14 มกราคม 2556 21:22 น.

เรื่องเล่า "คราวไปร้อยเอ็ด"

อัลมิตรา

เรื่องราวเริ่มต้นจากที่ฉันพาสมาชิกคนหนึ่งไปประท้วง ซึ่งเป็นการประท้วงแบบขำ ๆ  อย่างน้อยก็ทำให้หลายต่อหลายคนนึกพล็อตเขียนกลอนได้ในขณะนั้น

แล้วเธอคนนั้น ก็นึกอยากจะชวนฉันไปยังถิ่นกำเนิดของเธอ 
ฉันจูงมือพาเธอประท้วง  .. เธอพาฉันไปกระตึ๊บ ๆๆๆ หรือเปล่านะ คิดแบบตลก ๆ  แต่ก็ตอบตกลงว่า " ไป " 

แผนการเดินทางถูกร่างขึ้น แล้วก็ปรับไปเปลี่ยนไป จากรถตู้เป็นเครื่องบินเฉยเลย ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ค่ากิน จิปาถะทั้งหมด เธอคนนั้นเป็นผู้จัดการให้เป็นที่เรียบร้อย

เธอบอกว่าอยากจะผูกเสี่ยวเป็นเพื่อนกับฉัน ฉันย้อนติงไปนิด ๆ ทำนองว่า ฉันอาจไม่ใช่คนดีพอ ก็ไม่ต้องอื่นไกล แค่เพื่อนในเวป ไปกิน ไปเที่ยวด้วยกัน วันดีคืนดี ก็เปิดศึกถล่มฉันซะยับเยิน
ประสบการณ์เหล่านี้ มันก็เหมือนกับวัคซีน เจ็บแล้วต้องจำ ทำแล้วต้องรับผิดชอบ ที่สำคัญ กำต้องแบ

การเดินทางไปต่างถิ่นที่ไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย ทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้นนิด ๆ และเริ่มค้นหาข้อมูลทาง IT ร้อยเอ็ด เป็นเพียงจังหวัดเล็ก ๆ ถัดไปก็กาฬสินธุ์ถิ่นน้ำดำ สถานที่ท่องเที่ยวมีไม่มาก พื้นที่ไม่กว้างนัก ถึงออกนอกเส้นทางจนหลงทางก็ไม่กลัว เพราะว่า ฉันมีเพื่อนไปด้วย แม่มดใจร้ายไงล่ะ				
10 มกราคม 2556 20:58 น.

ส่งต่อความสุขให้เด็ก ๆ

อัลมิตรา

ตอนที่เป็นเด็ก จำได้ว่าในวันเด็ก พี่ชายจะพาไปดูหนังฟรีที่โรงหนังทวีผลราม่ากี่ปีกี่ปี ก็ฉายแต่เรื่องก๊อตสิล่า  ดูไม่เคยเบื่อเลย ในวันนั้นบางทีก็จะได้ของขวัญจากผู้ใหญ่ใจดี กินไอติมฟรีด้วย ช่างเป็นวันที่น่าประทับใจ ความสุขนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำเสมอ .. จนเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว ก็เข้าใจว่า เด็ก ๆ ก็รอคอยวันสำคัญของพวกเขาเช่นกัน 

วันนี้ตอนเช้า ฉันกับเพื่อน ๆ ในฝ่าย ได้ต่อยอดความสุขจากงานเลี้ยงปีใหม่ ส่งต่อมายังเด็ก ๆ ด้วยงบประมาณที่เหลือจากการจัดงานปีใหม่ 312 บาท  พวกเราได้ร่วมกันเพิ่มเติมงบประมาณ คนละเล็ก คนละน้อย อีกทั้งยังรวบรวมของเล่น เครื่องเขียน ขนม ฯลฯ ตามแต่จะหามาได้ในขณะนั้น ฉันยังฝากประชาสัมพันธ์ไปยังเพื่อนต่างฝ่ายด้วย จากนั้นน้ำใจก็หลั่งไหลรวมกันมา 

ขนม ของขวัญ ฯลฯ  "พี่ ป้า น้า อา ... ตั้งใจมอบให้หนู ๆ "  

ฉันไม่ค่อยสนใจคำขวัญประจำปีที่ได้รับจากนายกรัฐมนตรีนักหรอก ตั้งแต่เด็กมา ก็ไม่เคยท่องจำได้สักปี แต่ฉันคิดว่า ของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับเด็ก ๆ น่าจะเป็น " การกระทำตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเด็ก ๆ  หัวใจของผู้ให้ย่อมมีความสุข ฉันอยากให้เด็ก ๆ ได้แนวทางที่ดีเป็นต้นแบบ "


... ขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคน ที่ร่วมสมทบทุนในการจัดซื้อ และจัดหาสิ่งของเหล่านี้ ขอให้ความสุขความเจริญจงมีแด่ทุกท่านด้วยเทอญ ...				
9 ธันวาคม 2555 15:16 น.

