28 มีนาคม 2549 11:59 น.
อัลมิตรา
เสียงประทัดดังประปรายมาเป็นระยะ ๆ .. จากวัดที่อยู่ไม่ใกล้นัก แต่ก็พอจะมีเสียงเล็ดลอดมาบ้าง ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวในขณะนี้ ทำให้เราคิดว่า การไปเช็งเม้งสำหรับเรานั้น ต้องเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและอดทนจริง ๆ
จำได้ว่า ..เมื่อตอนเราเป็นเด็กไม่บ่อยนัก ที่เราจะติดสอยห้อยตามญาติ ๆ ไปสุสานบรรพบุรุษ .. อาจจะเป็นเพราะเราเมารถ และเป็นเจ้าตัวเล็กสุด ที่ใครต่อใครไม่อยากพาไปไหนให้ลำบากลำบน เสี่ยงต่อการกลับมาแล้วไม่สบาย แต่เราก็เคยไป ไม่ว่าจะเป็นที่ จ.สระบุรี ที่เป็นหลุมศพของญาติฝ่ายพ่อ และ จ.ชลบุรี ที่เป็นหลุมศพของญาติฝ่ายแม่ การเดินทางเริ่มต้นตั้งแต่ยังไม่เห็นแสงอาทิตย์ .. เราหอบหมอนไปนอนต่อในรถ เขย่า โขยก เขยก .. สักพัก ก็ต้องรีบเปิดหน้าต่างรถ และสิ้นสุดด้วยการอาเจียนแทบทุกครั้งไป
" ไม่รู้จะร้องตามมาทำไม ..? อ๊วกแตกอีกแล้ว..เฮ้อ !.." เสียงบ่นที่เราฟังจนชิน ใครล่ะอยากทรมาน ใครล่ะอยากเมารถ ก็ไม่ยอมพาเราไปไหนต่อไหนให้คุ้นชินกับสภาพการเดินทาง มันก็เลยต้องล้างรถแบบนี้ล่ะ (คิดในใจ)
เราไม่ค่อยมีกิจกรรมร่วมกับญาติ ๆ ที่สุสานหรอก และอีกอย่าง เราไม่ค่อยมีความรู้สึกผูกพันกับญาติที่อยู่ในหลุมสักเท่าไหร่ หลายคนที่นอนนิ่งอยู่ในนั้น เราไม่รู้จัก ..ตอนนั้นเรามีเหตุผลอื่นที่เย้ายวนมากกว่า ..
ทันทีที่ถึงสุสาน เราและพี่ชายอีกสองคน ก็รีบเผ่นออกจากรถและเริ่มปฏิบัติการบางอย่างที่ไม่อาจบอกให้ ญาติ ๆ รู้ได้ เราพกพู่กัน กระดาษสีแดงที่ตัดเป็นรูปสีเหลี่ยมผืนผ้าเล็ก ๆ เราพกไว้เต็มกระเป๋ากางเกงสองข้าง ของพวกนี้หาได้ไม่ยาก
เราปันมาจากของที่บ้านเตรียมไว้นั่นล่ะ
สามคนคอยมองหา เวลามีคนเข้าเขตสุสานก็จะรีบวิ่งไปหา และบอกว่าจะขอติดกระดาษสีแดงให้ พี่ชายก็เตรียมสายรุ้งประดับหลุม งานติดกระดาษแดงจะได้คราวละ 5 - 10 บาท นับว่าเป็นรายได้ไม่เลวสำหรับเด็กในสมัยนั้น แต่เราชอบที่จะลงสีที่ป้ายชื่อหลุมมากกว่า รายได้จะสูงกว่าประมาณ 4-5 เท่า บางหลุมชื่อยาวเหยียดใช้เวลานาน จนบางทีพวกเขา (หมายถึงคนที่ว่าจ้าง) ต้องลงมาช่วย ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่สามพี่น้องจะได้คนว่าจ้างสักราย เพราะบางทีก็ต้องวิ่งแข่งกับเจ้าถิ่น ชิงลูกค้ากันซึ่ง ๆ หน้า อาศัยว่า การแต่งกายของพวกเรากับรูปพรรณสัณฐาน ทำให้คนที่เข้าไปสุสานพอจะนับเชื้อนับญาติได้บ้างว่าเป็นเผ่าพันธุ์ผสมเหมือนกัน
ก็มีนะ ที่โดนเจ้าถิ่นแกล้งเอาโน่น เอานี่ มาปาหัวบ้าง .. แต่เราไม่สนใจ เรื่องน่าสนคือ เงินที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า
จังหวะที่พวกเราไปโต๋เต๋ที่หลุมศพอื่น ที่หลุมศพของญาติผู้ใหญ่ของเราก็เริ่มจะคับคั่งไปด้วยจำนวนญาติที่ทยอยกันมาถึง ต่างคนก็ต่างมา ต่างก็แบ่งกันแล้วว่าใครจะเตรียมอะไรมาเซ่นไหว้ เรื่องของหลุมศพญาติ เป็นเรื่องที่พวกเด็กเล็กอย่างเราไม่เกี่ยว รอแต่ว่า เมื่อไหร่จะเรียกไปจุดธูปเท่านั้น และรออีกที ตอนที่กลับเข้ามาในตัวอาคารของสมาคมเพื่อที่จะกินข้าว บรรดาญาติจะจัดแจงกันเอง หมู เป็ด ไก่ ..
