27 ตุลาคม 2550 21:38 น.
อัลมิตรา
ลาโง่ ..หรือไม่ลา..โง่ แต่แล้วก็คิดว่าการลาพักร้อนในวันที่ ๒๒ ตค. คุ้มจริง ๆ
18 ตุลาคม 2550 08:21 น.
อัลมิตรา
เรื่องของน้ำท่วมที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ในช่วงนี้
จริงอยู่อาจดูเหมือนไกลตัวนักสำหรับชาวกรุง
แต่เมื่อคิดไปแล้ว ..
การที่ชาวบ้านส่วนหนึ่งต้องผจญกับความยากลำบาก แบกรับภาระอุ้มน้ำแทน
เพื่อป้องกันและมิให้เมืองหลวงประสบภัยพิบัติน้ำท่วมนั้น
ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
เปรียบเทียบง่าย ๆ
ชาวบ้านโดยส่วนใหญ่ ถัวเฉลี่ยมีรายได้/เดือน ไม่กี่พันบาท ไม่กี่ร้อยบาท
เมื่อเทียบกับชาวเมือง.. ผู้ซึ่งมีรายได้โดยเฉลี่ยสูงกว่าพวกเขา มันคนละเรื่องโดยสิ้นเชิง
เอาง่าย ๆ แค่ระดับน้ำที่สูงกลางใจเมืองหลวงประมาณ 200 กว่ามิลลิเมตร
ก็ทำเอาร้อนฉ่าไปถึงสภา เล่นเอาทั้งผู้ว่ากทม.และบรรดาข้าราชการชั้นสูงวิ่งวุ่น
ถือว่าเป็นสถานการณ์เร่งด่วนที่ต้องรีบจัดการและแก้ไขเลยทีเดียว
ส่วนชาวบ้านที่ลุยน้ำกันจนถึงอก บ้างก็ปริ่ม ๆ ปลายจมูกด้วยซ้ำ
บางที่นะ ที่เกินสองเมตรไปนานแล้ว ก็ยังคงต้องรอความช่วยเหลือต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน วัดวาอาราม กระทั่งโรงพยาบาล เกิดความโกลาหล
เฮ้อ !! แล้วชาวกรุง...
จะทำเป็นไม่รู้สึกรู้สากับความเดือดร้อนของชาวบ้านได้เชียวหรือ ?
เอาน่า คนละเล็ก คนละน้อย ช่วย ๆ กันประคับประคองกันไป
ให้มันรู้ไปสิว่า .. น้ำใจจะไม่สามารถบรรเทาความทุกข์ร้อนจากน้ำท่วมได้
15 ตุลาคม 2550 20:32 น.
อัลมิตรา
...เย็นย่ำสนธยาที่ฝนปรอย
...ข้าพเจ้าใช้เวลาส่วนหนึ่งระหว่างเดินกลับบ้าน ครุ่นคิดไปด้วย
...ข้าพเจ้าเคยมีเพื่อน ในขณะเดียวกันก็มีฝ่ายตรงข้ามกัน
...หรือที่ท่านเรียกกันสั้น ๆ ว่าศัตรู นั่นเอง
...เพราะเป็นเรื่องปกติ ในทุกสังคม
...ทางเศรษฐกิจย่อมมีการแข่งขันเพื่อชิงความได้เปรียบและเป็นต่อทางดุลการค้า
...ทางสังคม ย่อมมีการแข่งขันทั้งทางตรงทางอ้อม
...โดยที่สุด ไม่เขาก็เรา
...แม้แต่คนขับรถยังต้องชิงความได้เปรียบกัน
...หรือแม้แต่การปวดท้องเข้าห้องน้ำ ยังต้องแย่งกันเมื่อเวลาเร่งด่วนมาถึง
...ทางการเมือง ย่อมมีคู่แข่งทางการเมือง
...และเป็นเรื่องปกติมากหากจะมีคู่ปรับ เพื่อชิงความได้เปรียบในการแข่งขัน
...ในชีวิตจริง...เรามักมีคู่แข่ง ในขณะเดียวกัน
...เราก็อาจมีเพื่อนและศัตรูในเวลาเดียวกัน
...ไม่มีใครอยากมีศัตรู
...ข้าพเจ้าก็เช่นกันกับคนอื่น ๆ อยากมีแค่เพื่อน
...นับตั้งแต่ที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในร่างกายคุณพ่อ
...ข้าพเจ้ายังต้องแข่งขันกับพี่และน้องของข้าพเจ้านับเป็นล้านๆ และหลายล้าน
...ทั้งนี้เพื่อชิงความได้เปรียบทางการกำเนิด
...หากข้าพเจ้าไม่เร่งและบุกและชิงความได้เปรียบ ข้าพเจ้าคงพ่ายแพ้
...และไม่ได้เกิดมาจนถึงทุกวันนี้ แน่นอน
...แต่ข้าพเจ้าก็ไม่มองว่า พี่น้องเหล่านั้น เป็นศัตรูเลย
...ทั้งที่มีการอยู่รอดเป็นเดิมพัน
...การรู้...ข้าพเจ้ารู้แจ้งว่าใครคือเพื่อนและศัตรู
...เป็นเรื่องที่ดีและมีผลต่อการดำเนินชีวิตและบทบาททางสังคมต่างๆ ได้
...อย่างน้อยข้าพเจ้าก็รู้ว่าควรพูด,ทำ,คิด อะไร แบบไหน และเมื่อไหร่
...กับเขาหรือใคร ผู้ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนและผู้ที่ชื่อว่าเป็นศัตรู
...แต่ข้าพเจ้าคิดว่ามันคงไม่ดีนัก กับการย้ำที่ต้องย้ำกับตนเองเสมอว่า
...คนนั้นคนนี้คือเพื่อน
...ซึ่งคำพูดนี้ .. ถึงแม้ว่าจะเป็นคำพูดที่สบายหู คนฟังรู้สบายใจ
...ตรงข้ามกับคำว่าคนนั้นคนนี้คือศัตรู