อีกหน..บนความเสี่ยง

อัลมิตรา

ปีนี้ไม่ได้จัดโครงการจิตอาสา เพราะไม่แน่ชัดว่าหมอจะเรียกตัวผ่าตัดเมื่อไหร่ แต่ถึงจะไม่ได้เป็นคนจัดโครงการเอง ก็ยังคงใช้เวลาในวันหยุดเข้าร่วมกิจกรรมอาสา ปลูกป่า ปล่อยปลา สร้างฝาย ทำเท่าที่สังขารจะทำไหว ด้วยใจที่เป็นสุขและไม่กังวลใด ๆ 

พฤหัสที่ผ่านมา ฉันมาพบแพทย์ตามนัดและได้ทวงถามคิวการผ่าตัด ซึ่งคุณหมอเกรียงศักดิ์ก็รีบโทรเช็คกับคุณหมอประติรพทันที โอเคล่ะ ในที่สุดก็ได้คิววันผ่าตัดซะที .. แอตมิทกันวันนี้เลย วันศุกร์เช้าผ่าตัด แผนการไม่มีอะไรมาก  คนป่วยพร้อม หมอพร้อม เหลือแต่งานที่มันไม่รู้จะเคลียร์ออกยังไง แต่ก็ช่างมัน ผ่าตัดก่อนดีกว่า ..

 การเดินเรื่องที่ รพ. มันค่อนข้างวุ่นนิดหน่อย ต้องไปตรวจคลื่นหัวใจตรงนั้น เอ็กซเรย์ปอดตรงนี้ แล้วขึ้นตึกไปแลดูเตียงนิดหน่อย ก่อนแว๊ปกลับไปที่ทำงานเคลียร์งาน และวกย้อนมาที่บ้านจัดแจงเตรียมข้าวของที่จำเป็น แล้วค่อยกลับเข้าไปที่ รพ. ใหม่ในตอนเย็น

เขาคงกลัวว่าจะหนีมั๊ง แรก ๆ พยาบาลก็ไม่อนุญาตให้ออกจากตึก แต่โชคดีที่หมอเขียนในใบงานเอาไว้ว่า "อนุญาตให้ลากลับไปเคลียร์งานได้ และให้กลับเข้ามาตอนเย็น"

ห้องที่เขาจัดให้อยู่ชั้น 19 ห้อง 03 เป็นห้องพิเศษ 5 เตียง ในตอนแรกที่พยาบาลพาไปที่ห้อง ยังตกใจ เฮ้ย นี่ให้เรานอนรวมกับผู้ชายหรือไงนะ เพราะแต่ละคนหัวโล้นทั้งนั้นเลย .. 555  มาสังเกตุอีกที นั่นผู้หญิงทั้งหมดเลยนี่ แสดงว่า ห้องนี้ เป็นญาติกับมะเร็งกันทั้งนั้น 

ฉันนอนอยู่เตียงกลาง ดูแล้วไม่ค่อยสะดวกสักเท่าไหร่ คนทางซ้ายเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองกำลังนอนรับเลือดอยู่ ไม่อยากหันไปมองเลย ถุงเลือดแดงฉ่าห้อยต่องแต่ง เตียงขวาคนป่วยมะเร็งแกนสมองมีร่องรอยของการผ่าตัดสมอง แผลยาวผ่ากลางตั้งแต่กลางกระหม่อมยันท้ายทอย ฟากตรงข้ามมี 2 เตียง เตียงริมหน้าต่างเป็นมะเร็งเม็ดเลือดตัวเหลืองซีด อีกคนเกิดอาการแพ้ยา ตัวบวมฉุ   ที่เหมือนกันคือ ทุกคนหัวโล้น

ฉันมาทันได้รับอาหารเย็นจาก รพ. อาหารที่แสนจะไม่อร่อยเอาซะเลย ด้วยความที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นชุดคนไข้ ฉันจึงลงไปข้างล่างซื้อข้าวหมูแดงมากิน พร้อมกันนั้นก็ไม่ลืมแวะเซเว่นซื้อน้ำชาขวดแบบที่เขาเปิดฝาเสี่ยงโชครับล้านกันนั่นแหล่ะ 555 แหม๊ ยังมีอารมณ์ลุ้นอีกเนอะ

ข้าวยังคาปากตุ้ย ๆ อยู่พอดีเชียว บรรดากองทัพคุณหมอก็มาซักประวัติและบอกถึงวิธีการในการผ่าตัด ฉันต้องงดอาหารรวมไปถึงน้ำตั้งแต่เที่ยงคืน คิวผ่าตัดอยู่ช่วงเช้า ต้องไปที่ห้องเอ็กซเรย์ก่อนแล้วค่อยไปห้องผ่าตัด อืมม.. เดี๋ยวมีคนเข็นพาไปเองนั่นแหล่ะ ไม่ต้องไปจำมันหรอก

ฉันบอกกับทีมคุณหมอว่า "สงสัยจะนอนไม่หลับ ผิดที่" หมอหัวเราะ แล้วบอกว่า "จะจัดยาคลายเครียดให้นะ" ฉันก็เถียงว่า "ไม่ได้เครียดนี่นา แต่คิดว่าจะนอนไม่หลับ" หมอก็บอกว่า "นั่นแหล่ะ เขาเรียกว่าเครียด" เอาว่ะ เครียดก็เครียด ฉันมีเหตุผลนี่นา ใครจะไปนอนหลับล่ะ ในเมื่อแต่ละเตียงเขาจะชักม่านแบบของใครของมัน เหมือนกั้นเป็นห้องส่วนตัวตอนนอน ส่วนฉันมันเหมือนถูกทิ้งอยู่กลางห้อง  หนก่อนโน้นเมื่อสองปีก่อน คืนแรกก็อย่างนี้แหล่ะ ยังไม่รู้แกว นอนไม่หลับทั้งคืน เดินไปกะเดินมารอบตึกเลย ทีนี้ก็ไม่อยากเป็นเหมือนตะก่อน

