22 กุมภาพันธ์ 2554 19:31 น.
อัลมิตรา
สัปดาห์ที่แล้ว ฉันได้รับเมล์ที่จั่วหัวว่าอย่างนี้
.. ตายแล้ว !!!! ...........ไปไหนดี ?
ฉันก็คิดในใจว่า สงสัยจะเป็นการส่งข้อความเกี่ยวกับธรรมะ
และก็ยังไม่ทันไร เมล์ฉบับถัดมาก็จั่วหัวเรื่องไว้แบบเดียวกัน
ทั้งที่ผู้ส่งเป็นคนละคน ... อะไรกันหว่า ???
ที่ไหนได้ เป็นเรื่องของการอุทาน ตายแล้ว !!! .. หาที่เที่ยว
ผู้หญิงก็อย่างนี้แหล่ะ ไม่ว่าจะทำอะไร มักมีสีสันแปลก ๆ
โธ่! ก็วันหยุดยาว ใคร ๆ เขาหยุดกัน 3 วัน
ส่วนฉัน ศุกร์ที่แล้วยังต้องทำงาน ฉันก็เลยไม่ได้จัดทริปให้ตัวเอง
8 กุมภาพันธ์ 2554 17:15 น.
อัลมิตรา
.
ในช่วงวันระหว่างของการบำบัด ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ต้องจดจำ
พรุ่งนี้แล้วสินะ ที่จะเป็นรอบของการให้เคมีบำบัดเป็นครั้งสุดท้าย
แต่ละรอบที่ผ่านมา ฉันมีความรู้สึกแตกต่างกันบ้าง
ทว่าส่วนที่ยังคงเหมือนเดิมก็คือ ..
อาการไม่ชอบเข็มฉีดยา ที่ยังคงเสมอต้นเสมอปลาย
จำได้ว่า ก่อนรับเคมีบำบัดหนแรก ต้องไปแอบทำใจที่บ้านสวนเมืองจันทน์
นอนลุ้นตื่นเต้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ฟังมาเยอะ อ่านมาแยะ รู้สึกปอดนิด ๆ
หนสอง ก็พอดีเป็นช่วงปลายปี การเตรียมงานทำให้ฉันแทบไม่มีเวลากังวล
หลังจากรับเคมีบำบัดมาแล้ว ก็อยู่ในช่วงเทศกาลกินเลี้ยง ทำไปทำมา เป็นเริมที่ปาก
สงสัยว่าจะกินมากไปหน่อย แต่ถึงจะเป็นเริม มันก็ใช่อุปสรรคในการกินของฉัน
แถมยังอุตส่าห์เจียดเวลาไปงานเจียไต๋ที่เมืองกาญจน์ได้อีกแน่ะ
หนสาม ชีพจรลงเท้าตลอด เริ่มต้นจากต้องเดินทางไกลไปโคราช มีงานมงคลที่นั่น
ถัดจากนั้นก็ไปเตร็ดเตร่ที่งานเกษตรแฟร์ และล่าสุดที่จะเป็นเรื่องบอกเล่าในคราวนี้
ฉันกับกลุ่มเพื่อน ร่วมกันออกร้านโรงทานในงานบุญฝังลูกนิมิตที่วัดลิ้นช้าง จ.เพชรบุรี
สำหรับเพื่อน ๆ คงเตรียมงานกันหนัก ออกเดินทางตั้งแต่ตีสามของวันเสาร์ที่ 5 กพ.
ส่วนฉัน เพิ่งจะตื่นตอนตีห้า และตามไปในระยะไม่กระชั้นชิดนัก
การเตรียมงาน การวางแผนงาน ทั้งหมดแล้วเป็นเรื่องที่เพื่อนของฉันจัดการเป็นอย่างดี
ฉันเองในฐานะคนป่วย (เพื่อนมันว่างั้น) ก็ไม่ได้ทำอะไรมาก นอกจากทำหน้าที่
ท อ ด ไ ข่ เ จี ย ว
29 มกราคม 2554 09:06 น.
