8 สิงหาคม 2550 16:29 น.
อัศรีย์
น้ำฝนบนปลายหญ้าตกลงพื้นน้ำในบ่อหน้าบ้าน จนเกิดระรอกน้ำเล็ก ๆ แสงมองขึ้นฟ้าและถอนหายใจเบา ๆ "ลาก่อนเจน"
บ้านหลังน้อยกลางหุบเขา ที่พำนักของชายหนุ่มนามว่าแสง เขาเป็นนิสิตหนุ่มพึ่งจบใหม่ที่หันหลังจากแสงสีเมืองกรุง แล้วมุ่งหน้ากลับบ้านเกิดเพื่อนำวิชาความรู้มาพัฒนาบ้านเกิด เขามุ่งมั่นและบากบั่นที่จะพัฒนาพื้นที่รกร้างกลางป่าเขาให้เป็นที่ทำกินแบบฉบับเศรษฐกิจพอเพียง แม้เพื่อนบ้านจะประกาศขายที่ดินและหอบลูกหอบหลานหนีเข้ากรุงเกือบหมดแล้วก็ตาม แสงอยู่กับเจนซึ่งเป็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์มาตั้งแต่เข้ารั้วมหาวิทยาลัยมาด้วยกันและตกลงปลงใจแต่งงานมาอยู่กินร่วมกันเมื่อพวกเขาเรียนจบ
ชีวิตพวกเขาเต็มไปด้วยความสุข วัน ๆ ผ่านไปกับการพลิกฟื้นหน้าดิน และการเพาะปลูก เมล็ดพันธุ์พืช เมล็ดพันธุ์รักต่างถูกหว่านลงบนพื้นดินที่สมบูรณ์พร้อมและรอคอยน้ำฝนเพื่อการเจริญเติบโต และก็ย่างก้าวเข้าฤดูฝนอย่างพอดิบพอดี ฝนตกลงดิน เมล็ดพันธุ์ที่โปรยปลูกไว้ ก็เริ่มงอกงาม เป็นต้นกล้าสีเขียวอ่อน เล็ก ๆ มากมาย แสงและเจนยืนมองที่หน้าชานบ้านอย่างมีความสุข
เสียงลมพัดผ่านกระทบใบไม้ไหว ดั่งดนตรีไพร ขับกล่อมให้หลับไหล ท่ามกลางอุ่นไอธรรมชาติ บนนภาเวิ้งว้าง รายล้อมด้วยกลุ่มดาวน้อยใหญ่ นับล้านดวง
แสงและเจนมักจะมานอนดูดาวยามค่ำคืนด้วยกันเป็นประจำ "ตอนเราอยู่กรุงเทพเราก็เคยนอนดูเนาะ" แสงพูดขึ้น แต่เจนทำหน้าฉงน "มีดาวให้นอนดูด้วยหรือ" แสงยิ้มแล้วกระซิบเบา ๆ ที่ข้างหูเจน "ก็ตอนที่เราไปทัศนศึกษากันที่ท้องฟ้าจำลองไงล่ะ จำไม่ได้หรือ" เจนยิ้มหน้าแดง "อืม ตอนนั้นที่แสงสัญญากับเจนว่า จะพาเจนมานอนดูดาวของจริงกันลำพังสองคน ทุกคืนเลย"
3 กรกฎาคม 2550 16:42 น.