ขนาดคิดว่าจะนอนไม่หลับ ที่ไหนได้ สองทุ่มกว่า ๆ ตาปรือแล้ว ง่วงนอน กำลังจะวูบแล้วเชียว สักพักพยาบาลบอกว่า "อย่าเพิ่งหลับนะคะ คุณหมอจัดยาให้ค่ะ ทานแล้วจะได้นอนหลับสบาย"  เวงกำ..กำลังจะหลับอยู่แล้วตรู มาปลุกให้รอยา ...

ตีห้ามั๊งที่ตื่นขึ้นมา รีบจัดการเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ สระผมให้เป็นที่เรียบร้อย เตียงอื่น ๆ เขาได้อาหารเช้ากัน ส่วนฉันได้แต่นั่งมองคนอื่นกินข้าว ท้องก็ร้องจ๊อก ๆ หิวข้าววววววววววว ... อ่ะ

แปดโมงก็มีราชรถมาเกย เขาให้นั่งเข็นไปห้องเอ็กซเรย์ คุณหมอประติรพรออยู่ ดีนะที่นั่งรถเข็น ไม่มึนหัว ถ้านอนเตียงเข็นมันจะมึนหัว  พอไปถึงห้องทำการ ก็เอาล่ะ สิ่งที่น่าสยดสยองจะเกิดขึ้นแหล่ววววว ฉันเองก็ลุ้นเหลือเกิน 555 

เห็นหน้าคุณหมอประติรพไม่ค่อยชัดเจนนัก เพราะเขามีผ้าหน้ากากปิดอยู่ ในห้องนี้มีแต่เจ้าหน้าที่ผู้ชายทั้งหมด เขาให้ถอดเสื้อ  ก็รีบถอดเลย คุณหมอประติรพเช็คฟิล์มเก่าก่อน แล้วก็ลงมือ ละเลงเจล เพื่อหาก้อนเนื้อนั้น ฉันเองก็ถามไปเรื่อย ๆ ... เจอยังคะ ใช่ก้อนนั้นหรือเปล่า ขนาดเท่าไหร่ น่าตามันดีไหม หมอคิดว่าไง จะแทงลวดยังไงเนี่ย เจ็บป่าว หมอทำเบา ๆ นะ .. คุณหมอประติรพก็ตอบมาว่า  ".. เจอแล้ว ประมาณ 6 มิล หน้าตายังไม่รู้หรอก ผ่าออกก็จะรู้เอง แทงลวดไม่เจ็บหรอก แต่ตอนฉีดยาชาจะเจ็บนิดหน่อย แล้วก็ไม่ต้องลุ้นมาก นอนเฉย ๆ ไม่ต้องลุ้น ผมสิควรต้องลุ้นมากกว่า.. "

อ่า .. เจอแล้ว ทีนี้หมอเรียกหาลวด โอ้โห ยาวนะนั่น หมอแทงลงไปหลังจากที่ฉีดยาชาให้ฉันแล้ว แต่ความรู้สึกยังมีอยู่นิดหน่อย หมอกด ๆๆๆ หมอบ่นเบา ๆ ว่า มันเขยิบหนี (ฉันคิดในใจว่า มันไม่ใช่เหล็กไหลนะหมอ เขยิบขยับได้ไง) หมอเรียกผู้ช่วยมาให้ช่วยรั้งด้านล่างฐาน อีกคนด้านบน ... เอาเข้าไป สามคน หกมือ กับเต้านมขวาของฉัน

เรียบร้อยล่ะ .. ลวดโด่เด่เป็นเรด้าห์เสาอากาศ เห็นแล้วก็ขำดี หมอประติรพพับลวดแล้วติดเทป จากนั้นก็ส่งตัวฉันขึ้นห้องพักก่อน รอการเรียกตัวไปห้องผ่าตัด ฉันถามหมอประติรพว่า "ถ้ายาชาหมดฤทธิ์ก่อนผ่าตัดล่ะ ทำไงดี" หมอประติรพบอกว่า "เรื่องเจ็บมันเป็นเรื่องธรรมดา บอกพยาบาลละกัน"  .. เฮ้ย อย่างนี้ก็หวาดเสียวดิ ถ้าส่งตัวไปห้องผ่าตัดเลยก็คงพอจะวางใจหน่อย ฮ่วย แล้วจะยังไงกันเนี่ย เพี๊ยง ยาชาอย่าเพิ่งหมดฤทธิ์เร็วเลยนะ

