1 มีนาคม 2550 20:44 น.
อัลมิตรา
บทกวี.. แบบควายควาย หนังสือที่น่าจับตามอง
กำลังจะออกตลาดสู่สายตาของนักอ่านในราวสัปดาห์หน้า
ผู้เขียนเป็นคนที่อัลมิตราศรัทธาในเชิงการเขียน มีประสบการณ์มากมาย
15 กุมภาพันธ์ 2550 14:26 น.
อัลมิตรา
จู่ ๆ ก้อย สาวน้อยจอมเปิ่นก็บ่นโพล่งออกมา..
และแล้ววันนี้ก็เหมือนกันปีก่อน ๆ
มือที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากพลันชะงัก .. ฉันถามก้อยกลับไปว่า .. ทำไมเหรอ ?
ก็ไม่มีดอกกุหลาบ และก็ไม่มีการ์ดหวาน ๆ ตามเคย..ดิพี่
เสียงของก้อยดูอ่อย ๆ ไปถนัดตา
เดี๋ยวกินเสร็จ รีบไปดูเลยนะ หน้าบริษัทมีหรือเปล่า ถ้ามี เดี๋ยวเราซื้อให้ละกัน
ฉันพูดหวังเอาใจ
เหมือนกันซะที่ไหนล่ะพี่ ก้อยยังคงบ่น ขณะที่ฉันกลั้นหัวเราะแทบแย่
เอาน่า วันแห่งความรัก เขาไม่ได้สงวนไว้สำหรับความรักแบบหนุ่มสาวนี่นา ฉันย้ำ
จริง ๆ นะ พี่ ซื้อให้จริง ๆ นะ ดูสิ เจ้าก้อยเสียงแจ๋วทันตาเห็น
อืมม !! รีบ ๆ กินเข้า ทำหน้าอย่างกะหมาเศร้าอยู่ได้ เสียบรรยากาศหมด
แล้วเราก็หัวเราะลั่นร้าน
แวะเข้าแบงค์ออมสินแป๊บสิ อยากแลกธนบัตรใหม่
ฉันเบรคตัวกึกทันทีที่นึกออก ขณะที่อยู่หน้าธนาคาร
เอาไปเตรียมใส่ซองเหรอพี่ ก้อยถาม
อืมม ! ว่าจะแลกใบละร้อยสักหมื่น และใบละห้าร้อยอีกหมื่น
ฉันบอกในสิ่งที่ฉันเตรียมการไว้
แยะจังพี่ แจกก้อยบ้างดิ ก้อยอ้อนมา
ทำงานแล้ว มีเงินเดือนแล้ว ไม่ให้หรอก ตกงานเมื่อไหร่ ไว้จะให้ ฉันหยอกกลับ
แต่แม่ของก้อยยังให้ก้อยอยู่นะ นึกว่าพี่จะเมตตาขวัญถุงหน่อย ก้อยบ่นหงุบหงิบ
ก็ได้ ก็ได้ สองร้อยละกัน .. นี่..ถ้าเป็นหลานก็จะให้ห้าร้อยอยู่หรอก
จบคำ เสียงก้อยก็ตะโกนเย้ทันที
เออนี่ .. แล้วก้อยซี้กับคนในแบงค์ป่าว ฉันถาม
คนในแบงค์ หมายถึงในหลวงเหรอพี่ ... โอ๊ย !!
ก้อยยังไม่ทันพูดอะไรต่อ ฉันก็ประเคนมะเหงกให้แล้ว
หมายถึงคนที่ทำงานในธนาคารออมสิน จะแลกธนบัตรใหม่น่ะ ฉันย้ำอีกที
เอาแบบไหนล่ะพี่ ซี้แบบปึ๊ก ๆ ทั้งนั้น งั้นเดี๋ยวก้อยจัดการให้ พี่รอแป๊บนะ
แล้วก้อยก็จัดการแลกธนบัตรใหม่เป็นที่เรียบร้อย
ตอนที่เปิดประตูกระจกออกมา หน้าบาน ยิ้มไม่หุบเลย
ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่า ก้อยได้ดอกกุหลาบมาดอกหนึ่ง นัยว่า ..