อัศรีย์
ชีวิตที่ผ่านมาของฉันเต็มไปด้วยความราบเรียบ และน่าเบื่อ วัน ๆ ก็ทำงานกินเงินเดือนไปวัน ๆ ไม่เคยภาคภูมิใจอะไรกับเขาในชีวิต ไม่รู้สึกว่าตนเองยิ่งใหญ่หรือต่ำต้อย ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ผ่านไปวันแล้ววันเล่ากับชีวิตที่น่าเบื่อ เงินทองที่หามาสะสมก็สะสมไปเรื่อย ๆ ไม่ค่อยหาความสุขกับชีวิต ไม่รู้จะใช้ไปทำอะไร แค่ดีก็ซื้อของกินปะทังชีวิตไปวัน ๆ วันแล้วก็วันเล่า ฉันมักจะอยู่กับสิ่งเดิม ๆ นี้ จนกระทั่งวันนึง ฉันก็เลยนำเงินที่หามาเก็บไว้เฉย ๆ นี้ ไปลองทำอะไรให้กับตัวเองบ้าง ที่ไม่ใช่แค่การผลาญมันไปเล่น ๆ แบบไม่มีความหมาย หรือแค่ปะทังชีวิตเหมือนแต่เป็นมาฉันบังเอิญเข้าไปเล่นอินเตอร์เน็ตและพบโฆษณาที่เกี่ยวกับการหารายได้รวดเร็วและไม่จำกัดอะไรเลย แต่มันก็กำกวบเหลือประมาณ ว่ามันคืออาชีพอะไรกันแน่ ฉันคิดว่ามันเป็นอะไรสักอย่างที่น่าจะหลอกลวงเงินของฉัน เหมือนที่คนอื่นโดน ๆกัน แบบว่าตกเป็นเหยื่อ ซึ่งสมัยก่อนฉันจะมองข้ามโฆษณาเหล่านี้ เพราะไม่ชอบการเสี่ยงใด ๆ ทั้งสิ้น จนกระทั่งมาถึงวันนึงที่ฉันอยากมีชีวิตที่ไม่ราบเรียบอีกต่อไป ขอลองอะไรที่ท้าทาย และเป็นการเสี่ยงกับชีวิตดูบ้าง เผื่อจะมีอะไรที่แตกต่างขึ้นมาบ้างกับชีวิตที่ผ่านมา คิดได้ดังนั้นก็ทำการกรอกใบสมัครไป และไม่นานนักก็มีคนโทรติดต่อเข้ามา เธอแนะนำว่าเธอชื่อพิม ทำธุรกิจโสมเกาหลีตังกุยจับ ซึ่งฉันคิดว่าไม่น่าทำในตอนแรก และหลอกให้เข้าไปสมัครโดยแน่แท้ ซึ่งก็คงไม่ต่างอะไรไปจากพวกแชร์ลูกโซ่ที่ฉันเคยเรียนมาเป็นแน่ ท่ามกลางเสียงทัดทานของคนในครอบครัวโดยเฉพาะแม่และเพื่อนบ้านมากมาย ทำให้ฉันรู้สึกอยากเข้าไปลองมากยิ่งขึ้นเพราะเขาเองก็ยังไม่เคยทำหรือฟังการบอกเล่ามาต่อปากเท่านั้นแต่ก็สรุปกันไปต่าง ๆ นานา ว่าถูกหลอก ไปไม่รอด ชัวร์แบบฟันธง ฉันก็เลยอยากเป็นธงที่ถูกฟันดูบ้างว่าจะรู้สึกอย่างไรบ้าง เอ้าลองกันสักตั้ง แต่แล้วสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นฉันทำโทรศัพย์หาย การติดต่อระหว่างฉันกับคุณพิมถูกตัดขาดจากกันไปชั่วระยะนึง จนแรงพลักดันในใจฉันหายไป และถอดใจไม่คิดจะทำ แต่แล้ววันนึงฉันก็ไปขอซิมการ์ดกลับคืนมาจนได้และคุณพิมก็ยังไม่ลดละที่จะโทรตามตัวฉัน และเธอก็ส่งซีตีเปลี่ยนแปลงชีวิตให้กับฉันมาให้แผ่นนึง ด้วยความที่อยากเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้นและมีอะไรที่ท้าทายทำจึงทำให้ฉันติดต่อคุณพิมและสมัครเข้าร่วมงานกับเธอเป็นต้นมา ฉันเริ่มปลุกยักษ์ตัวแรกให้ตื่นขึ้น โดยการบากบั่นไปพบเธอที่อิมพีเรียล ลาดพร้าว ซึ่งขณะนั้นฉันได้ไปปฎิบัตภาระกิจที่บางนา ซึ่งที่ทำงานจริงฉันอยู่แถมฝั่งธนฯ ฉันเดินทางเพียงลำพัง ทั้งที่ไม่รู้จักและไม่คุ้นเคยกับสถานที่เหล่านั้นเลยและด้วยเวลาจำกัดที่ฉันต้องโดดงานแว้บไปสมัครสมาชิกโสมถึงลาดพร้าว