พอกลับถึงห้อง ใครต่อใครก็มาขอดูกันใหญ่ ทั้งเพื่อนคนป่วยด้วยกัน กระทั่งพยาบาลยังขอถ่ายรูปเต้านมที่มีลวดปักคาไว้ พยาบาลบอกว่าเอาไว้สอนนักเรียน  ก็ดีเหมือนกันแฮะ ยังพอมีประโยชน์กับเขาบ้าง พยาบาลถามว่าจะย้ายไปอยู่ห้องพิเศษคู่ไหม .. ฉันรีบตอบ เอาเลย ห้องนั้นเป็นเตียงคู่ แต่อีกเตียงว่าง ก็เลยเหมือนห้องพิเศษเดี่ยวไปในตัว จ่ายเพิ่มอีกคืนละ 500 บาท

เกือบเที่ยงแน่ะ กว่าเขาจะมารับตัวไปห้องผ่าตัด ก่อนหน้านั้นฉัน line ไปถามคุณหมอเกรียงศักดิ์ "หมอคะ ลืมผ่าตัดหรือเปล่าคะ หิวข้าวแล้วด้วย"  ขำอ่ะ ก็ตอนนั้นหิวข้าวมากนี่นา กะว่า ให้รีบจบ ๆ ไปซะ จะได้กินข้าวได้สักที ยิ่งยืดเยื้อยิ่งหิวไปกันใหญ่  

ตอนที่รออยู่ห้องเตรียมผ่าตัด คุณหมอเกรียงศักดิ์ในชุดเขียวเดินเข้ามาหา "รอตั้งนาน"  คุณหมอตอบว่า "โทษที พอดีเคสผ่าไทรอยด์มีปัญหานิดหน่อย เลยกินเวลาไปมาก" ฉันก็เข้าใจอะนะ ก็รู้ว่าอะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ในห้องผ่าตัด เป็นห่วงแต่คุณหมอนี่แหล่ กินข้าวเที่ยงหรือยัง ซึ่งคุณหมอก็ตอบแบบยิ้ม ๆ ว่า "ทานแล้วครับ"

ตอนที่รออยู่ห้องเตรียมผ่าตัด ฉันเห็นมีคนนอนบนเตียงรอผ่าตัดอีก 4 คน มีป้าคนหนึ่ง แกเข้าใจว่า แกจะต้องผ่าไส้ติ่งออก พยาบาลมาถามหลายรอบป้าก็ตอบไปอย่างนั้น จนพยาบาลกลุ้มใจ เพราะว่าไม่ได้จะผ่าตัดไส้ติ่ง แต่จะผ่าตัดสะโพกต่างหาก ต้องเรียกหมอมาทำความเข้าใจกับป้านั่นอีกรอบ เมื่อป้ารู้ว่าจะต้องผ่าตัดสะโพกก็คงนึกหวั่น เพราะฉันได้ยินป้าพูดเสียงดังสั่น ๆ ว่า "ไม่เอาแล้ว ไม่ผ่าตัดแล้ว"  ยังไงกันวะเนี่ย โกลาหลกันน่าดูเลย

หมายเลขที่แหวนห้อยใกล้ถุงน้ำเกลือของฉันคือหมายเลข 4 คงได้ใช้ห้องผ่าตัดที่ 4 นั่นแหล่ะ สักพักก็มีคนมาเข็นไป คนอื่นที่รออยู่ก่อน ยังไม่มีใครได้ไป ฉันมาทีหลังแต่ได้ไปก่อน คงแล้วแต่เคสมั๊ง 

ห้องผ่าตัด .. เป็นอะไรที่ไม่อยากจะเข้าไปเลย ไปทีไร เจ็บตัวออกมาทุกทีสินั่น  ทีนี้ใครเป็นใครจำไม่ได้แล้ว เล่นสวมชุดเชียวใส่หน้ากากกันหมด เขาให้ฉันนอนท่ากางเขน รัดแขนสองข้างและกลางลำตัว ตรงขามีเครื่องวัดความดัน ส่วนที่แขนขวา หมอบ่น..  ก็จะผ่าตัดข้างขวา แล้วทำไมพยาบาลเจาะเส้นให้น้ำเกลือข้างขวานะ มันเกะกะ คุณหมอจะถอดออกแล้วเจาะใหม่ที่เท้า  ... 

"อ้าว ! ที่เท้าเหรอ แย่อะดิเนี่ย อันนี้ใช้ไม่ได้เหรอ ไหน ๆ ก็เสียบน้ำเกลือไปแล้ว ว้า แย่จัง "  ฉันก็บ่นบ้างดิ กลัวเข็มจะตายชัก อุตส่าห์เจ็บตัวโดนเจาะไปแล้ว ยังจะมาย้ายที่อีก เฮ้อ .. สงสัยจะถอนหายใจแรง คุณหมอเลยบอกว่า "อ้าว หยวน ๆ ไม่เป็นไร คงไม่เกะกะสักเท่าไหร่หรอก ไม่ต้องเสียบน้ำเกลือใหม่แล้ว" ... เย้ ค่อยยังชั่วหน่อย