อัลมิตรา
เธอ .. เป็นคนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้
แน่นอนว่าการปรากฏตัวของเธอ เป็นเรื่องที่เปิดเผย
เขา .. เป็นคนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้เช่นกัน
ทว่าไม่มีผู้ใดพบร่องรอยการปรากฏตัวของเขา
..............................................................................................
หมู่บ้านหมี่นอักษร เป็นหมู่บ้านที่ผู้อาศัยมักนิยมในการเขียน การอ่าน
ผู้คนในหมู่บ้านมักจะแลกเปลี่ยนความรู้ สนทนาปราศรัยในภาษาที่วิจิตร
แต่ละบ้านจะมีรูปลักษณ์และการตกแต่งตามแต่จินตนาการของเจ้าบ้าน
แน่นอน .. ที่หน้าบ้าน จะมีตู้จดหมาย 1 ตู้ ยกเว้นบ้านของเธอ
นอกจากตู้จดหมายสีชมพู เธอยังมีตู้จดหมายสีฟ้าเพิ่มอีก 1 ตู้
การมีตู้จดหมายมากกว่าบ้านอื่นนั้น เป็นความลับที่ไม่มีคนอื่นล่วงรู้
เมื่อใดก็ตามที่เธออยากบอกเล่าถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ
เธอมักจะเขียนจดหมายแล้วหยอดลงตู้จดหมายสีฟ้า
เมื่อใดก็ตามที่เธออยากระบายความในใจ
เธอมักจะเขียนจดหมายแล้วหยอดลงตู้จดหมายสีฟ้า
ไม่ว่าทุกข์ ไม่ว่าสุข ..
เธอมักจะเขียนจดหมายแล้วหยอดลงตู้จดหมายสีฟ้า
..............................................................................................
เขาผู้ไร้ร่องรอย สิ่งที่แสดงตัวตนของเขาเป็นเพียงตัวอักษรลึกลับ
ที่ปรากฏอยู่ในตู้จดหมายสีชมพู ตู้ซึ่งอยู่ในขอบรั้วบ้านของเธอ
เมื่อใดก็ตามที่เธออยากบอกเล่าถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ
เธอมักจะเขียนจดหมายแล้วหยอดลงตู้จดหมายสีฟ้า
.. เขาจะเขียนจดหมายตอบกลับแล้วหยอดลงตู้จดหมายสีชมพู
เมื่อใดก็ตามที่เธออยากระบายความในใจ
เธอมักจะเขียนจดหมายแล้วหยอดลงตู้จดหมายสีฟ้า
.. เขาจะเขียนจดหมายตอบกลับแล้วหยอดลงตู้จดหมายสีชมพู
ไม่ว่าทุกข์ ไม่ว่าสุข ..
เธอมักจะเขียนจดหมายแล้วหยอดลงตู้จดหมายสีฟ้า
.. เขาจะเขียนจดหมายตอบกลับแล้วหยอดลงตู้จดหมายสีชมพู
..............................................................................................
อาจบอกได้ว่า เธอไม่รู้จักเขา
อาจบอกได้ว่า เขารู้จักเธอ
..............................................................................................
เธอเฝ้าจินตนาการว่า สักวัน เธอจะได้พบเขา
ผู้ซึ่งเอาจดหมายมาหยอดลงตู้จดหมายสีชมพูของเธอ
เธอคิดไปเองและเข้าใจมาตลอดว่า เธอคือคนสำคัญของเขา
..............................................................................................
ที่หมู่บ้านหมื่นอักษร ยังคงคลาคล่ำไปด้วยผู้มีเชิงศิลป์ทางอักษร
กระทั่งวันหนึ่ง เธอสะดุดตากับบางอักษรที่ปรากฏ มันช่างคุ้นเคยเหลือเกิน
เธอเขียนบอกเล่าถึงสิ่งที่พบเห็น บอกเล่าความรู้สึก และสอบถาม
แล้วเธอก็นำจดหมายฉบับนั้นหยอดลงตู้จดหมายสีฟ้า
จากนั้น .. อีกไม่นาน
เธออ่านจดหมายที่เขาเขียนตอบกลับในตู้จดหมายสีชมพู
ความว่า .. ไม่ใช่เช่นนั้น
เธอยังคงบอกเล่าถึงสิ่งที่พบเห็น บอกเล่าความรู้สึก และสอบถาม อีกหลายครั้ง
ส่งจดหมาย .. รอรับจดหมาย
ระยะหลัง คำตอบของจดหมายในตู้จดหมายสีชมพูคล้ายตัดพ้อถึงความไม่เชื่อใจ
ทั้งที่เธอยังคงมีแต่ความไม่เข้าใจ แต่เธอก็เชื่อใจ
..............................................................................................