หนุ่มในธนาคารเขาให้มา ยังไม่เท่านั้นนะ
ที่ด้านซ้ายของเสื้อบริเวณอก ก็มีเข็มกลัดรูปหัวใจติดปีกอีกด้วย
โห เอ๊า เอ๊า ดูยิ้มเข้า ดูทางเดินด้วย เดี๋ยวก็ตกบันไดหรอก.. ปลื้มอะดิ ฉันล้อ
ก้อยจะเอาไปให้แม่ดู ดีใจจังพี่ เห็นเข็มกลัดนี่ยัง ผู้การ ฯให้มาเชียวนะ
ไง แล้วจะต้องติดคาเสื้อทุกวันป่าว ฉันกลั้วหัวเราะ
แหม อันนั้นก็เกินไปพี่ แค่พิเศษวันเดียว ลันล้า .. ลันล้า เจ้าก้อยร้องเพลงคลอ
ดูจากบรรยากาศของวันนั้น ก็น่าจะเป็นวันที่วิเศษสุดสำหรับสาวน้อยที่ต้องการความรัก
ทั้งที่กิริยามารยาทของก้อย ออกจะกระโดกกระเดกสักหน่อย
แต่ฉันก็รู้ว่า ก้อยเป็นเด็กดีทีเดียว
หลายครั้งที่ฉันรู้ซึ้งถึงน้ำใจของก้อย
ไม่ว่าจะเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับงานที่ทำ หรือ ไม่ใช่ก็ตามแต่
ก้อยเป็นคนที่ฉันรู้ว่ามีน้ำใจ และคบหาได้ ..
เวลาฉันไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือจะเป็นก้อยที่ได้ไป
เราก็มักจะซื้อของที่ระลึกเล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝากกัน
เพื่อนร่วมงานของฉันมักจะล้อ ตอนที่ก้อยเดินมาหาที่โต๊ะทำงาน ..
บางคนล้อว่า .. คู่แฝดอภินิหารมาแล้ว
บางคนล้อวา .. น้องสาวมา
แต่ก็มีนะ ที่ล้อว่า .. กิ๊กหรือเปล่านั้น เช้าถึง กลางวันถึง เย็นถึง ..
ฉันน่ะรู้สึกเฉย ๆ กับคำล้อเหล่านั้น ไม่ค่อยถือสา
แต่ดูเหมือนก้อยจะต่อปากต่อคำด้วยเสมอ
ยังไงก็แล้วแต่
ในสายตาของฉัน ก้อยยังคงเหมือนเด็กกะโปโลคนหนึ่ง ที่อยากให้ใครสักคนสนใจ
อ้าว ! จะไปแล้วเหรอก้อย ไม่อยากได้ดอกกุหลาบเหรอ
ฉันหมายถึง ดอกกุหลาบที่ฉันจะซื้อให้ก้อย
ไม่ต้องก็ได้พี่ เกรงใจน่ะ แค่นี้ก็สุขสุด ๆ แล้ว ไปล่ะพี่ ไปนั่งปลื้มที่โต๊ะทำงานต่อ
ฉันกับก้อยแยกย้ายกันไป
....................................................................................................
......................... วันนี้ โลกของก้อย เป็นสีชมพู .........................
....................................................................................................
จนกระทั่งบ่ายสาม ... นึกยังไงก็ไม่รู้ ฉันกดเบอร์โทรเข้ามือถือของก้อย
ในใจก็นึกคำล้ออยู่ว่า .. ไง อย่ามัวฝันหวานนะ ทำงานซะบ้าง ..