"หมอ เจ็บแขน" ฉันบอกกับทีมหมอตอนที่มีหมอคนหนึ่งฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ แล้วความรู้สึกก็เริ่มเบลอ ๆ หน้ากากหายใจก็ค่อย ๆ สวมลงทาบจมูก ฉันเต็มฝืน แล้วก็หมดความรู้สึก สลบไป .. รู้ตัวอีกที คงอยู่ห้องสังเกตุการณ์ แต่ยังมึนอยู่ จึงไม่อยากลืมตา ฉันได้ยินคนเขาคุยกัน แต่จับใจความไม่ได้ เขาเข็นฉันกลับเข้าห้องพักตอนบ่ายสี่กว่า ๆ  อุ้มลงไปนอนเตียง แล้วก็เรียกชื่อ ฉันก็เออออ แต่ก็ไม่คิดจะลืมตา ทว่าด้วยความมึนทำให้ฉันอยากอาเจียน เขาเตรียมการไว้แล้ว เอาภาชนะมารองรับ ฉันสะบัดหัวเพื่อให้หายมึน แต่ก็เหมือนยิ่งมึน การเจ็บแผลตอนนั้นยังไม่มี แต่พะอึดพะอมมาก  อาหารเย็นที่เขาจัดไว้ให้ ข้าวต้ม+กับข้าวอะไรก็ไม่ทันได้ดู ทั้งที่หิวแต่ฉันก็กระเดือกไม่ลงเลย จึงล้มตัวนอนใหม่ ฟื้นตัวอีกทีตอนสี่ทุ่ม ยังมึนนิดหน่อย หิวมาก............. พี่สาวที่เฝ้า ต้องลงไปซื้อก๋วยเตี๋ยวมาให้กิน ก็กินไปแค่สองสามคำ ก็ไม่ไหว ขอนอนต่อ ..


แล้วก็ตื่นเต็มตัวตอนตีสาม ไม่มีอาการมึนแล้ว หิวอีกแล้ว และก็ไม่มีอะไรให้กิน 555 ทำไงได้ ดันตื่นตอนตีสาม เหลือบมองเห็นถุงส้ม ได้การล่ะ ขอกินส้มก่อนละกัน  จากนั้นก็ดูหนังจาก ipod  เออใช่ เขาเอาสายน้ำเกลือออกแล้วเมื่อเย็น แต่ยังคงคาเข็มไว้อยู่ พอมีเข็มคามือไว้อย่างนั้น มันทำให้หยิบจับอะไรไม่ค่อยสะดวกเลย เวลาจะแปรงฟันก็ต้องใช้มือซ้ายแทน แปรงฟันแบบไม่สะอาดเท่าที่ควร ช่างมันล่ะ ถึงตอนนี้ ใครล่ะจะมาดมปากฉัน 555

มื้อเช้าวันเสาร์ ฉันฟาดเรียบ กินทุกอย่างที่ขวางหน้า ทีมหมอมาดูอาการ เช็คแผล และบอกฉันว่า ถ้าจะกลับก็กลับได้ คุณหมอนัดให้มาฟังผลชิ้นเนื้อในวันพฤหัสที่ 13 .. ได้ทีล่ะ เขาอนุญาตให้กลับได้ ก็รีบเผ่นซะดีกว่า 

พฤหัสแอตมิท ศุกร์ผ่าตัด เสาร์กลับบ้าน .. อาทิตย์เย็นไปงานแต่งงาน จันทร์ลุยงานต่อ ...
แค่นี้จริง ๆ เห็นมั๊ย ไม่ได้ทำอะไรที่หนักหนาเลย ..


การตัดก้อนเนื้องอกออก ( Lumpectomy หรือ wide local excision)

เป็นส่วนหนึ่งของการทำผ่าตัดแบบสงวนเต้านม ( breast conservation procedure) โดยตัดก้อนที่คลำได้ออกให้ได้ชายขอบที่ตัดพ้นบริเวณที่มีเนื้อมะเร็ง ( adequate margins) ถ้าคลำก้อนไม่ได้อาจต้องล็อคเป้าด้วยเข็ม ( needle-localization) โดยปักเข็มไปที่เนื้องอกขณะมองภาพจากคลื่นอุลตราซาวด์หรือภาพเอ็กซเรย์เต้านม แล้วคาลวดปลายงอ ( J wire) ไว้ก่อน หลังจากนั้นจึงไปตัดเอาเนื้องอกออก โดยต้องตัดขอบ ( margin) ให้ห่างปลายลวดอย่างน้อย 1 ซม. แล้วเอาชิ้นเนื้อที่ตัดได้ ( specimen) ไปตรวจยืนยันด้วยเอ็กซเรย์ทันทีว่าตัดได้เนื้อที่ต้องการ ก่อนที่จะเย็บปิดแผล 
				
1 ธันวาคม 2555 22:20 น.

“โชคชะตาอยู่ในตัวเรา จงกล้าที่จะเผชิญ !”

อัลมิตรา

 

"บรรพบุรุษได้กล่าวขานถึงสิ่งนี้
มันเป็นหัวใจสำคัญของดินแดนอันโหดร้ายแห่งนี้
มันล่องลอยอยู่ในสายลม
ก่อให้เกิดตำนานเล่าขาน
และเมื่อเราเข้าสู่การทดสอบ..
มันจะเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องมี.."


หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน กลับดึกมาหลายคืน แถมวันนี้ยังย่องไปทำงานอีก  เห็นที่จะต้องให้รางวัลกับตัวเองบ้าง ฉันจึงเลือกที่จะเปิด Ipod ดูหนังการ์ตูนสักเรื่อง

Brave เป็นหนังที่โหลดรอไว้หลายวันแล้ว เพิ่งจะมีโอกาสดูในช่วงเย็นนี้เอง

เอาล่ะ ใครที่ยังไม่ได้ดูหนังของวอลล์ดิสนีย์เรื่องนี้ 
อัลมิตราคิดว่า .. น่าเสียดายนะ

- เจ้าหญิงเมริดา ผู้มีผมแดงหยิกฟู เชี่ยวชาญการใช้อาวุธ โดยเฉพาะธนู
- ราชินีเอลินอร์ ผู้ที่เคร่งครัดต่อกฏระเบียบ จนกระทั่งกลายเป็นเจ้ากี้เจ้าการ
- กษัตริย์เฟอร์กัส พระราชาที่บ้าบิ่น สูญเสียขาข้างหนึ่งจากการต่อสู้กับอสูรร้าย
- พระอนุชาแฝดสามแสนซน

เหมือนดูหนังครอบครัว มีทั้งบทสุข บทโศก แต่โดยภาพรวมแล้วสะท้อนให้รู้สึกซึ้ง

เจ้าหญิงผู้ปรีชาสามารถในการยิงธนู ทรงเบื่อหน่ายที่จะอยู่ภายใต้กรอบบังคับของราชินี นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ดี โน่นก็ห้าม .. ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระเนตรพระกรรณไปเสียทั้งหมด ในความเบื่อหน่ายนั่นเอง ทำให้เจ้าหญิงขอให้แม่มดบันดาลให้ราชินีเกิดการเปลี่ยนแปลง

ถ้าราชินีเอลินอร์ไม่กระทำการหักหาญน้ำใจเจ้าหญิงเมริดาในการเลือกคู่ครองแล้ว เรื่องทั้งหมดก็คงจะไม่เกิด แต่อย่างไรก็ตาม ว่ากันว่า"โชคชะตาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้"

แล้วทุกสิ่งก็เป็นไปตามนั้น .. 
ทว่า ราชินีกลายร่างเป็นหมี เผ่าอสูรร้ายที่ฝากรอยแผลแค้นให้กษัตริย์เฟอร์กัส

หมี ... ก็คือ หมี ... กษัตริย์เฟอร์กัสตามล่าหมี 
หมี ... ก็คือ แม่ ... เจ้าหญิงต้องทำทุกวิถีทางในการปกป้องแม่

สนุกก็ตรงนี้ล่ะ ! 

ราชินีในร่างหมีต้องเรียนรู้ชีวิตที่ไม่ได้อยู่ในกรอบกฏเกณฑ์ บางฉากฮามาก เช่น ฉากที่ราชินีในร่างหมีรู้สึกขวยเชินเมื่อไม่ได้สวมผ้า และตอนที่ราชินีในร่างหมีหัดจับปลา 

ทำให้นึกถึงเมฆวิปผุชชิตาฉันท์  ๑๙ ที่เขียนไว้เมื่อห้าปีที่แล้ว

      
         ๏  สงบนิ่งยามตรึกตรองพิเคราะห์อุทกธาร
          ซึ่งกระเซ็นซ่าน.......................และเฟื่องฟอง
             ประสงค์มัจฉาอันต่างวิริยะคะนอง
          แน่นนทีผอง...........................ระเริงชล
            ทว่ายังแต่หมายมีนคหณะปะปน
          ล้วนระเหหน..........................คละคล่ำไป
            ขยับกายทั้งอุ้งมือเปะปะขณะสมัย-
          ทั้งระรื่นใน.............................กระแสสินธุ์ ๚


           ๏  และมุ่งหมายมัจฉาซึ่งอภิรติสะทิน-
          นาฏล้ำศิลป์.............................สง่างาม
             กระโจนแหวกว่ายเพลิดเพลิน ณ สลิลวิราม
          ทั้งพยายาม..............................จะเร่งแซง
             ขนาดใหญ่น้อยเรียงรายและวิจรณแผลง-
          ผ่านนทีแรง.............................และเชี่ยวเกิน
            พินิจเห็นเช่นนั้นหมีหฤทยมิเพลิน
          เพียงจะประเมิน....................ประมาณปลา ๚


          ๏ ตะปบว่องไวเชี่ยวชาญพิริยะดุจคว้า
          ควานเขม้นหา.........................มิลามือ  
            สง่าผ่าเผยโดดเด่นสุรอชิรคือ-
          ทั้งสิบันลือ-.............................ตะเบ็งเสียง
            เขยิบย่างทั้งว่องไวบ่มิมุทะลุเพียง
          เพ่งและเดินเลี่ยง....................ตลิ่งพลัน
            สนุกแท้แม้เยือกเย็นและวิจลฉะนั้น
          มัสยาหวั่น-.............................และหวาดกลัว ๚


          ๏  กระจายแหวกว่ายซุกซ่อน ณ สริเหมาะเจาะทั่ว
          พุ่งทะยานตัว.........................ตลอดทาง-
            ชลาลัยใสเย็นยิ่งวิสมยฉวาง
          ธรรมชาติสร้าง-.....................และรังสรรค์
            เสมือนชมดนตรีลีลาศ ภรตคติอัน-
          แสนวิลาวัลย์.........................ฉะนั้นหนา
            ประจักษ์บทบาทแห่งหมีพิริยะคณะปลา
          อัศจรรย์พา-..........................ระรื่นใจ ๚ะ๛
  

