิต
ให้ยืนยาวราวฟ้าคู่ดาราดาว
คอยยลแสงเป็นแหล่งพลังต่อสู้
สู้แล้วไม่แคล้วจะแพ้จะชนะ
แต่เป็นภาระต้องแบกหามใส่กาย
ผู้เป็นชายหญิงไม่เคยหยุดนิ่งนิ่ง
จะนั่งผิงไฟเพื่อคลายเหนื่อยกาย
ผู้เป็นบ่าวถูกแร่งร้าวจากจิต
ปรุ่งแต่งให้โหยหากายนิยม
อกชายจึงตรมบ่มน้ำตาตก
จึงร้องโห่แข้งสายฟ้าน้ำฝน
จนเปียกร่างบอกกายย้ำเตือน
สิ่งเหล่าเป็นเครื่องเตือนระวัง
จะเล่นเรื่องรักจะปลูกรากใจ
สู้พื้นดินบนถิ่นผู้อื่นคนที่เสาะหา
จงอย่าละวางความซ้ำเจ็บเพียงเม็ดงา
เสมือนเตือนว่ารากรักจะโอนเอียน
แม้เพียงลมโต้บนผืนนาแม้ฟ้าสว่าง
เมฆมืดครื้มจะมาเยือนบนทางใจ
ค่ำคืนนี้ฝนจะตกบนบ่อน้ำตา
แก้มขาวชื่นชุ่มด้วยน้ำตาเศร้า
ฝนฟ้าชะล้างความซ้ำตรมออกอก
ออกจากตาที่มืดมนด้วยรักล่วง
น้ำฝนฟ้านี้เป็นน้ำใจซ่อมแซม
เพื่อปลุกแรงศรัทธาต่อเติมแรง
เดินทางฝันวันหน้าที่รุ่งเรือง
น้ำตาน้ำฝนวันนี้เป็นอุทาหรณ์
สอนสั่งเรื่องรักที่มักหน่ายหนี
เหมือนมีมนต์ดำมาตอกย่ำชีวี
ให้เหมือนดังคนป่วยกายใจ
บ่อมซ้ำย้ำตีค่ารักเพียงเปลือกนอก
ว่ารักนั้นสุกงอมหากมีพร้อมเงินทอง
มาสุ่มมากองตรงหน้าค่านั่นจะเพิ่มพูน
โลกเรานี้หลุ่มหลงคงมาตราค่าเงิน
แต่เรื่องรักนั้นมิใช่แรกมาด้วยเงิน
เงินฤจะชื้อถึงความรักมักก็หัก
ด้ามพร้าด้วยเขาเราจึงเจ็บปวด
เรื่องรักนั้นมีให้ด้วยรักที่แบ่งปัน
ด้วยรักเช่นกันมิใช่หรือคือรักแท้
10 มิถุนายน 2548 21:36 น.
อัษ สายน้ำไหล
เราวันนี้จึงพบสุขหายทุกข์เพราะเชื่อใจ
ฟ้าเอ่ยฟ้าฝนจงหล่นมารดล้างฉัน
รดมาให้หายเศร้าฝันร้ายหายไป
เหลื่อแต่สุขแต่น้ำตาน้ำฝนคนเดิม
ฝากใจรื่นเริงอิสระฝากฟ้าไป
ค่อยเริ่มหารักใหม่ใส่รักเพิ่ม
นี้ก็เย็นย่ำแล้วหนาวันนี้ตัวข้าเอย
เจ้าอย่างละเลยคนข้างหลังให้ค่อย
จงรีบเร่งขยับกายไปหารักในอ้อมกอด
เท่านี้ก็สุขสุดยอดรักของแม่พ่อ
พอแล้วน้ำตาที่ไหลหลั่งพร้อยสายฝน
ย้ำเตือนตนให้รู้ค่ารักที่ปลอมปน
ตอบสนองตนด้วยน้ำตาอันมีค่าของชาย
รับรู้ไว้ว่ารักนั้นมีค่ามากกว่าเงิน
มีค่าจนล้นโลกล้าพาสุขสันต์
โลกทุกวันล้วนถูกหลอกเย้า
เคล้าน้ำตาของผู้คนคนกล้า
ไม่หวั่นกว่าผลนั้นจะมีค่าน้อย
แต่นั้นคือคนคอยสู้แย่งแบ่งกันกิน
ทุกหมู่ชีวินต่างผกผินชีวิต
10 มิถุนายน 2548 21:20 น.