บรรพบุรุษกินอิ่มหรือยังก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า หลังจากตากแดดอุ่นประเดี๋ยว ก็ยกเข้ามาสับกินกันในที่ร่มแล้ว เศษเหรียญในกระเป๋ากระทบดังกรุ๊งกริ๊ง สามตัวจ้อยสบตากันแล้วยิ้มกริ่ม นี่ถ้าแม่รู้ .. คงโดนเอ็ดเป็นแถว ส่วนพ่อน่ะเหรอ .. ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะพ่อยังช่วยดูต้นทางให้อีกต่างหาก
27 มีนาคม 2549 08:26 น.
อัลมิตรา
หลับยาวโดยที่มีหนังสือเล่มหนาปกพื้นสีเขียววางไว้บนหมอนอีกใบ
เล่ม ๖ แล้ว.. ที่เราติดตามอ่าน ความจริงเล่มนี้ก็ซื้อมาก่อนปีใหม่ด้วยซ้ำ
แต่ก็เพิ่งจะว่างอ่าน หลังจากที่ย้อนกลับไปอ่านเล่ม ๕ อีกหน ..
อ่านไปแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกเปรียบเทียบกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ ... สัจจะเซรุ่มสักอึก คงพอทำให้ทุกอย่างกระจ่างได้
ค้นตัวสักหน่อย ... อาจจะเจอน้ำยาสรรพรส ถ้ายึดน้ำยาขวดนี้มาได้ ประเดี๋ยวร่างจริงก็โผล่
ผู้เสพความตายเพ่นพ่าน ที่ดึงเอาความสุขของผู้คนไป โดยการมอบ..จุมพิต
และถึงแม้ว่าผู้เสพความตายจะมีไม่มากนัก แต่ก็สามารถทำให้ระส่ำไปหมดทั้งเมือง
ฝันถึงภารโรงคนหนึ่งที่เอาแต่สบถคำกับนักเรียนแต่ก็โอ๋คุณนายนอริสสุดขั้วใจ
อะไรบางอย่างทำให้ฉันคิดถึงความกักขฬะของ อาร์กัส ฟลิซ์..
เทียบกับบางคนที่เปรียบตัวเองคล้ายกัน ช่างคล้ายคลึง
ข่าวว่าพินซ์ เออร์ม่า คลั่งไคล้เอานัก ไม่รู้เหมือนกันว่ามีรสนิยมแปลก ๆ ได้อย่างไรกัน
เห็นลาง ๆ ..
ศาสตราจารย์ทรีลอว์นีย์ ผู้พยากรณ์และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ชีวิตบางคนพลิกผัน
ช่างเหมือน คนหนึ่งเหลือเกิน ที่สร้างจิกซอว์ ด้วยความที่เชื่อว่าถูกต้องทุกอย่าง
คิดถึง ซิรีอัส แบล็ก ..
ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าเขาตายจริง เขากลับมาได้นะ ยิ้มจืดๆแบบนั้น ฉันคุ้นจัง
พลิกตัวอีกที เรื่องฝันก็เปลี่ยน.. พลิกตัวหลายที สถานการณ์การเมืองยังไม่เปลี่ยน
1 มีนาคม 2549 07:44 น.
อัลมิตรา
นึกย้อนเวลากลับไปประมาณสามสิบกว่าปี เมื่อครั้งที่เรื่องราวฝนดาวตกยังคงเป็นเรื่องไกลตัวมากสำหรับเด็กชนบท คราใดที่เลิกจากการดูหนังกลางแปลงหรือหนังขายยาที่เร่ฉายตามบ้านนอกคอกนาแบบนานนานมาทีก็ปาเข้าไปเกินเที่ยงคืนตีหนึ่ง ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวที่เดินกลับบ้านก็จะเห็นดาวตกหรือที่เรียกกันว่าผีพุ่งใต้พุ่งผ่านจากฟ้าลงมาเสมอแต่ไม่เคยเห็นถึงพื้นดินสักที และทุกครั้งที่เห็นเด็กๆ ก็จะพากันชี้ไม้ชี้มือและพูดกันว่า โน่นดาวตก..ดาวตก ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ต้องบอกกันก็ได้เพราะรู้กันอยู่แล้ว แต่ตามประสาความเป็นเด็กใครเห็นก่อนก็จะพูดขึ้นทันทีเหมือนจะบอกว่าฉันเห็นก่อนนะ