วันหนึ่ง เพื่อนบ้านของเธอมาเยือนถึงถิ่น พร้อมกับขอปรับทุกข์
ทุกข์ของเพื่อนบ้านคนนั้นถูกระบายถ่ายเทมายังเธอ โดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว
เพื่อนบ้านของเธอยื่นจดหมายให้เธออ่านหลายฉบับ
อักษรที่อยู่ในจดหมายตรงหน้า อักษรที่คุ้นเคย(อีกแล้ว) ทำให้เธอรู้สึกปวดใจ
แต่เธอก็ไม่สามารถที่จะแสดงปฏิกริยาใด ๆ ได้
นอกเสียจากเป็ที่รองรับการระบายอารมณ์ของเพื่อนบ้านด้วยหัวใจที่ทุกข์กว่า
เธอให้คำปรึกษาและยิ่งกว่านั้นเหมือนตอกหมุดแทงลงไปในใจของตนเองด้วย
..............................................................................................
เธอยังคงเขียนบอกเล่าโดยหันเหไปในเรื่องราวอื่นที่เธอคิดว่าน่าจะดีกว่า
เธอหยอดจดหมายลงในตู้จดหมายสีฟ้า
.. ไม่มีจดหมายตอบกลับในตู้จดหมายสีชมพู
เธอพยายามมองสิ่งรอบตัวให้เป็นสิ่งที่สวยงาม
วันแล้ววันเล่า ที่เธอเขียนจดหมายแล้วยังคงหยอดลงตู้จดหมายสีฟ้า
เดือนแล้วเดือนเล่า ที่เธอเขียนจดหมายแล้วยังคงหยอดลงตู้จดหมายสีฟ้า
.. ไม่มีจดหมายตอบกลับในตู้จดหมายสีชมพู
เธอยังคงพบบางอักษรที่สะดุดตา และด้วยสัมผัสอันคุ้นเคย
ทว่าไม่ใช่ในจดหมายที่เธอต้องการได้รับ หากแต่เป็นที่อื่น ที่ซึ่งเธอไม่อาจแตะต้อง
เธอเลิกจินตนาการว่า สักวัน เธอจะได้พบเขา
ผู้ซึ่งเอาจดหมายมาหยอดลงตู้จดหมายสีชมพูของเธอ
เธอคิดไปเองและเข้าใจผิดมาตลอดว่า เธอคือคนสำคัญของเขา
..............................................................................................
ตู้จดหมายสีฟ้าอัดแน่นไปด้วยจดหมายของเธอ จนเธอไม่กล้าหยอดเพิ่ม
จดหมายแต่ละฉบับยังคงถูกผนึกไว้เป็นอย่างดี ปราศจากหยิบจับด้วยซ้ำไป
ตู้จดหมายสีฟ้าของเธอ ตู้จดหมายสีชมพูของเธอ
เธอค่อย ๆ เปิดตู้จดหมายสีฟ้าด้วยมืออันสั่นเทา จดหมายล้นตู้มากมาย
เข้าใจว่า .. เขาไม่อยากอ่านจดหมายของเธออีก !
เข้าใจว่า .. เขาไม่สนใจไยดีกับจดหมายของเธออีก !
เข้าใจว่า .. เขาเลือกที่จะสร้างตู้จดหมายของเขาเอง !
เข้าใจว่า .. เขาเลือกที่จะเขียนจดหมายส่งถึงผู้อื่น !