อัษ สายน้ำไหล
แล้วค่ำคืนหนึ่งของคืนฝนตก
เอามือยกขึ้นดับไปที่หัวนอน
อากาศก็ลอยพัดความหนาวเข้าหน้าต่าง
ฉันนอนเอียวข้างข้างฝาหลังคาสังกะสี
เม็ดฝนหล่นมานานหลานชั่วยาม
ฉันนอนเฝ้าคนึงถึงเจ้าพร้อมสายฝน
โดดเดี่ยวตนกลางบ้านบ้านควนเคหา
ชีวิตจึงคอยสมส่วนกับมวลแมกไม้
เปรี้ยงปร้างดังอยู่บนหลังคาบ้านเรา
นางเมขลาคงล่อแก้วเจ้าอสูรยักษ์พาล
พานโกรธคิดลงโทษทัณฑ์เอาขวานขวางไปทันใดใจโกรธ
เสียงขวานไปจึงดังลั่นฟังเป็นเสียงฟ้าร้องเมฆน้อยน้อยก็พลอตกใจลอยไป
อยู่หนไหนรวมใจกันเป็นกลุ่มก้อน
ไม่หน่ายหนีหน้าพาเอาตัวรอด
ช่วยตลอดจึงปลอยภัยมายังพื้นดิน
มนุษย์อย่างฉันได้อาบกิน
พืชพันธ์ชนิดต่างต่างแตกกิ่งก้าน
ใบก็เขียว ดินก็ชุ่ม น้ำก็ปริมคอลง
ตกต่างร้องตื่นเช้าบินไป
ฟ้าแสงทองเริ่มใหม่ฟ้าครามดี
เราต่างดีชื่นสูดดมบรรยากาศเช้า
ผู้ต่างเฝ้าทยานออกจากบ้านมีรั่ว
คือครอบที่อุ่นอบครบพ่อแม่
ช่วยกันปลูกรักสร้างสามัคคี
เป็นวิถีถนนคนในครอบครัว
ล้อมรั่วปลุกรักปักเกสรสืบสาน
สืบทยาทสืบสัญชาติ ชาติไทย
7 มิถุนายน 2548 21:21 น.
อัษ สายน้ำไหล
วันหนึ่งเมฆฝนก็ผ่านฟ้ามายังฉัน
หยดหยาดเม็ดเย็นเย็นคอยคอยร่วง
เสมือนลวงน้ำตาให้ไหลลงอาบแก้ม
ความสะอื้นร้องดังลั่นแข่งฟ้าฝน
ภาพสาวเจ้าหลายร้อยยิ้มเสนหา
เริ่มวนเวียนมาถามหาอดีตแสนสุข
คู่เราต่างสนุกพาตนค้นหาความหมาย
ต่างยิ้มสยายมองดูคู่สายตากัน
หนึ่งคู่นั้นสายตาเรามองเข้าไป
หนึ่งคู่นั้นสายตาเธอมองเข้ามา
นั้นคือภาพฝันวันอดีตที่ชื่นชม
วันนี้เรากลับขมขื่นใจหมดสิ้นรัก
สายฝนยังพรูล่วงลงมาเป็นสาย
ฝ่ายน้ำตาฉันยังไหลลงเป็นสายเศร้า
ความเศร้าเจ้าเอยจงลบเลื่อยไปสายฝน
จงเหลือไปไว้แต่ใจบริสุทธิ์เหมือนฝน
ที่หล่นร่วงเหลือไว้แต่ความชื่นฉ่ำ
เป็นความเลศล้ำยามฝนมาฟ้ายามนี้