ฉันต้องแข่งกับเวลาเพื่อต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จและรีบเดินทางไปสมัครสมาชิกโสม ความราบเรียบในชีวิต ก็มีการเร่งรีบและมีเป้าหมายและความมุ่งมั่นเกิดขึ้น ฉันสอบถามทางไปลาดพร้าวกับคนส่งเอกสารคนนึงที่จอดรถอยู่ที่หน้าบริษัทที่ฉันพึ่งไปปฏิบัติงานลุล่วง แต่เขาก็ไปไม่ถูกเหมือนกัน แต่ความมีน้ำใจของเขาก็ให้ฉันซ้อนท้ายมอเตอร์ไซน์ของเขาเพื่อพาไปส่งที่ป้ายรถเมล์ เพราะแถวนั้นไม่มีรถผ่านออกมา ฉันพบอะไรในตัวเองหลายอย่าง ความกล้าบ้าบิ่นของฉันนั่นเอง ซึ่งแต่เดิมฉันคงไม่กล้าซ้อนท้ายมอเตอร์ไซน์คนแปลกหน้าออกมาในสถานที่ ที่ฉันไม่รู้จักเป็นแน่ และเขาก็พาฉันมาจนถึงป้ายรถเมล์ ฉันเดินทางอย่างมั่วสั่ว ขึ้นรถสายอะไรก็ยังไม่รู้ แต่เพราะฟลุ้คหรือฟ้าเข้าข้าง ทำให้ฉันกระโดดลงจากรถเมื่อเห็นสถานีรถไฟฟ้า (บอกตามตรงฉันไม่เคยใช้บริการมาก่อนเลย) ยักษ์ในตัวฉันพาฉันมาทำอะไรกันตรงนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างสร้างประสบการณ์ชีวิต เจ้ากบน้อยออกจากกะลาสักที ฉันมาลงหมอชิตแบบมั่ว ๆ และโทรหาคุณพิมว่าจะไปต่อยังไงดี เธอบอกสายรถมาแต่ฉันก็ใจร้อนขึ้นสายอื่นๆ มั่ว ไป มันก็ดันผ่านไปจนถึง ตลอดทางก็ใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เอ้าฉันมาถึงจุดหมายภายในเวลาครึ่งชั่วโมง สรุปรถไฟฟ้าสุดยอด จริง ๆ แต่หัวใจฉันสุดยอดกว่า (ชมตัวเองสักนิด) ฉันไม่ถามอะไรมากเมื่อพบกับคุณพิม แล้วก็รีบสมัคร ๆ และก็รีบกลับบริษัทที่ย่านฝั่งธนฯ แบบไม่กระทบกับเวลางานจริงมากนัก จากความมุ่งมั่นครั้งนั้นก็ทำให้ฉันรู้สึกฮึกเหิมมากขึ้น จากกบเป็นยักษ์ใหญ่ที่ใจพองโตและไม่กลัวอุปสรรคใด ๆ ทั้งสิ้น ฉันเริ่มทำธุรกิจนี้เพียง 2 อาทิตย์ ฉันก็ได้รายรับที่น่าพอใจกว่าการนำเงินไปฝากไว้ที่ธนาคาร รอดอกเบี้ยอันน้อยนิด และไม่ได้ใช้ความสามารถใด ๆ ตอนนี้ฉันได้เงินลงทุนคืน ซึ่งถ้าถามว่ามากไหมน่ะ ไอ้เงินลงทุนน่ะ มันก็แค่ 1,862.- เท่านั้นไม่มากมายอะไรและก็ได้สินค้าคุณภาพเขามาถึง 2 ชิ้น ซึ่งทำให้ฉันบรรเทาจากโรคปวดประจำเดือน ที่ฉันทุกข์ทรมานมานานแรมหลายปี นับจากวันเริ่มมีครั้งแรก ความคุ้มค่ามันเกิดขึ้นแต่แรกแล้ว และฉันยังให้สุขภาพที่ดีกับคนในครอบครัว ซึ่งพ่อของฉัน ท่านเป็นทุกข์จากโรคปวดเมื่อย ไมเกรน นอนไม่หลับ ทองอืด ท้องผูก ถ่ายลำบากแต่ทุกโรคที่กล่าวมาก็บรรเทาลงเมื่อพ่อของฉันได้ทดลองดื่มโสมเกาหลีตังกุยจับ จากโลกที่ไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่สุงสิงกับใคร อยู่อย่างโดดเดี่ยว ก็เปลี่ยนไป ฉันมีเพื่อนมากขึ้น และเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ฉันปลุกยักษ์วิเศษในตัวฉันออกมาใช้งานได้แล้ว แล้วท่านล่ะ...............
26 พฤษภาคม 2550 15:11 น.
อัศรีย์
ความโกรธแผดเผาตัวเองมอดไหม้ แต่ไม่ส่งผลทำร้ายศัตรูได้แม้แต่น้อย..........