แต่ก็ต้องยุติความคิดทันที ที่ได้ยินเสียงครางจากปลายทาง
พี่ ก้อยเจ็บจัง อูย เสียงของก้อยเบามาก ๆ ฟังแล้วเหมือนเสียงครางมากกว่าเสียงพูด
หือ !! พูดอะไร ไม่ชัดนะ เจ็บ เจ็บอะไรก้อย ถามกลับเพราะความงง
เขากำลังส่งก้อยไปโรงพยาบาลเซ็นหลุยส์ เหมือนก้อยจะต้องใช้ความพยายามอยากมากที่จะพูด
ไปโรงพยาบาล ไปทำไม เป็นอะไร ฉันรัวคำถามไปอย่างไม่ยั้ง
ขี่จักรยานล้มน่ะ พี่ ก้อยเจ็บอ่ะ พี่ พี่ถามอ๋อยมันนะ แค่นี้ก่อนนะพี่
จากนั้น ก้อยก็วางสาย .. ปล่อยให้ฉันยืนถือโทรศัพท์อย่างไม่เข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้น
และฉันก็โทรหาอ๋อยทันที
อ๋อย ก้อยเป็นอะไร ตะกี้โทรไป ก้อยบอกให้ถามอ๋อย เกิดอะไรขึ้น
ไอ้ก้อยน่ะ พี่ อ๋อยก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรของมัน เห็นว่าขี่จักรยานสักพัก ก็โครม
อ๋อยตอบด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ
รถชนเหรอ อ๋อย ฉันถาม
ไม่นะพี่ มันขี่จักรยานคันเดียวโต้ง ๆ หน้าโกดังนะ
แล้วมันก็ลงไปนอนกับพื้น ดันเอาหน้าลงด้วย อ๋อยเล่า
เป็นลม ?
ตอนนั้นอ๋อยกำลังยืนคุยกับพี่อีกคน พอได้ยินเสียงโครมก็หันมาดู
อ๋อยนะ กระโดดข้ามกอดอกเข็ม
โหพี่ ตอนนั้นน่ะ เลือดเต็มหน้าไอ้ก้อยมันเลย อ๋อยตกใจแทบแย่ อ๋อยเล่า
หัวฟาดขอบถนนเหรอ ฉันถาม
ป่าวนะ แต่หน้ามันลงพื้นถนนยางมะตอยขรุขระ
นึกออกป่าวพี่ ก่อนถึงสปอร์ตคลับ อ๋อยเล่าต่อ
แย่เลย เจ็บแย่ ฉันพอจะนึกออกว่า จุดเกิดเหตุอยู่ที่ไหน
มันนอนนิ่งอ่ะ อ๋อยล่ะใจหาย ต้องเรียกมันอยู่นาน กว่าจะมีเสียงครางมา
สักพักก็ให้อีกคนออกรถ ก้อยมันบอกว่ามีประกัน
ก็เลยพาไปโรงพยาบาลเซ็นหลุยส์
อืมม ฉันรับฟัง
เนี่ย แล้วอ๋อยก็เก็บเอกสารของไอ้ก้อยที่หล่นเกลื่อน..
พี่ ไอ้ก้อยมันหนักเลยนะ คราวนี้ หน้าเยินเลย อ๋อยเน้น
เฮ้อ !! อะไรกันเนี่ย
สองชั่วโมงก่อนถึงเวลาเลิกงาน ฉันไม่เป็นอันทำงาน
ด้วยความเป็นห่วงก้อย สงสารนะ ..
พยายามสะกดใจยังไม่โทรหา เพราะรู้ว่า ..
ก้อยคงโดนปฐมพยาบาลอยู่ ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ว่าหนักเอาการ
พอได้ยินเสียงออดเลิกงาน ฉันก็คว้าโทรศัพท์ทันที
กดหมับไปที่หมายเลขของก้อย
ซาหวาดดี พี่ เสียงของก้อยห่อเหี่ยวพิลึก
อยู่ไหน เป็นไงบ้าง ฉันถาม
ฉันนี่ก็แปลกคน ..
แทนที่จะแสดงความห่วงใยมากกว่านี้ แต่พูดไม่ยักจะเอาไหน
กลับมาที่ออฟฟิตแล้วพี่ แย่เลย พี่มาดูสภาพดิ ก้อยอ้อน
แสดงว่าไม่เท่าไหร่ดิ กลับมาเร็ว แล้วนี่แม่รู้ยัง ฉันถามย้อนไป
ลงมาดูหน้าก้อยหน่อยเถอะพี่ น่า นะ ก้อยอ้อนไม่เลิก งอแงเหมือนเด็ก ๆ
ได้ เด๋วเก็บของก่อนนะ จะลงไปหาที่แผนก
ความจริง ฉันน่ะ โล่งใจไปแยะ ที่ก้อยไม่เป็นอะไรมาก
....................................................................................................
.............................. อะไรทำให้ก้อยเป็นไป ...............................
....................................................................................................
สภาพของก้อยที่เห็น .. หน้าผากบวมปูด จากคนผิวขาว ..
แต่สีผิวที่เห็นตอนนั้นช้ำเลือดช้ำหนองชอบกล
ส่วนหน้าซีกซ้ายจะยับเยินมากกว่าซีกขวา สองเบ้าตาเหมือนแรคคูนช้ำเลือด
โหนกแก้มซ้าย..ก็ปริแตก เหมือนนักมวยที่โดนถลุงจนครบยก
ริมฝีปากบนจรดปลายจมูก .. มีผ้าก๊อซสีขาวปิดไว้ ร่องรอยของบาดแผลไม่เห็น
รู้แต่ว่าโดนเย็บไม่ต่ำกว่าสิบเข็ม
ส่วนริมฝีปากล่าง ก็ปริแตกเลือดซึมออกมา
ยังดีที่ฟันไม่ร่วง .. แต่ก็มีเลือดตามซอกเหงือก
ก้อย ... บอกมาตรง ๆ โดนรถชนหรือล้มเอง
ฉันคาดคั้น เพราะรู้ว่า แถวโกดัง จะมีรถขนสินค้าแยะ
ล้มเองพี่ ก้อยเผลอไปหน่อย ก้อยพูดแบบไม่สบสายตา
ดูสภาพสิ ขนาดนี้แล้ว ล้มกันท่าไหน เยินซะขนาดนี้ ฉันซักไซร้
คือว่า .. ก้อยมัวแต่ปลื้มอ่ะ มองฟ้าแล้วก็ยิ้ม จนลืมไปว่าขี่จักรยานอยู่
ก้อยค่อย ๆ กล้อมแกล้มตอบ ดูเหมือนก้อยเขินอะไรอยู่เหมือนกัน
แล้วไงต่อ
ทีนี้ ก้อยถือของด้วย ขี่จักรยานด้วย พอถึงลูกระนาด รถเสียหลัก
ก้อยเล่า เว้นช่วงเป็นระยะ ๆ
แล้วไง
ก้อยก็เลยล้ม
ก้อย จำไว้นะ .. ผู้หญิงน่ะจะล้มยังไง ก็ให้มีท่าหน่อย เชิดหน้าไว้ จะได้ไม่เสียโฉม
ก็มือก้อยไม่ว่างอ่ะ พี่
ของที่ว่า คืออะไร
ดอกกุหลาบอ่ะ พี่ พี่จำได้ป่าว เมื่อเที่ยงตอนไปธนาคารแล้วเขาให้มาน่ะ
โธ่ ก้อย ... กุหลาบดอกนั่น เนี่ยนะ ...
ฉันอยากจะไปเตะคนที่ให้ดอกกุหลาบก้อยจัง
10 กุมภาพันธ์ 2550 11:41 น.