เธอจึงเปิดอ่านจดหมายที่เธอเป็นผู้เขียนเองด้วยน้ำตา
และเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะตอบกลับจดหมายของตัวเอง
ด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างมาก
เธอยอมที่จะมีตู้จดหมายสีชมพูเพียงตู้เดียวเหมือนใคร ๆ ในหมู่บ้านหมื่นอักษร
ถึงกระนั้น เธอหยิบจดหมายทั้งหมดออกมาและใส่หัวใจของเธอลงไปแทน
เธอเก็บซ่อนตู้จดหมายสีฟ้า ซ่อนไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของความทรงจำที่งดงาม
ตู้จดหมายสีฟ้าเป็นตู้จดหมายที่เก็บความทรงจำที่ดีที่สุดเท่าที่ชีวิตเธอมี
..............................................................................................
หนึ่งปีผ่านไป ..
ที่ตู้จดหมายสีชมพู ปรากฏจดหมายที่ถูกส่งมาจากตู้จดหมายสีฟ้า
ตู้จดหมายสีฟ้า ซึ่งถูกเก็บซ่อนไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ ถูกค้นพบโดยเขา
เขาประสบความสำเร็จในการค้นพบตู้จดหมายสีฟ้า
แต่ เขายังคงไม่เห็นหัวใจของเธอที่อยู่ข้างในนั้นอยู่ดี
..............................................................................................
9 ธันวาคม 2553 09:05 น.
อัลมิตรา
ด้วยความที่ฉันเป็นลูกสาวคนเล็ก ฉันจึงทึกทักอย่างมั่นใจเอาเองว่า พ่อรักฉันมากกว่าบรรดาพี่ชาย 7 คน และ พี่สาวอีก 2 คน .. แน่นอน ฉันรักพ่อที่สุดในโลก
ตอนเด็กฉันคงค่อนข้างซน คนที่จะลงโทษฉันคือแม่ ทำให้ฉันรู้สึกว่าแม่เหมือนนางยักษ์ ขณะที่พ่อเป็นพ่อที่ใจดี พ่อมักจะส่งสัญญานว่า ไม้มาแล้ว วิ่งหนีแร็ว .. วิ่ง วิ่ง วิ่ง ..
หากเมื่อใดที่ฉันไม่สบาย พ่อจะแบกฉันขึ้นหลังไปหาหมอที่คลีนิค หลังจากที่ฉันร้องไห้เพราะเจ็บช้ำน้ำใจแถมเจ็บตัวเนื่องจากโดนฉีดยา พ่อก็จะแวะร้านขนม ได้ขนมกลับบ้านน้ำตาก็เหือดแห้งทันใด
ฉันเกือบไม่ได้เรียนต่อ หลังจบ ม.3 เพราะฐานะที่บ้านพบวิกฤต แม่อยากให้ฉันไปเย็บเสื้อโหลตามโรงงานเช่นเดียวกับพี่สาวทั้งสอง ส่วนพ่อตามใจฉันเมื่อฉันยืนยันว่าจะเรียนต่อ ซึ่งแม่ก็สุดจะคัดค้านเนื่องจากผลการเรียนของฉันอยู่ในระดับดีมาก
ฉันสอบเข้าเรียนต่อโรงเรียนของรัฐได้ ป้ายปักอักษรสีน้ำเงิน ทำให้พ่อภูมิใจมาก วันที่พ่อพาฉันไปมอบตัว คุณครูยังชมเลยว่า ฉันทำได้คะแนนสูงสุดในการสอบเข้าครั้งนั้น พ่อให้รางวัลฉันด้วยการกอดอุ่น ๆ