ในครั้งนั้นฉันเขียนหลังจากชมภาพยนตร์  Animation เรื่องหนึ่ง
 Brother Bear หรือชื่อภาษาไทยคือ "มหัศจรรย์หมีผู้ยิ่งใหญ่"
มาคราวนี้ Brave ก็มีบทบาทของหมีอีก เออ ! ความรู้สีกนั้นเลย

วกเข้าเรื่องดีกว่า .. เป็นเพราะกษัตริย์เฟอร์กัส ต้องสูญเสียขาข้างหนึ่งไปให้กับอสูรร้าย ดังนั้น กษัตริย์เฟอร์กัสจึงรอคอยอย่างหมายมั่นถึงวันที่จะได้ลบรอยแค้นจากใจไปเสียที  และเมื่อกษัตริย์เฟอร์กัสเห็นหมีอีกครั้ง กษัตริย์เฟอร์กัสจึงทุ่มสุดกำลังที่จะตามล่าให้ได้

"ในยามที่แสงตะวันในวันที่ 2 สาดส่องร่างราชินีที่กลายเป็นหมี 
หากมิได้รับการแก้ไขให้ทันท่วงที  ราชินีก็จะกลายเป็นหมีไปตลอดกาล"

เจ้าหญิงจะต้องแก้ไขสถานการณ์ด้วยตนเอง ด้วยการถอดปริศนาที่แม่มดทิ้งไว้แล้วกระทำตามนั้น

สำหรับหนังเรื่องนี้
สะท้อนให้ฉันเห็นว่า.. โชคชะตาของคนๆ หนึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นอนาคตของเรา
แต่ยังล้วนเกี่ยวพันกับคนอื่นๆใกล้ๆตัวของเราอีกด้วย
อย่างเส้นทางการตัดสินใจในชีวิตของเจ้าหญิง 
ส่งผลกระทบต่อคนรอบกายไปทั่วโดยเฉพาะกับราชินีเป็นแม่ 
และเกือบจะนำไปสู่การก่อสงครามและความสูญเสียครั้งใหญ่อีกด้วย

เห็นไหมล่ะ น่าสนใจทีเดียวสำหรับหนังเรื่องนี้ 
แล้วนี่ฉันบอกไปหรือยังนะ soundtrack ในหนังก็น่าสนใจมากเช่นกัน

Touch the Sky .. เป็นเพลงประกอบในฉากต้นเรื่อง 
ตอนที่เจ้าหญิงขี่ม้าเข้าไปในป่า แล้วป่ายปีนขึ้นไปยังแท่นผาสูง 
สัมผัสแตะท้องฟ้า คล้ายว่าเจ้าหญิงทะยานบินไต่ไปตามสายลมได้

:) นั่นล่ะ เป็นสิ่งที่ฉันก็อยากเป็น



 				
24 พฤศจิกายน 2555 15:34 น.

เรื่องราวในเน็ต

อัลมิตรา

วันนี้ตื่นสาย กินข้าวสาย กินยาสาย แล้วถือโอกาสเอกเขนกนอนต่ออีกนิดจนเที่ยง เหมือนตัวขี้เกียจยังไงยังงั้นเลย ฮา ..แบบว่า ถือโอกาสชาร์ตแบทพักยกไปในตัว

บ่ายกว่า รู้สึกหิว จำเป็นต้องเสาะหาอาหารใส่ท้องพร้อมกับติดตามข่าวม็อบไปด้วย มีการยิงแก๊สน้ำตากันแล้ว ส่อเค้าถึงความวุ่นวายกันอีกแล้ว  ดูข่าวคนเดียว คิดคนเดียว

ตอนนี้แดดยังแรงอยู่ ตัวขี้เกียจยังคงสิงอีกต่างหาก ก็เลยพักอารมณ์ในเน็ตดีกว่า ปรากฏว่า ..  ตัวงงเข้ามาสิงแทนตัวขี้เกียจ  ... ??? 

ภาษาคนต่างจังหวัดเขาพูดว่าอะไรนะ .. นึกก่อน 
เคยได้ยินคนงานของพ่อพูดเอาไว้นานโน้นนนนนนนนว่า .. "ฮ่วย บักสิเด๋อ!"
มันมีความหมายยังไงก็ไม่รู้แฮะ แต่น่าจะออกแนว ๆ ว่า .." เฮ้ย! อะไรกันเนี่ย!"

ด้วยเรื่องราวในบ้านกลอน บางที การอ่าน การประมวลความคิด ของแต่ละคน ..ไม่เหมือนกัน  หลายปีมาแล้ว อัลมิตราเขียนเรื่องเกี่ยวกับ เบื้องลึก - เบื้องหลัง ก็มีคนเข้าใจผิดกันเยอะ  เคยเขียนใต้ร่มมลุลี เอาอีกล่ะ ดันไปกระทบใจบางคนที่กำลังอกหักรักคุดอีกต่างหาก เปลี่ยนแนวเป็นเขียนถึงเพื่อนคนหนึ่งที่ชื่อ ขอโทษครับผมเมา ก็ทำให้หลายคนสะดุ้งตามกัน

เห็นมั๊ย อิทธิพลของตัวหนังสือ มันทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกถึงความที่ตัวเองเป็นไปเกี่ยวข้อง  ทั้งที่บางทีแล้ว ที่มาของการเขียน มันเป็นคนละเรื่องราวกัน

จะเป็นการยากไหมนะ หากตอนที่อ่าน ให้ถือหินหนัก ๆ สักก้อน เอาไว้ถ่วงใจ ฮา .. คิดไปนั้นเชียวอัลมิตรา

.................................................................