ช่วงนี้ถึงฝนจะตกเกือบทุกวันแต่อากาศเมืองไทยก็ยังคงร้อนอบอ้าวอยู่ดี อากาศก็ร้อนเวลาโกรธใครขึ้นมาก็ยิ่งร้อนมาก ร้อนจนเส้นเลือดฝอยแตก เลือดกำเดาไหลไปเลย แต่จนแล้วจนรอดก็ยังอดที่จะมีความโกรธไม่ได้สักที เวลาโกรธก็จะหมกมุ่นคิดวุ่นวายจะแก้แค้นไอ้คนที่ทำให้เราโกรธได้อย่างไร แบบไม่เป็นอันกิน อันนอน หรือทำสิ่งอื่นใด เพราะสติปัญญาต่าง ๆ ถูกระดมมาหาวิธีแก้แค้นให้หายโกรธ ทั้ง ๆ ที่ไอ้คนที่ทำให้เราโกรธนั้นไม่รู้สา รู้สมเลยแม้แต่น้อย กับนั่งหัวล่อ ต่อกระสิกสนุกสนานวุ่นวายกับสิ่งที่มันทำ ก็ยิ่งเพิ่มทวีความเจ็บแค้นจนกลายเป็นไฟแผดเผาตัวเองมอดไหม้ ชีวิตไม่มีความสุข ดื่มน้ำเย็น ๆ ก็ดับร้อนไม่ได้ เพราะความร้อนนั้นมันฝังแน่นอยู่ในจิตใจ นั่งหาวิธีแก้แค้นอยู่นานทำไม่ได้ สิ่งนึงที่คิดได้คือยอมแพ้ คิดขึ้นมาก็ยิ่งทวีความเจ็บใจ ไม่หาย แต่พอนึกถึงธรรมะขึ้นมาก็เลยคิดมาได้คำนึงว่า "ให้อภัย" ท่านเชื่อมั้ยความร้อน หรือเปลวเพลิงแผดเผาจิดใจเราอยู่นั้นก็พลันมลายไปทันที การให้อภัยไม่ใช่ว่าเรายอดแพ้แต่เป็นการเอาชนะ ไม่ใช่เอาชนะเขาแต่เอาชนะตัวเรา เราชนะตัวเอง เพราะพอเราสบายใจ เราก็จะมีสติสตัง ไปคิดทำสิ่งอื่น ๆ ให้ชีวิตดีขึ้น ไม่ใช่จมปักอยู่กับการคิดแก้แค้น แต่ถ้าท่านพบปัญหาว่าแม้เราจะให้อภัยคนที่ทำให้เราโกรธครั้งแล้วครั้งเล่า มันก็ยังคงทำให้เราโกรธอยู่ไม่เว้นวาย ก็ขอให้ท่านทำใจ และรู้สึกสงสารเขาผู้นั้นให้มาก ๆ เพราะเขาเองนั่นแหละที่ไม่มีความสุขจากก้นบึ้งแห่งหัวใจเอาเสียเลย เพราะพอตัวเองไม่มีความสุขก็เลยอยากหาเพื่อนให้ไม่มีความสุขไปด้วย เราต้องสงสารคนพวกนี้ให้มาก ๆ และให้อภัยเขาเถิด สักวันถ้าเขาทำเราให้โกรธไม่ได้แล้ว ไฟนั้นก็ย้อนกลับไปแผดเผาตัวเขาเองจนมอดไหม้ เราจงช่วยเหลือเขา อย่าได้จองเวรกันต่อไป แล้วเราจะได้ความภาคภูมิใจเป็นที่สุด เพราะการช่วยเหลือศัตรูให้กลับมาเป็นมิตรนั้น เป็นชัยชนะที่หาได้ยากยิ่ง........................
25 พฤษภาคม 2550 18:15 น.
อัศรีย์
เรื่องหนูหื่น อินเตอร์ เป็นเรื่องจริง ที่เพื่อนคนนึงที่ฉันรู้จัก เล่าให้ฟัง ถึงประสบการณ์ที่เขาแชตในอินเตอร์เน็ต และได้รู้จักกับตัวละครของเรื่องนี้ และขอใช้นามสมมุติให้กับเธอว่า หนูหื่น เพราะวีรกรรมที่เธอทำสมชื่อจริง ๆ แนวเรื่องตอนต้น ๆ อาจคล้ายเรื่อง หนูหิ่น อินเตอร์ ที่โด่งดัง แต่การเอาดีของคนทั้งคู่ต่างกันราวฟ้ากับเหว
หนูหื่นเป็นสาวชนบท หน้าตา ผิวพรรณ ก็บ้าน ๆ ตามประสาคนบ้านนอกคอกหน้า แต่ต่างจากสาวชาวบ้านทั่วไป ตรงที่เธอไม่เป็นที่ต้องการของหนุ่ม ๆ ในหมู่บ้านเลย และมักจะถูกชมอยู่เป็นประจำ "ยัยขี้เหร่ ตัวดำ หัวยิก คิ้วดก อกหย่ายแต่ยานโตงเตง ยัยแคะแกร็น" ซึ่งเป็นลักษณะที่คนไทยมักไม่ชอบ แต่ไปโดนใจพวกฝรั่งตาน้ำข้าวโน่นแหละ เธอเก็บกดมานานและฝันว่าสักวันเธอจะต้องได้คนที่ดีกว่าหนุ่ม ๆ ในหมู่บ้านนี้ และมีความสุขทางเพศมากกว่าที่เพื่อน ๆ สาวของเธอ ได้เล่าให้เธอฟัง เพื่อน ๆของหนูหื่นมีแฟนตั้งแต่อายุ 15 ปี และมีลูกกันหมดแล้ว ขณะนี้หนูหื่น อายุ 22 ปี ซึ่งนับว่าเป็นปมด้อยมาก ที่ยังหาคู่ไม่ได้ เธอจึงเริ่มวางแผนการโกอินเตอร์......................