ฉันทำให้พ่อกังวล .. ตอนนั้นรู้สึกผิดหวังในบางใครอย่างมาก เรียกว่า อกหักคงไม่เชิง เพราะเป็นฝ่ายจบข่าวเอง ฉันเอาแต่นอนนิ่ง ๆ หลับตาอยู่บนที่นอน พ่อขึ้นมาสำรวจว่าฉันยังอยู่ดีหรือเปล่า เอามืออังจมูก .. ฉันระบายเรื่องทุกข์ให้พ่อฟัง พ่อกอดฉันและบอกว่า ช่างมันเถอะ ให้มันผ่านไป จากที่ตอนแรกไม่ได้เสียน้ำตาเลย ก็กลั้นไม่อยู่สะอื้นจนเสื้อของพ่อเปียกน้ำมูกน้ำตาของฉัน
ด้วยความที่อยากปรับตัวเอง จึงเรียนต่อ ก็เหมือนเดิม เรียนไปทำงานไป พ่อคอยดูแลเรื่องสุขภาพของฉัน จัดอาหารใส่กล่องให้ฉันเอาไปกินที่ทำงานทุกวัน (แม่ทำ พ่อจัด) แต่ก็เนอะ ฉันมันหาเรื่องเอง แอบไปชนแก้วกับเพื่อน ๆ ใน งานทำขวัญนาค แล้วไง .. สองแก้วเท่านั้น ทอนซิลอักเสบจนต้องผ่าตัด อุตส่าห์ต่อรองกับหมอให้พ้นวันสอบก่อน แล้วค่อยผ่าตัด หลังผ่าตัดก็อาเจียนและเจ็บคอมาก พ่อต้องป้อนข้าวป้อนน้ำ พ่อกอดและปลอบโยนฉัน
ล่วงเลยมาหลายปี ฉันเดินทางไปต่างประเทศ ในช่วงก่อนปีใหม่ กลับมาถึงกรุงเทพในวันที่ 2 มีสายเข้าที่บ้าน ญาติแจ้งข่าวให้ไปที่วัด แต่ไม่ได้บอกว่า ใครเป็นอะไร .. พอฉันไปถึงวัด ฉันรับสภาพไม่ได้ ฉันไม่คิดว่าจะเป็นพ่อของฉันที่นอนอยู่ในโลงนั่น ฉันได้แต่ร้องไห้ .. ร้องไห้ .. และ ร้องไห้
" พ่อคะ .. พ่อจะรู้ไหมคะ ว่า.. ตอนนี้หนูป่วยมาก หนูกลัวทุกครั้งที่จะต้องถูกฉีดยา ถูกเข็มเจาะ หนูอยากให้พ่ออยู่ด้วย กอดหนูไว้ และบอกว่าไม่เป็นไร เจ็บนิด ๆ แป๊บเดียว "
" พ่อคะ .. ถึงแม้ว่าเพื่อน ๆ ของหนูจะให้กำลังใจ ปลอบใจหนูอย่างไร หนูก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ดี สิ่งที่หนูทำได้ก็คือ ทำเป็นเฮฮาเพื่อไม่ให้พวกเขาต้องวิตกไปด้วยค่ะ "
" พ่อคะ .. พ่อกอดหนูหน่อยนะคะ "
18 กันยายน 2553 21:27 น.
อัลมิตรา
หมู่นี้ไม่รู้เป็นไง ฉันกลายเป็นที่ปรึกษาให้ใครต่อใครไปเสียแล้ว แถมเรื่องที่แต่ละคนนำมาปรึกษาเป็นเรื่องทำนองผัวเมียละเหี่ยใจทั้งนั้น พวกเขาฝากความหวังไว้ที่ฉัน ต่างก็หวังกันว่าฉันจะช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาได้ โธ่!.เอ๋ย คิดได้ไงเนี่ย ?
เริ่มต้นจากเมื่อต้นเดือน คนที่เคยคุ้นหน้าแถว ๆ คอนโด ที่คุ้นน่ะ ก็ใช่ว่าจะรู้จักชื่อเสียงเรียงนาม แต่เป็นเพราะว่าผู้หญิงคนนี้เคยขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ใกล้ ๆ คอนโดต่างหาก แหะ ... คุ้นเพราะฉันฝากภาระมื้อเที่ยงของวันหยุดที่ร้านของเธอเป็นประจำ
เอาล่ะ เข้าเรื่องเลย ..
" อ่า .. มาทำไรแถวนี้อ่ะ" เป็นคำทักทายจากฉันหลังจากที่ถูกสะกิดไหล่ ตอนที่ยืนซื้อไอศกรีมมะพร้าวอ่อนอยู่ที่หน้าบริษัท
"ว่าจะมาหาทำเลเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวแถว ๆ นี้ ตกลงคุณน้องทำงานที่นี่หรือจ๊ะ"
แล้วก็คุยกันสองสามประโยค โดยที่ฉันก็ไม่คาดคิดว่า หลังจากนั้นอีกสองวัน คุณเธอคนเดิมมายืนร้องไห้ที่หน้าบริษัทในช่วงเวลาใกล้ ๆ เที่ยง
"อ้าว ! เจ๊ เป็นอะไรไป" ฉันก็พลอยตกอกตกใจไปด้วย และก็ไม่รู้ว่า ทำไมเธอต้องมายืนร้องไห้ตรงนี้
"ฮือ ฮือ คุณน้อง เจ๊จะอกแตกตายอยู่แล้ว คุณน้องช่วยเจ๊ด้วย เจ๊ไม่รู้จะทำยังไงดี"
ยิ่งกว่าเหวอบวกเอ๋อเสียอีก ตอนนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าฉันจะช่วยเธอได้อย่างไร ปัญหาที่เธอมีคืออะไร แต่ที่หวั่น ๆ ก็คือ กลัวเธอจะมายืมตังค์ ฉันน่ะ โชคไม่ค่อยดี มักโดนเบี้ยวเงินเป็นประจำ จนขยาดที่จะให้ใครยืมเงินแล้ว ขนาดเพื่อนที่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ สัญญาว่าจะรีบคืนเงินให้ ผ่านมาหลายปีดีดัก จนตอนนี้เป็นนักเขียนไร้ฉันทลักษณ์ชื่อดังกวาดรางวัลใหญ่ ยังทำนิ่งสนิทเสียนี่ (ว่าจะไม่พาดพิงแล้วเชียว)
เธอเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้สามีของเธอเป็นอัมพาต ลำพังเธอเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรหรอก แต่ที่เป็นทุกข์หนักอกหนักใจจะเป็นจะตายก็เพราะว่า ตอนที่เธอไปดำเนินเรื่องของการเบิกเงินประกันสังคมของสามี แม่ค้าคนหนึ่งเล่าแจ้งแถลงไขถึงพฤติกรรมอันไม่ซื่อสัตย์ของสามีของเธอ ซึ่งมันโจ่งแจ้งราวกับว่า เธอไม่ได้อยู่ในฐานะภรรยา ผู้หญิงอีกคนต่างหากที่อิงตำแหน่งนั้น ... เหมือนโลกแตก เหมือนฟ้าเน่า เหมือนนรกผุด เธอสบถมากมาย
เธอยังบอกอีกว่า ตอนที่รับรู้นั้น โกรธมาก และระงับอารมณ์ไว้ไม่อยู่ จนต้องไประบายกับสามีที่นอนแหง่กอยู่กับบ้าน "คุณน้องขา เจ๊นะ เสียใจเป็นที่สุด มันไม่น่าทำกับเจ๊อย่างนั้น เจ๊เลยกระทืบมัน ซ้อมมัน นึกขึ้นมาทีไร อดไม่ได้ที่จะต้องร้องไห้ แล้วก็ลุกไปกระทืบมันอีก ซ้อมมันอีก ตอนนี้บ้านไม่เป็นบ้านแล้วคุณน้อง ลูกสองคนมันก็เข้าข้างมัน หาว่าเจ๊โหดร้าย หาว่าเจ๊ป่าเถื่อน แต่คุณน้อง คุณน้องคิดดูสิ ถ้าเป็นคุณน้อง คุณน้องจะทำยังไง"