อัลมิตรา
มาตัดผมค่ะ ฉันกล่าวขณะที่ประตูกระจกหน้าร้านตัดผมยังไม่ทันปิดสนิท
หือ ตัดผม มาลัย ช่างเสริมสวยประจำร้านทำเสียงเหมือนเจอเรื่องประหลาด
อืมม มาตัดผม ฉันย้ำอีกหน
จากนั้นก็เดินไปนั่งรอที่โซฟา หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน
...หน้าปกคู่สร้างคู่สม...
ให้เป็นที่สังเกตว่า..
เกือบทุกร้านตัดผมในย่านนี้จะมีคู่สร้างคู่สมเป็นหนังสือที่ให้อ่านฆ่าเวลา
ยังคงมีลูกค้าที่มาก่อนหน้าฉันนั่งรออยู่สองคน
คนหนึ่งคุยโทรศัพท์ อีกคนพลิ๊กแมกกาซีนดูภาพ
ฉันเองก็อ่านไปงั้น ๆ คู่สร้างคู่สม
ในเนื้อหาบางเรื่องก็กลายเป็นคู่ทุกข์คู่ยาก คู่ซ้อมคู่กระทืบเฉยเลย
พอจะรู้สึกตัวว่า ฉันคงไม่เหมาะกับหนังสือประเภทนี้สักเท่าไหร่
ก็เลยไปหยิบขายหัวเราะมาอ่านแทน
ตัดปลายผมหรือจ๊ะ มาลัยหันมาถามขณะที่เธอกำลังไดรฟ์ผมให้ลูกค้า
จากผมยาว ช่วยตัดให้กลายเป็นผมสั้นค่ะ ฉันตอบ
อ้าว ! ทำไมล่ะ เสียดายออก
เสียงของมาลัยทำให้ลูกค้าที่รอคิวอีกสองคนพลอยสนใจฉันไปด้วย
ส่องกระจกแล้ว คิดว่าไม่เหมาะกับผมยาวนะ ก็เลยอยากตัด
ฉันตอบไม่ตรงกับความจริง
" ผมอยากให้คุณไว้ผมยาว นุ่งกระโปรงและอ่อนหวานละมุนอยู่เสมอ "
ฉันพยายามแล้วนะ แต่ก็ทำได้เท่านี้ ..
ไว้ผมยาว ทั้งที่จัดการกับผมตัวเองไม่ได้ดีกว่าการรวบมัดทุกวัน
ส่วนการนุ่งกระโปรง .. ยากจัง ฉันไม่อยากถูกเพื่อนร่วมงานล้อไปกว่ากว่านี้
และไหนจะต้องอ่อนหวานเหมือนสาวน้อยไร้เดียงสาอีก ..
ฉันไม่คิดว่า ทั้งหมดจะเป็นลุคที่แท้จริงของฉัน
อย่าบอกนะว่าอกหัก อุ๊ย !! ล้อเล่นจ๊ะ มาลัยหัวเราะหลังจบประโยค
........ จะให้ฉันตอบอะไรดี สายตาหลายคนกำลังจับจ้องและพร้อมฟัง
ฉันทำเป็นก้มหน้าก้มตาอ่านการ์ตูนไปเรื่อย ๆ
คนอกหักที่อ่านหนังสือการ์ตูน .. ก๊าก !! หวังว่าพวกเขาคงไม่คิดขำกันนะ
สองคนที่มาก่อนหน้า ตอนนี้อีกคนไปด้านหลังให้ช่างสระผม
ส่วนอีกคนก็นั่งแช่เท้าในกาละมังสีหวาน
ถัดไปคงถึงคิวของฉัน .. เอาละสิ
คิวต่อไป ... ฉันต้องเจอกับกรรไกรตัดฉับที่ผม
" อย่าตัดผมนะครับ คุณไว้ผมยาวแล้วคุณดูน่ารักมากเลย เชื่อผมนะ"
บ้าชะมัด ทำไมคำพูดของเขายังมาหลอนอยู่อีกนะ
แล้วทำไมฉันต้องเชื่อเขาด้วยล่ะ
ไว้ผมยาว .. เชอะ !! เขาเคยมาเห็นซะที่ไหนกันว่าฉันผมยาวขนาดไหน
แล้วไอ้เรื่องนุ่งกระโปรง ทำตัวหวานหยดย้อยนั่นอีก ..
เขาไม่ได้มาใส่ใจเลยสักครั้งนี่
ทำไมฉันต้องทำ และ ทำ ๆๆๆๆๆๆ เพื่อเขาด้วยละ .. บ้า ๆๆๆ
อ้าว ! จะไปไหนล่ะคะ
มาลัยถาม ขณะที่ฉันผลักประตูกระจก แล้วกำลังจะก้าวเท้าออกไป
เปลี่ยนใจแล้ว ไม่ตัดผมแล้วค่ะ ฉันตอบโดยไม่หันกลับมา
อ้าว !!!.. ฉันได้ยินเสียงของมาลัยเพียงแค่นั้น
พอประตูกระจกของร้านตัดผมปิด ฉันก็ถามตัวเองอีกว่า .. แน่ใจนะ
ที่จะไว้ผมยาวเพื่อเขา ..
เอาละ ไหน ไหน ก็ ไหน ไหน
ออกไปช็อปปิ้งซื้อกระโปรงสีหวานมาใส่ดีกว่า
เกือบไปแล้ว .. นี่ ถ้าฉันตัดผมจริง ๆ อีตาบ้านั่นจะบ่นมั๊ยนะ
27 มกราคม 2550 10:39 น.
อัลมิตรา
ฉันเหลือบมองหนังสือสองเล่มบนมุมโต๊ะทำงาน
เอาล่ะ .. อีกสักพัก เมื่อฉันทำงานตรงนี้เสร็จ ฉันจะไปห้องสมุด
ตอนนี้การเดินทางไปห้องสมุด ไม่ค่อยจะราบรื่นเหมือนเมื่อก่อน
ตะก่อน ใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที ในการเดินทางไปกลับ
ต่างกับตอนนี้ ที่ต้องเดินออกจากอาคารที่ตนเองทำงานอยู่
จากนั้นก็ต้องเดินไปยังทางเชื่อมอีกตึก ผ่านหน่วยงานอื่น ๆอีกบานตะไท
ยังไม่เท่านั้น
ห้องสมุดที่ย้ายไปอยู่อีกตึกนั้น อยู่ชั้นใต้ดินอีกต่างหาก
.. ช่างเป็นที่ซับซ้อนจัง ..
" .. เราจะไปห้องสมุดสัก 30 นาที ถ้ามีใครจะติดต่องานก็โทรเข้ามือถือนะ.."
ฉันบอกเพื่อนร่วมงานคนที่มีโต๊ะทำงานติดกับฉัน
จากนั้น ฉันก็คว้าหนังสือสองเล่มที่ยืมมา เดินฉับไปยังห้องสมุดทันที
ความจริง ฉันไม่ได้ใช้เวลามากขนาดนั้น แต่ที่บอกเผื่อไว้
ก็เพราะตามรายทาง
ฉันต้องแวะทักทายบ้าง และถึงแม้ฉันจะต้องเดินก้มหน้างุด ๆ
ถึงไงซะ ก็ต้องมีคนเรียก และทักทายฉันอยู่ดี ..
นี่แหล่ะ สังคมของมนุษย์เงินเดือน
ก็เพราะห้องสมุดอยู่ชั้นใต้ดิน
ฉันก็เลยต้องเดินลงไปยังชั้นใต้ดิน โดยอาศัยบันได ..