ทอม ทอม แวยูโก...ไอไล้พัฒพงษ์ หนูหื่นมักได้ยินเพลงนี้เป็นประจำเพราะพ่อของเธอชอบเปิด เธอจึงเริ่มต้นที่พัฒพงษ์ เพราะฝรั่งชอบไป "อิ อิ คงได้กินฝรั่งสักสองสามลูกน่ะ" หนูหื่นคิด และเธอก็มาถึงพัฒพงษ์อย่างง่ายดายเพราะเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป เป้าหมายแรกของเธอคือผับใดก็ได้ในย่านนี้ "ว้าว ๆ ฝรั่งเต็มไปหมดเลย จะสอยลูกไหนก่อนดีนะ" หนูหื่นตีปีกดีใจ เหร่ฝรั่งอย่างหื่นกระหาย
เธอเดินเหร่ฝรั่งเพลินจนไปเดินชนผู้หญิงคนนึงที่ในอนาคตเป็นผู้พาเธอโกอินเตอร์ได้สำเร็จ สมมุติว่าเจ๊ผู้นั้นชื่อ ปิ๋ว ใครในย่านนั้นเรียก เจ๊ปิ๋วจอมปั้น เพราะเธอปั้นนักเต้นอะโกโก้ส่งตลาด และได้เป็นดาวรุ่งอยู่หลายคนโข เจ๊ปิ๋วเป็นหญิงประเภทสองแต่ไปผ่ามาเรียบร้อยแล้ว เธอจึงไม่ต่างอะไรไปจากหญิงแท้ ๆ เลย ถ้าไม่สังเกตจริง ๆ หนูหื่นขอโทษของโพยเจ๊ปิ๋ว "พึ่งมาจากตจว.สิเรา ถึงได้ตื่นฝรั่งนัก ดูสิ จ้องเหมือนจะให้เขาละลายเข้าปากไปเลย สนใจไปทำงานกับเจ๊มั้ยล่ะ" เข้าล็อคหนูหื่นพอดี แต่ก็อดเล่นตัวนิดนึงไม่ได้ "อืม แบบหนูเนี่ยะนะ รูปร่างหน้าตา ผิวพรรรณ กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด ก็คิดแพงนิดนึงนะเจ๊ จะสู้ไหวปะ" "แหม ๆ ยังไม่รู้เลยว่าเจ๊จะให้ไปทำอะไร เคี่ยวจริงนะ ไม่สนใจก็ไม่เป็นไร งั้นเจ๊ไปก่อนนะ" หนูหื่นแทบกระโดดกอดขาเจ๊ปิ๋ว "ฟรี ก็ได้จ้ะ ขอข้าว ขอน้ำ ขอที่อยู่ก็พอจ้ะ" เจ๊ปิ๋วยิ้ม "งั้นตามมา" และก็มาถึงตึกแถวของเจ๊ปิ๋ว ซึ่งหน้าบ้านตอนกลางวันก็ดูไม่มีอะไร ธรรมดา ๆ เจ๊ปิ๋วให้หนูหื่นขึ้นไปพักกับน้องแบ๊ว ซึ่งเป็นดาวเต้นอะโกโก้ในสังกัดเจ๊ปิ๋ว น้องแบ๊วอายุเพียง 18 ปี แต่มีชื่อเสียงมากในย่านนั้นด้วยรูปร่างหน้าตาและท่าเต้นยั่วยวนแบบสุด ๆ ที่เจ๊ปิ๋วสอนมากับมือ มีหรือจะไม่ดัง "ก็อก ๆ ๆ" เจ๊ปิ๋วเคาะประตูเรียกน้องแบ๊ว "ประตูไม่ได้ล็อคเข้ามาเลย" แบ๊วตะโกนออกมา เจ๊ปิ๋วจึงเปิดประตูเข้าไป หนูหื่นเดินตามเจ๊ปิ๋วเข้าไป แล้วเธอก็ถึงกับยืนตัวแข็ง