เอาล่ะสิ งานเข้า .. ไอ้เรื่องแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะตั้งตนเป็นตุลาการ พิพากษาคดี และกำหนดบทลงโทษได้นะ แต่ทำไงได้ ครั้นจะปัดเรื่องให้พ้นตัวไม่ยุ่งเกี่ยว ก็ดูเหมือนจะใจจืดใจดำเกินไป จึงจำเป็นต้องเอาน้ำเย็นเข้าปลอบพร้อมกับให้แง่คิดนิดหน่อย ซึ่งก็ไม่รู้ล่ะ จะใช้ได้ผลเป็นไง ผิดตกยกเว้น รับแต่ชอบละกัน
"เจ๊ .. เอานี้นะ ใจเย็น ... ฟังนะ
ตอนนี้เจ๊กำลังตกร่องอารมณ์อยู่ ความโกรธกำลังครอบงำ ลำพังเขาป่วยซะขนาดนั้น เมียน้งเมียน้อยอะไรนั่น ป่านนี้ก็คงจะเปิดเปิงไปหมดแล้วมั๊ง ใครเขาอยากจะเอาละ ทำอะไรก็ไม่ได้ อัมพาตรับประทานก็คงเป็นเพราะกรรมมั๊ง เจ๊ควรให้อภัยนะ "
" โอ อาคุณน้อง เชื่อไหมว่า ในแต่ละวินาที เจ๊สลัดความรู้สึกโกรธไม่ได้เลย คิดดูสิ อยู่กินกันมายี่สิบกว่าปี มันแอบไปเลี้ยงดูส่งเสียกันมานานแล้ว เจ๊สิโง่ ไม่รู้เรื่อง ถูกมันหลอกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันหน"
"เอาใหม่เจ๊ ต้งใจฟังใหม่ .. เจ๊คิดว่า เขาเป็นของเจ๊เหรอ"
"ก็ต้องใช่อยู่แล้ว ผัวเมียกัน มันเป็นของเจ๊ เจ๊เป็นของมัน"
"เจ๊ .. ถ้าเจ๊บอกว่าลูกชายของเจ๊เป็นของเจ๊ อันนี้ไม่เถียงนะ เพราะเจ๊คลอดพวกเขาออกมา
แต่สามีของเจ๊ เจ๊ ... ไม่ได้เป็นคนคลอดเขาออกมานะ เจ๊ จะมายึดถือว่าเป็นของเจ๊ได้ยังไง"
"คุณน้องพูดอะไรไม่เข้าใจ"
"อ่า .. งั้นเอาใหม่นะ ตะกี้พูดไรไป อาจเข้าใจยาก เดี๋ยวพูดใหม่ อาจจะเข้าใจง่ายกว่า ฟังนะ..
เขาน่ะ คงจะต้องเป็นคนดีระดับหนึ่งเชียว อีกอย่างการที่เจ๊ตัดสินใจรักใครสักคนจนกระทั่งแต่งงานอยู่กินกัน แสดงว่า เจ๊เลือกคนที่ดี ใช่ป่ะ เจ๊ไม่ได้ตาถั่ว เจ๊ไม่ได้เซ่อ และที่สำคัญเจ๊ก็ไม่ได้โง่ อันนี้ตอบมาก่อน จริงป่ะ"
"จริง ก็ตอนนั้นมันเป็นคนดี ใครล่ะจะบ้าเอาคนไม่ดีมาเป็นผัว"
"เออใช่ เจ๊ไม่บ้า เห็นมั๊ย เจ๊เลือก ไตร่ตรอง ตัดสินใจ .. ทีนี้อะนะ ของดี มีใครที่ไหนบ้างล่ะ ที่ไม่อยากได้ ฉะนั้นเจ๊จงภูมิใจเถิดว่า ผู้หญิงคนอื่นโดยเฉพาะนังหนู ๆ ของเขา ก็คงคิดเหมือนเจ๊อ่ะ ถ้าเจ๊คิดกลับกันนะ สมมุติว่า ตอนนี้มีคนมาตามจีบเจ๊ แบบว่าโทรเช้า โทรเย็น มันก็แสดงว่า เจ๋ยังแจ๋วอยู่ เป็นคนที่น่ารัก เป็นคนดี เป็นคนที่ใครต่อใครสนใจ"
" งง .."
"เจ๊ คือว่า .. ไปก่อนนะ มีประชุม เดี๋ยวไปไม่ทัน แต่ไงขอทิ้งท้ายไว้ว่า
ตั ว กู ข อ ง กู ตั ว มึ ง ข อ ง มึ ง
ตั ว กู ข อ ง มึ ง ตั ว มึ ง ข อ ง กู
ที นี้ ทั้ ง มึ ง ทั้ ง กู . . ไ ม่ รู้ ว่ า เ ป็ น ข อ ง ใ ค ร
เอาน่า .. อยู่กันไปอีกไม่นาน เดี๋ยวก็ตายจากกันแล้ว อย่าเพิ่งละเหี่ยใจเลยเจ๊"