เอาน่ะ!! ..ถือว่าออกกำลังกาย
ลิฟท์ก็มีอยู่หรอก แต่ถ้าเดินไปหาลิฟท์ ก็จะต้องผ่านอีกหลายแผนก
ดีไม่ดี อาจเสียเวลามากกว่านั้น
ฉันเปิดประตูทางด้านซ้าย (ทางลงของบันได)
ก็พอดีมีพนักงานชายผู้หนึ่งเดินสวนมา .. หน้าพอคุ้นกันอยู่ ก็จึงยิ้มให้กัน
ฉันเห็นเขาเดินไปยังแผงไฟ และทำการปิดสวิทซ์ไฟทางเดินก่อนลงบันได
ฉันคิดว่า ฉันต้องรีบแล้ว.. ฉันก็เลยไม่รอช้า รีบจ้ำพรวดลงบันไดไป
ผ่านโค้งบันไดชั้นที่ 3 ก็สวนทางกับผู้ที่เดินขึ้นบันไดอีกคน
คราวนี้เป็นพนักงานหญิง ฉันรู้จักดีว่าเธอผู้นี้เป็นใคร
แต่ฉันไม่อยากเสวนาด้วย จึงเดินผ่านไปอย่างเฉย ๆ
"ใครปิดไฟ" เธอกล่าวอย่างฉุนเฉียว
ตอนนั้น มีเพียงเธอและฉัน ที่อยู่บริเวณนั้น
ฉันก็ไม่ได้ตอบอะไร เขาคนนั้น ฉันแค่คุ้นหน้า ..
แต่ฉันไม่รู้จักชื่อของเขา
อีกอย่างฉันเห็นว่า เขาปิดไฟจุดที่เป็นทางเดินก่อนลงบันได
มันก็ไม่ได้หมายความว่า..
จะเป็นจุด จุดเดียวกับที่ทำให้เธออารมณ์เสียอยู่หรือเปล่า
" สัตว์ !!! .." ..เธอสบถอย่างดัง
ฉันกระชับหนังสือในมือในแน่นขึ้น
แน่นอน คำหยาบคายคำนั้น ทำให้ฉันได้รู้สึก
ทว่า .. ฉันไม่ได้รู้สึกโกรธเธอแต่อย่างใด ..
ถึงแม้รู้แก่ใจว่า เธอจงใจให้ฉันได้ยิน
ฉันยังคงเดินลงบันไดไปอีกสองชั้น
และก็เดินข้ามห้องโถง ลงบันไดอีกหนไปยังห้องสมุด
เธอ .. ทำให้ฉันคิดถึง เธอ อีกคน..
คนที่กล่าววาจาด่าทอหยาบคายกับฉันมากมาย
โดยที่เธอคนที่ฉันคิดนั้น .. เข้าใจว่า
ฉันทำอะไรบางอย่าง ที่ประทุษร้ายต่อเธอ
เธอไม่รู้หรอกว่า เธอเข้าใจผิด
ส่วนฉัน ฉันก็คิดว่าป่วยการที่จะบอกเธอให้เข้าใจ
อารมณ์.. คงพาหัวใจของเธอให้เป็นไปอย่างนั้น
หากเธอ (เธอคนนั้น และ เธอฉันคิด) คุมสติให้ดี
บางที เธออาจรู้สึกตัวว่าไม่ควรประพฤติเยี่ยงนั้น
ท่ามกลางคนหมู่มาก ความเข้าใจย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย
แต่การไม่ยับยั้งชั่งใจไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ..
ก็ส่งผลให้เห็นถึงความวิบัติอยู่เนือง ๆ
เหมือนฉันเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ถึงได้คิดแบบนี้ ..
เพื่อนคนหนึ่งที่ไม่เจอกันมานาน เอ่ยทักขึ้น
อาจใช่ !!
แต่อีกส่วนที่ทำให้ฉันได้คิดแบบนี้ ..
คือ
ความจริงที่ฉันเคยเผชิญต่างหาก
ฉันเดินยิ้มไปเรื่อย .. จนถึงห้องสมุด