เสียงเพลงทำนองน่าเต้นปะทะเข้าหู กับภาพเบื้องหน้า หนูแบ๊ว ในสภาพเปลือย ไม่มีอะไรสักชิ้น ยืนถ่างขา รูดเสาขึ้น ๆ ลง ๆ แบบเป็นจังหวะ "จะถอนตัวก็ได้นะ" เจ๊ปิ๋วหันมาถามหนูหื่น หนูหื่นกลืนน้ำลายเอือก "ไม่จ้ะ เพื่อบรรลุเป้าหมายฉันทำได้จ้ะ" เจ๊ปิ๋วยิ้มอย่างพอใจ "แบ๊ว นี่เพื่อนใหม่ พาไปแปลงสภาพด้วยนะ อย่าให้ผิดหวังล่ะ" "ส บ ม อย่าห่วงเลยเจ๊ หนูไม่เคยทำให้ผิดหวังอยู่แล้ว" เจ๊ปิ๋วเดินผละจากห้องไป "อายอะไรล่ะ หน้าแดงเชียว ผู้หญิงเหมือนกันน่ะ อาชีพนี้อายไม่ได้นะ" แบ๊วเดินไปปิดเพลง และเดินตรงมาที่หนู่หื่นที่ยืนเคอะ ๆ เขินๆ อยู่มุมห้อง และทันใดนั้น หนูหื่นก็ใจหายวาบ ขนลุกเกรียว ด้วยนิ้วมือของแบ๊วเข้าไปอยู่ในเสื้อในของหนูหื่นซะแล้ว แบ๊วค่อย ๆ ไล้เนินอกของหนูหื่น แล้วใช้สองมือสอดเข้าไปในเสื้อของหนูหื่น "อืม มันหย่าย ใช้ได้ แต่หย่อนยาน อย่างกับมีลูกแล้ว มันไม่สวยอ่ะ เวลาโชว์ ไหนลองถอดออกมาดูชัด ๆ ซิ" หนูหื่นจึงถอดเสื้อออกเหลือแต่เสื้อชั้นใน "ถอดให้หมดเลย ไม่ต้องอายหรอก ไงก็ต้องโชว์อยู่แล้ว" หนูหื่นลังเลเล็กน้อย แล้วเธอก็ถอดออก "ห้อยมาก มีลูกหลายคนแล้วสิ" หนูหื่นส่ายหน้า แบ๊วให้หนูหื่นไปอาบน้ำแล้วแก้ผ้าออกมาเลย เพื่อจะได้เข้าสู่กระบวนการแปลงโฉมกันต่อไป หนูหื่นอาบน้ำนานเป็นพิเศษ เพราะนั่งขัดถูขี้ไคล ที่ไม่ได้ขัดมานาน หนูหื่นเดินออกจากห้องน้ำมาด้วยร่างกายที่ไร้เครื่องนุ่งห่ม ภาพที่เธอเห็นเบื้องหน้าทำให้เธอหยุดกึ้ก.......... แท่งอะไรสักอย่างค่อย ๆ สอดไป แล้วน้ำเมือกเหลว ๆ ก็ไหลออกมา น้องแบ๊วเธอคงเพลินจนไปสังเกตุว่าหนูหื่นยืนดูอยู่และจินตนาการไปถึงไหนแล้ว "อะแห่ม" ยืนคิดอะไรอยู่จ๊ะ " น้องแบ๊วตะโกนถาม "พอดีเป็นหวัดอ่ะ คัดจมูก เลยเอายาดมเสียบไว้ น้ำมูกแม่งไหลเละเลย คืนนี้จะโชว์ได้ไหมเนี่ย" แบ๊วพูดไปเช็ดน้ำมูกไป แล้วแบ๊วก็ไปหยิบผ้าขนหนูมายื่นให้หนูหื่น เช็ดแล้วไปนอนบนเตียงเลย "จะทำไรเราอ่ะ" หนูหื่นถามอย่างกังวล "เถอะน่า ฉันไม่ชอบตีฉิ่งหรอก หรือเธอชอบ เมื่อกี้เห็นนะ คิดไรอยู่" หนูหื่นเดินมานอนบนเตียงโดยดี แล้วแบ๊วก็เดินไปหยิบกระปุ๊กครีมในตู้ออกมา "นี่คือครีมตบนมเด้ง ภายใน 3 วัน รับประกันความพอใจ ทำเงินได้อย่าลืมจ่ายนะ คอร์สนี้ 15,000.- ย่ะ" หนูหื่นพยักหน้า "เริ่มล่ะนะ" หนูหื่นพยักหน้า ระหว่างที่แบ๊วตบนมให้อยู่นั้น หนูหื่นก็เหลือบมองดูนมของแบ๊ว ซึ่งสวยงามและเด้งกระชับ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ใส่ยกทรงไว้ น่าดูมาก ขนาดเธอเป็นผู้หญิงด้วยกันยังชอบดูขนาดนี้ แล้วผู้ชายล่ะ ไม่น่าแปลกที่แบ๊วเป็นดาวเด่นในย่านนั้น "ยังไม่มีลูก แล้วมีผัวหรือยัง หรือว่าเคยนอนกับใครมาบ้างรึยัง" น้องแบ๊วถาม "ยัง" หนูหื่นตอบ "ไม่น่าเชื่อ" แบ๊วทำหน้าสงสัย ทันใดนั้นเอง "ว๊าย" หนูหื่นร้องสุดเสียง นิ้วกลางของแบ๊วก็เข้าไปอยู่ในง่ามดอกบัวของหนูหื่นซะล้ว "ถ่างออกหน่อยสิ" แบ๊วสั่ง "ทำอะไรของเธอ แบบนี้ฉันไม่ชอบนะ เสียตัวครั้งแรกกับนิ้วอ่ะ" แบ๊วทำหน้าดุ หนูหื่นแลยต้องทำตาม แบ๊วก้มลงมองและใช้นิ้วถ่างที่ง่ามดอกบัวจนหนูหื่นร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นมา "จริงด้วยเธอยังไม่เคย เจ็บตายแน่ เลือดจะออกด้วยเพราะเล็กมาก ซิงจริง ๆ นะ เดี๋ยวคืนนี้เธอก็ไปดูฉันโชว์แล้วกัน ตอนที่ฉันก้าวมาอาชีพนี้ ฉันก็นอนกับผู้ชายมาหลายคนแล้วล่ะ เลยไม่รู้สึกเจ็บสักเท่าไหร่ จะเจาะไข่แดงให้ก็เสียดาย อยากได้ 2 เด้งมั้ย ทั้งเงินและทั้งงาน และก็ไม่ต้องทำหน้า 2 ง " แบ๊วพูดจบ หนูหื่นก็พยักหน้า แบ๊วจึงเดินไปโทรศัพท์ "อืม คืนนี้เลย พร้อมนะ ที่ห้องฉันนี่แหละ ฉันจะไปโชว์ไม่มีใครอยู่หรอก แล้วก็เข้านอนปกติ ไม่ต้องล็อคประตูนะ เดี๋ยวเงินกับงานก็มาเอง" แบ๊วพูดจบก็เดินเข้าห้องน้ำไปเพื่อเตรียมตัวไปแสดงโชว์ ส่วนหนูหื่นก็ยังงง ๆ อยู่ นอนเฉย ๆ ก็ได้ทั้งเงินทั้งงาน "อะไรฟะ" แต่เธอก็ทำตามโดยดี ............ โปรดติดตามตอนต่อไป เพราะเรื่องราวกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็ม
21 พฤษภาคม 2550 18:49 น.
อัศรีย์
ฉันเคยเดินผ่านตู้โทรศัพทย์สาธารณะ และพบข้อความหนึ่งแปะไว้ที่ตู้โทรศัพท์ เป็นข้อความที่อ่านดูแล้ว ไม่คิดว่าฉันจะเจออะไรแบบนี้เป็นแน่ ข้อความนั้นเขียนไว้ว่า (หมาให้ของกินมันยังรู้คุณ แต่คนบางคนที่ขึ้นชื่อว่าเพื่อน ยังสู้มหาไม่ได้เลย)
แต่ท่านเชื่อไหมว่าไม่นานฉันก็เข้าใจ เพราะมันเกิดขึ้นกับฉันนั่นเอง
มิตรภาพดี ดี มักจะเกิดขึ้นตอนที่ฉันมีความสุขดี มีของกิน มีผลประโยชน์มอบให้
แต่ท่านเชื่อมั้ยว่าเมื่อฉันป่วย นอกจากจะไม่ใครสนใจแล้ว ยังโดนว่าเหน็บแนมให้ทุกข์ใจเป็นเนือง ๆ ถึงฉันป่วยก็ยังสู้แบกสังขารมาทำงาน โดยไม่หยุด แต่ก็มีคนที่ฉันเคยเรียกว่าเพื่อน มันยังตามมาเหน็บแนมฉัน "ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย" ด้วยน้ำเสียงและท่าทางกวน ๆ แต่พอต่อหน้าผู้อื่นก็เข้ามาทำเป็นห่วงเป็นใย แต่พอไม่มีใครอยู่ก็คอยเหน็บแนม พูดให้เจ็บใจต่าง ๆ นาๆ ด้วยสายงานต้องไปขอข้อมูลมัน มันก็ทำโวยวายให้หัวหน้าเข้าใจว่าฉันแกล้งเพิ่มงานให้เพื่อน อยากให้เพื่อนลาออกหรือไง พอผู้จัดการเข้ามา หัวหน้างานก็แสร้งรายงาน ว่าฉันหาเรื่องเพื่อนแสร้งหางานเพิ่มให้เพื่อนต้องลำบาก ท่านรู้หรือไม่ทำไมหัวหน้างานถึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าเขาขายของในโรงงาน หากใครซื้อก็ทำดีด้วยแต่ถ้าใครไม่ซื้อก็จะพยายามหาเรื่อง หรือถ้าใครเคยซื้อและไม่ซื้อต่อก็จะโดนดีเช่นกันทุกคน และอย่าหวังว่าจะไปซื้อที่อื่นได้ ผูกขาดเลยทีเดียว ขนาดหาเงินไปปลูกบ้านได้เป็นหลัง ๆ เพราะเป็นคนเก่าคนแก่ ถึงเจ้าของรู้ก็ไม่เอาความ จึงได้ใจ ใครที่ซื้อของเขา เขาก็ทำทีปกป้องและพาไปเลี้ยงเล็ก ๆ น้อย ๆ ดูให้เป็นบุญคุณ จะได้ซื้อของกับเขาต่อ แต่ที่จริงก็คือเศษเงินที่เขาเจียดให้จากผลกำไรที่เขาขาย ซึ่งเกือบครึ่ง ถ้าหากไปซื้อที่ร้านเอง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงงานเท่าไร แต่ไม่มีใครกล้าเพราะเกรงบารมี คนที่ฉันเคยเรียกว่าเพื่อน ฉันพยายามช่วยมันออกจากอำนาจมืดที่หัวหน้างานใช้มันเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งผู้อื่นที่ต้องใช้ข้อมูล แต่ไม่ซื้อของและทำทีจะมาอยู่เหนือเขา ด้วยความหมั่นไส้ จึงใช้เพื่อนฉันเป็นเครื่องมือมานาน ทั้ง ๆ ที่ผู้จัดการก็ต่อว่ามันเป็นประจำ จนฉันสงสาร และพยายามจะช่วยมันให้ได้ แต่หัวหน้างานก็เพียงบอกว่าจะพูดแก้ตัวกับผู้จัดการให้ แต่ฉันก็ไม่เห็นจะแก้ปมให้มันได้สักที จนกระทั่งมันร่วมมือกับหัวหน้างานมาทำร้ายจิตใจฉัน ฉันก็ยังคิดช่วยมันอยู่ และในที่สุดฉันก็พาผู้จัดการมาแก้ไขงานเอง เพื่อจะได้มีข้อมูลที่สมบูรณ์มอบให้กับทุกแผนกได้แบบไม่ต้องให้ใครโดนกลั่นแกล้ง หัวหน้างานทำหน้าจ๋อย ๆ ส่วนเพื่อนฉัน มันก็ยังอยู่ภายใต้อำนาจมืดนั้นต่อไป ไม่รู้ว่าฉันจะโดนเล่นงานอะไรต่อไป และไม่รู้จะเรียกพวกเขาว่าเป็นเพื่อนต่อไหม (เดิมทีตอนที่ฉันอุดหนุนหัวหน้างานมาก ๆ เขาก็นับฉันเป็นเพื่อน) ขณะนี้ฉันมุ่งมั่นทำงานต่อไป โดยพยายามไม่ท้อใจ ต่อให้ป่วยจนตายคาโรงงาน ก็จะอดทน ฉันอยากพิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่า ถ้าเราตั้งใจทำงานอย่างจริงใจ ไม่ว่าใครจะกลั่นแกล้งเราก็จะไม่กลัว แม้ว่าตำแหน่งเราจะเล็ก ๆ ไม่มีสิทธิ มีเสียงก็ตาม ฉันจะเอาความดีคุ้มตัว ดีกว่าเอาคนชั่วมาหนุนหลัง