...ซึ่งคนฟังมักไม่สบายหู คนรู้ตัวมักไม่สบายใจ
...ดังนั้น ข้าพเจ้าก็อดคิดไม่ได้ว่า ข้าพเจ้าควรลืมบางความรู้สึกบ้าง
...เสมือนว่ารอยสัก รอยสวย ๆ ก็มักอยากเก็บเอาไว้เป็นผลงานด้านศิลปะ
...และอยู่กับตนทุกเมื่อเชื่อวัน ตราบวันตาย
...หากว่ารอยสักที่ไร้คุณค่า
...และไม่มีความเลิศล้ำทางด้านจิตรกรรมศิลปกรรมแล้ว
...มันก็เปรียบเสมือนตราบาป เหมือนกัน
...นั่นคือสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากลบไปจากร่างกายและจิตใจ
...อันเสมือนกระจกส่องให้ข้าพเจ้ามองเห็นความตัดสินใจผิดพลาดในการสักนั้น
...ข้าพเจ้าเองอยากเห็นท่านทั้งหลายมีเพื่อนมาก ๆ และไม่อยากเห็นท่านมีศัตรู
...และหากมีเพื่อนมาก และมีศัตรูมากน้อยอย่างไร... ท่านเท่านั้นที่รู้
...การที่ท่านรอดพ้นจากการทำร้าย ว่าร้าย คิดร้าย จากเขาแล้ว
...และท่านก็ให้อภัยเขาได้ นั่นเป็นเรื่องดีมาก ๆ เลย
...บางทีศัตรูอาจคือเพื่อนแท้ ก็ได้ ( แต่หายากจัง )
...แต่เมื่อท่านรอดพ้นเภทภัยและการทำร้าย ว่าร้าย คิดร้าย แล้ว และยิ้มได้
...ย่อมพิสูจน์ได้ว่า ท่านเยี่ยมมาก
...เพราะเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร พระท่านว่างั้น
...และท่านจะรู้ว่า ท่านมีสภาพจิตใจที่สูงขึ้นมากเลย เพราะท่านรู้การให้อภัย
...แต่เมื่อใด ท่านพบผู้ว่าร้าย คิดร้าย ทำร้ายท่าน
...และท่านรอดพ้นและชนะมาได้
...แล้วบังเอิญท่านกล่าวท้าทายว่า
...แกจะทำอะไรยังไง ฉันยังอยู่ได้อย่างสบายใจจัง...
...แน่จริงหาวิธีมาทำกับท่านใหม่นะ...นี่คงไม่มีการสิ้นสุด ...กระมัง
...เพราะแทนที่ เวรจะระงับด้วยการไม่จองเวร
...กลับเป็นการกระตุ้นความแค้นกันมากขึ้น
...และจะเป็นการมุ่งร้ายทำร้าย คิดร้ายกันไม่รู้จับ...ไม่รู้สิ้น
...ยิ้มเสมอ คือสิ่งที่ข้าพเจ้าบอกตนเองให้กระทำ
...ข้าพเจ้าปรารถนาดีเสมอ
11 ตุลาคม 2550 13:48 น.
อัลมิตรา
กิจกรรมเรือนบรรเลง ครั้งที่ 4 วาดฝันปั้นแผ่นดิน
โครงการศาสตร์แห่งศิลป์อัครศิลปินเทิดไท้ 80 พรรษาองค์ราชัน
วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม 2550 เวลา 17.30 น. - 20.00 น.
มูลนิธิหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ร่วมกับกรุงเทพมหานคร จัดกิจกรรมในโครงการศาสตร์แห่งศิลป์อัครศิลปินเทิดไท้ 80 พรรษาองค์ราชัน ทุกเย็นวันเสาร์ ณ เรือนบรรเลง ที่ตั้งของมูลนิธิฯ โดยกิจกรรมในครั้งที่ 4 วาดฝันปั้นแผ่นดิน ในวันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม 2550 นี้ ศาสตราจารย์กิตติคุณ กำจร สุนพงษ์ศรี และอาจารย์ชูศักดิ์ วิษณุคำรณ ร่วมเสวนาหัวข้อศิลปะเทิดพระเกียรติ และตัวอย่างการวิจารณ์งาน พร้อมดนตรีจากศิลปินรับเชิญ อาจารย์ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ และวงคันนายาว
กิจกรรมในโครงการ ศาสตร์แห่งศิลป์อัครศิลปินเทิดไท้ 80 พรรษาองค์ราชัน ประกอบไปด้วยห้องนิทรรศการจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้านศิลปวัฒนธรรม และดนตรี ส่วนลานกิจกรรมเรือนบรรเลง มีการเสวนา การแสดงดนตรีจากศิลปินรับเชิญ พร้อมแจกหนังสือ ศาสตร์แห่งศิลป์อัครศิลปิน ฟรี
ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ทุกเย็นวันเสาร์ ตั้งแต่เดือนกันยายนไปจนถึงเสาร์ที่ 15 ธันวาคม 2550 ณ มูลนิธิหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) เลขที่ 47 ถนนเศรษฐศิริ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ดูรายละเอียดกำหนดการตลอดโครงการได้ที่ www.luangpradit.org
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0-2619-7304, 086-9888011, 081-5282782 และ 081-5586083