มีเรื่องจริงที่อยากเล่าเพื่อแชร์ประสบการณ์  ..

ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ณ วันที่ ฤกษ์ ชัยพฤกษ์เห็นอัลมิตราแต่ไม่แสดงตัว (อ้างอิง)

อัลมิตราประกาศชวนเพื่อนบ้านกลอนไปไปงานออกแขกทำบุญบ้านกวีสุนทรภู่ที่วัดเทพธิดาราม ที่งานจะมีการสมทบทุนซ่อมแซมกุฏิที่สุนทรภู่เคยจำวัด และหารายได้สมทบทุนงานกวีสุนทรภู่ มีอาจารย์กวีมากมายที่ร่วมงานนี้ เรียกได้ว่า ได้ไปกระทบไหล่กวีใหญ่ของเมืองไทยก็งานนี้แหล่ะ

ทีนี้.. มีสมาชิกบ้านกลอนคนหนึ่งสนใจอยากไปงานบุญนี้ บ้านอยู่ จ.ชลบุรี ช่วยงานที่บ้าน ไม่มีรายได้ แต่เธอคนนั้นสนใจงานกวี และอยากมาร่วมงานบุญ เธอบอกกับอัลมิตราอย่างนั้น แต่ติดขัดทุนทรัพย์ อัลมิตราจึงถามเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทาง จากนั้นก็บอกกับเธอว่า "มาเถอะ ค่าใช้จ่ายจะจัดการให้"

ไม่ได้อวดรวย ไม่ได้อยากได้หน้า ไม่ได้อยากเอาบุญคุณ ... 
ก็เธอคนนั้นอยากมาก อัลมิตราก็แค่ทำให้เธอได้มาตามความตั้งใจ เท่านั้นเอง
.. นี่คือความคิดของอัลมิตรา ..

ในวันงาน เธอก็เดินทางมายังจุดหมาย เราร่วมงานกันอย่างราบรื่น เรียบร้อยทุกอย่าง ซึ่งไม่น่าจะมีผิดปกติ ขากลับ เห็นว่า มีรถจะผ่านเส้นทางที่เธอจะต้องไปขึ้น บขส. ก็เลยฝากฝังให้เธอติดรถไปด้วย เรื่องควรจบแค่นั้น ..

แต่ ปรากฏว่า .. 
อีกวันถัดไป จู่ ๆ มีข้อความจากผู้ที่อัลมิตราฝากให้เธอติดรถไปนั้น ตำหนิอัลมิตรายกใหญ่ในเวป  ในความรู้สึกแรกคือ " อะไรวะ งง ว่ะ"       และความรู้สึกถัดมาก็คือ "ช่างมันเหอะ ไม่เห็นจะรู้เรื่อง"

ผ่านมาห้าปี อัลมิตราซึ่งลืมไปแล้วด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น ก็เพิ่งจะมาฟื้นความทรงจำตอนที่ เธอคนนั้นบอกว่า "หนูอยากถามอะไรพี่หน่อย เหตุการณ์ตอนนั้น......"   อัลมิตราก็มีหน้าที่ตอบไป "หนูเข้าใจพี่ผิดมานาน" เธอว่างั้น  ส่วนอัลมิตราก็ได้แต่เหรอหรา " อ๋อ เออ อึม"

ที่จริงแล้ว หากเราไม่ได้พบกันอีกครั้ง ความรู้สึกที่เธอมีต่ออัลมิตราก็คงจะมีแต่ภาพลบตลอดไป  หรือ อาจเป็นเพราะ โชคชะตา ทำให้อัลมิตราได้มีโอกาสอธิบายในเจตนาที่กระทำลงไป

.................................................................

:)  แค่บอกเล่าประสบการณ์จริง ตัวตนของเธอทั้งสองคน ก็คงสามารถยืนยันในคำเขียนของอัลมิตราได้ แดดเช้าและหิ่งห้อยน้อยใจ ซึ่งทั้งคู่ก็ยังคงเป็นเพื่อนของอัลมิตราอยู่ มีฮาเฮกันบ้างหากโอกาสเอื้ออำนวย ห่างหายกันบ้างตามระยะทางและระยะงาน 



อัลมิตราอยากสรุปว่า 

เรื่องราวในเน็ต .. บางที มันไม่มีอะไรเลย 

เรื่องราวในเน็ต .. บางที คนอ่านนั่นแหล่ะ ที่เป็นคนสร้าง


หรือเพื่อนคนอื่นมีประสบการณ์ทำนองนี้ ก็สามารถแชร์ความคิดกันได้นะ :)

				
Calendar
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟอัลมิตรา
Lovings  อัลมิตรา เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงอัลมิตรา