24 สิงหาคม 2547 16:43 น.
อัลมิตรา
ผู้เขียนหยุดยืนที่ร้านผลไม้เล็ก ๆ ข้างทาง .. เมื่อวานนี้ผู้เขียนนำขนมโมจิ ที่ซื้อมาจากนครสวรรค์แบ่งให้แม่ค้า ๑ ชุด ฝากให้ลูกสาวตัวน้อย พลางนึกในใจว่าแม่หนูน้อยคนนั้นคงยิ้มแก้มปริ เมื่อรู้ว่ามีขนมรออยู่ หลังกลับจากโรงเรียนวันนี้ แม่หนูน้อยคงจะได้ทานขนมโมจิ มีไม่กี่คนที่ผู้เขียนจะนึกถึงและหากมีโอกาสท่องเที่ยวไปไหน ก็มักจะซื้อของมาฝากเสมอ ๆ ผู้เขียนจำไม่ค่อยจะได้ว่า ความเป็นมิตรระหว่างผู้เขียนและแม่ค้าขายผลไม้นี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อใด และแน่นอนที่สุด คงเริ่มต้นจากสถานที่แห่งนี้
โดยปกติแล้วก่อนมาทำงาน ผู้เขียนจะทานอาหารเช้าจากบ้านมาเรียบร้อย และด้วยความที่ทำงานอยู่ไม่ไกลจากที่บ้านพักนัก ประมาณสองกิโลเมตร จึงสามารถเดินมาทำงานได้ ทุก ๆ เช้าหากไม่เร่งรีบ ผู้เขียนก็จะใช้วิธีเดินมาทำงาน โดยผ่านถนนสายหลักของกรุงเทพ ฯ ริมฟุตบาทมีต้นไม้ข้างทางปลูกร่มรื่น ด้านข้างมีคูเล็ก ๆ ระบายน้ำ และต้องเดินผ่านร้านผลไม้นี้ทุกวัน มิตรภาพที่เรียบง่าย รอยยิ้มที่มีให้กันเสมอ นั่นคือจุดเริ่มต้นของสายสัมพันธ์อันดีงาม ร้านผลไม้นี้เป็นแบบตั้งโต๊ะพับสองตัว ผลไม้ที่นำมาขาย ถูกคัดเกรดมาในระดับหนึ่ง ส่วนราคาก็ไม่แพงจนเกินไป ดังนั้นผู้เขียนจึงเป็นลูกค้าประจำร้านนี้
วันนี้ก็เช่นกัน ตอนเดินมาทำงาน ในใจก็คิดว่า จะซื้อฝรั่งสักสองผล เมื่อเดินถึงร้านมองดูแล้วไม่มีฝรั่ง มีแต่ ลองกอง สละ ส้มเช้ง กล้วยไข่ แตงโม เมื่อวานก็ซื้อลองกองไปแล้ว วันนี้ตั้งใจจะซื้อฝรั่ง ทำอย่างไรดีหนอไม่มีฝรั่ง กำลังคิด กำลังตัดสินใจ แม่ค้าก็จัดการหั่นแตงโมที่แบ่งผ่าเป็นเสี้ยวไว้ก่อนแล้วใส่ถุงมาให้
คือว่า .. วันนี้ไม่มีฝรั่งหรือคะ ผู้เขียนถามไปเบา ๆ
ไม่มีจ๊ะ แตงโมนี่หวานฉ่ำมากเลยนะจ๊ะ คุณผู้หญิงลองทานนะ ชิ้นนี้ให้ ไม่ต้องจ่ายเงินจ๊ะ แม่ค้าตอบ
เมื่อเช้าทานข้าวที่บ้าน น้ำพริก ปลาทู ก็เลยว่าจะหาฝรั่งทานค่ะ ไม่มีไม่เป็นไรนะคะ ชิ้นนี้เท่าไรคะ ผู้เขียนถามราคาแตงโมชิ้นนั้นจากแม่ค้า
รับไว้เถอะจ๊ะ รู้ว่าคุณผู้หญิงไม่ค่อยชอบแตงโม เพราะที่ผ่านมาไม่เคยสั่งซื้อเลย แต่ชิ้นนี้หวานชุ่มคอจริงๆนะจ๊ะ เลยอยากให้ลองทานดู เผื่อว่าจะติดใจ แตงโมนี่ดีนะจ๊ะ ดับร้อนดีนะ แม่ค้ามอบแตงโมชิ้นนั้นด้วยความเต็มใจ จนผู้เขียนต้องรับไว้
17 สิงหาคม 2547 10:49 น.
อัลมิตรา
ใช่ว่าเป็นครั้งแรกที่เกิดความสลดหดหู่ และก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่นำกลับมาคิด คิดแล้วคิดอีก แต่จนแล้วจนรอด ก็ได้แต่คิด เพราะไม่รู้ว่าจะหาหนทางช่วยเขาได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นภาพของขอทานบนสะพานลอย ทั้งที่รู้ว่า บางครั้งเป็นขบวนการขอทาน ซึ่งเงินที่เข้ากระป๋องในแต่ละวัน มากกว่าค่าแรงในการทำงานของผู้เขียนในแต่ละวันเสียอีก ก็อดใจไม่ได้ ช่วยเหลือกันไปตามควร
หลายหนที่ผู้เขียนบอกกับตนเองว่า ทำใจเป็นอุเบกขาเสียเถอะ เราไม่มีปัญญาไปช่วยเขาได้หมดทุกคนหรอก มันเกินกำลังของเราที่จะทำ ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ คำที่เคยท่องไว้ก็ดูเหมือนว่ามันจะเลือน ๆ ไป อดไม่ได้ที่จะทุกข์ใจ อดไม่ได้ที่จะเก็บมาเศร้า เป็นห่วงว่าเขาจะมีความเป็นอยู่เช่นไร กรรมของผู้เขียนเสียกระมังที่ไม่สามารถทำใจให้เป็นอุเบกขาได้
13 สิงหาคม 2547 13:00 น.
อัลมิตรา
โดยส่วนตัวของผู้เขียนเอง เมื่อผู้เขียนนึกทบทวนว่ามีเหตุการณ์ใดบ้างที่ทำให้เกิดความทุกข์ขมขื่นจนอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตที่ผ่านมา ก็พบว่ามี.. มีหลายเรื่องทีเดียวที่อยากจะย้อนกลับไปแก้ไข เพียงแค่นึกในภวังค์ก็รับรู้ว่าความโศกเศร้านั้นยังไม่จางหายไปจากใจเลย
ถ้าตอนนั้น.. ตอนที่ผู้เขียนอายุได้ประมาณ ๖ ขวบ ด้วยวัยซนของผู้เขียน ที่ซนคะนองจนกล้าไปเล่นริมคลอง จำได้ว่าในตอนนั้น ผู้เขียนนั่งคร่อมบนตุ่มที่ชำรุดวางตะแคงไว้อยู่ขอบชายคลอง เอียงตัวโยกซ้ายขวาเหมือนดั่งบังคับยานอวกาศ หัวเราะร่วนร้องเพลงไปตามประสา จนกระทั่งผู้เขียนกลิ้งหล่นจากตุ่มที่นั่งคร่อมอยู่ จนร่วงลงน้ำ ร่างค่อยๆจมดำดิ่งลงไปยังเบื้องล่าง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเกินกำลังที่จะแก้ไข เนื่องจากตุ่มใหญ่ใบนั้นกลิ้งทับผู้เขียนอีกที น้ำหนักของตุ่มใบนั้นเหมือนดั่งช่วยกดลงให้ผู้เขียนจมน้ำยิ่งๆขึ้น และด้วยเหตุการณ์นี้ ผู้เขียนต้องสูญเสียเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง เพราะเขาได้ช่วยชีวิตของผู้เขียนด้วยกำลังอันน้อยนิดของเขา สองมือที่ไขว่คว้าหาสิ่งยึดครั้งสุดท้ายของผู้เขียน ยื่นคว้าไปอย่างตื่นตระหนก ซึ่งเขาคว้าตัวของผู้เขียนไว้ได้ และพยายามอย่างยิ่งที่จะลากผู้เขียนให้พ้นน้ำ กระทั่งเขาทำสำเร็จ ลากผู้เขียนขึ้นมาอยู่ในระดับน้ำที่ปลอดภัย แต่นั้นคงเป็นกำลังเฮือกสุดท้ายของเขา ก่อนที่เขาจะสิ้นแรงจนไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ หนึ่งชีวิตต้องดับสิ้นแทนที่ เป็นความยุติธรรมแล้วหรือที่จะต้องเป็นเขาผู้ที่เสียสละ จนทุกวันนี้..คำถามดังกล่าว ผู้เขียนไม่สามารถตอบมารดาของเขาได้ และด้วยเหตุการณ์ที่สะเทือนใจในครั้งนั้น ทำให้ผู้เขียนไม่สามารถพูดได้นานนับเดือน หากย้อนเวลากลับไปได้ และถ้าวิกฤตนั้นยังจะต้องสังเวยด้วยคนใดคนหนึ่ง หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ผู้เขียนขอทวงชีวิตของเขาคืน และพร้อมที่จะไปแทนที่เขา
9 สิงหาคม 2547 14:38 น.
อัลมิตรา
..ผิดจากเมื่อก่อน เสียงหัวเราะเริงร่าในวัยเด็ก ถูกกลบด้วยเสียงดิจิตอลของเหล่าเครื่องกลต่างๆ ที่ผู้ปกครองพยายามสรรหามาสนองความต้องการ(ก็ไม่รู้ว่าของผู้ใดกันแน่) ม้าก้านกล้วยที่เคยเป็นคู่หูตัวเอกสมัยคุณพ่อยังเด็ก กลายเป็นของที่จินตนาการไม่ถึงสำหรับเด็กยุคนี้ และนี่ก็เพียงอีกหนึ่งเสี้ยวในชีวิตเท่านั้น การเจริญเติบโตของเด็กๆถูกปลูกฝังให้มีการแข่งขัน เดี๋ยวนี้เด็กอนุบาลถ้าไม่รู้ภาษาอังกฤษ ก็ดูเหมือนว่าจะทำความอับอายให้แก่ผู้ปกครองเสียแล้ว ทั้งที่เมื่อก่อน กว่าจะอ้าปากตะเบ็งเสียงแข่งกับครู เอ บี ซี ก็ปาไปเกือบสิบขวบ ก็พยายามเหลือเกินที่จะดิ้นรนให้ลูกหลานได้เรียนโรงเรียนมีระดับกู้หนี้ยืมสินก็เอา ยิ่งโรงเรียนเกรดดี (ไม่ยักจะเรียกว่าเกรดเอ) เสียค่าแป๊ะเจี๊ยะมากมาย ก็ทนเอา นัยว่าเพื่อเป็นการปูทางสร้างสังคมให้อยู่ในกรอบผู้ดี เขาว่ากันงั้น
..มันจะคุ้มกันหรือเปล่า คงต้องกลับไปย้อนถามตัวเองกันเสียหน่อย ความรู้สึกว่าต้องวิ่งตลอดเวลา(ไม่ได้วิ่งคนเดียว หนำซ้ำยังลากจูงผลักเข็น สารพัดกับเด็กๆเสียอีก) เพื่อแข่งขัน ทำให้ต้องแลกกับการสูญเสียความสุขในชีวิตวัยเยาว์ไป และเมื่อนานวันขึ้น ภาระดังกล่าวก็หนักอึ้งไปทุกๆที ค่านิยมในสถานศึกษา แม้กระทั่ง สายการเรียน ก็ยังส่งผลให้ดูเหมือนกับว่า มันสำคัญนักจนกระทั่งวัดเกรดชีวิตของผู้ที่ศึกษา .. โอ้หนอ !! และจะยิ่งย่ำแย่ไปกว่านั้น หากว่า ไม่สามารถฟันฝ่ากระโดดข้ามกำแพงค่านิยมนี้ได้ คำว่าเอนท์ไม่ติด ดูเหมือนว่าคำนี้จะเป็นคำสยองเสียเหลือเกินสำหรับเด็กมัธยมปลาย บางคนเสียขวัญไปตั้งแต่เริ่มเข้าสู่มัธยมต้นด้วยซ้ำไป เอนทรานซ์หรือเอนท์สะท้าน ลุ้นพอๆกับจับใบดำใบแดงของบรรดาลูกผู้ชายตัวจริง
..ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสสัมผัสชีวิตที่เรียกว่าสมัยใหม่นัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนสมัยเก่า ข้าพเจ้ามีโอกาสร่ำเรียนในระดับอุดมศึกษา แต่ก็นับว่าโชคดี ที่ไม่ได้ไปมีความรู้สึกเครียด สยอง อะไรหนักหนา กับสิ่งที่เรียกว่าเอนทรานซ์ อาจจะเป็นเพราะว่า ต้องทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย การตัดสินใจเลยไม่ต้องวุ่นวายนัก และก็หลุดกรอบของสังคมไปเลย รู้สึกว่าโชคดีมิใช่น้อย ที่ไม่ต้องไปลุ้น วัดดวง วัดความสามารถแข่งกับใคร .. แข่งกับตัวเองนี่แหละ ตอนนั้นคิดเช่นนี้ .. แต่ก็จับตามองเสมอ ในสนามเอนทรานซ์ สถานที่ซึ่งมีผู้ชนะและผู้ปราชัย สถานที่มีรอยยิ้มและคราบน้ำตา
..ผู้ที่เอนทรานซ์ไม่ติด ไม่ได้หมายความว่าชีวิตที่เหลืออยู่จะต้องดับมอดลงไป และผู้ที่เอนทรานซ์ติด เช่นเดียวกัน มิได้หมายความว่า ชีวิตที่เหลืออยู่หนทางจะราบรื่น .. ทั้งหมดอยู่ที่ การก้าวเดินต่อไปต่างหากว่าจะเลือกเส้นทางไหนเพื่อดำเนินต่อไปในชีวิตต่างหาก ว่าจะไม่ยกตัวอย่างก็อดเสียไม่ได้
..อาตี๋หัวขี้เท่อ ลูกชายคนเล็กของเจ๊ที่ขายก๋วยเตี๋ยว เจ๊คนนี้ลูกดกเสียเหลือเกิน รายได้จากการขายก๋วยเตี๋ยวนี่ ดูถูกกันไม่ได้เชียวนา ลูกแต่ละคนเรียนระดับมหาวิทยาลัยทั้งนั้น จะเหลือก็แต่อาตี๋นี่แหละ ที่สงสัยจะเรียนไม่เก่ง เซ่อซ่าชอบกล ข้าพเจ้าเคยเห็นเจ๊เอาที่ลวกเส้นเคาะหัวด้วยซ้ำไป ฐานเสริฟก๋วยเตี๋ยวผิดโต๊ะ และทำอะไร ดูเหมือนว่าไม่ถูกใจเจ๊เสียหมด หน้าตาของอาตี๋ก็บู้บี้ชอบกลนะ แบบว่า หน้าไม่รับแขก ประมาณนั้น สงสัยว่าด้วยความที่เรียนไม่เก่ง เจ๊เสียดายเงินค่าเทอม หรืออาตี๋สมัครใจเองที่จะไม่เรียนต่อ อาตี๋ก็เลยอยู่กับเจ๊ ศึกษาวิธีกลเม็ดต่างๆในการทำก๋วยเตี๋ยว ใครจะไปรู้ได้ว่า ตอนนี้อาตี๋นะ เปิดร้านขยายสาขาไปใหญ่โต หนำซ้ำยังขายที่ห้างสรรพสินค้าอีกต่างหาก กลายเป็นอาเสี่ยไปซะแล้ว ย้อนกลับมาดูบรรดาอาเฮีย ทั้งหลายที่เรียนมหาวิทยาลัย ตอนนี้ก็ยังเตร่ๆหางานทำกันอยู่เลย แอบรู้มาอีกว่า อาตี๋นี่แหล่ะที่ส่งเสียบรรดาอาเฮียให้เรียนจนจบ และมีแผนส่งให้เรียนต่อปริญญาโทด้วย ก็ไหนๆยังหางานทำไม่ได้ ก็เรียนไปอีกเพื่อที่จะไม่ตัน แน่ะ อาตี๋ใจป้ำซะอย่างนี้ เจ๊ก็ยิ้มแปร้สิ
..อาตี๋ หนอ อาตี๋ ทุกๆครั้งที่เดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวของเจ๊ อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในความอุตสาหะของอาตี๋ เห็นทีจะต้องเรียกใหม่เป็นเสี่ยตี๋ ซะแล้ว
..วกกลับมายังประเด็นเรื่องสักหน่อย การก้าวเข้าสู่เส้นทางอุดมศึกษา อย่าคิดว่าทุกอย่างจะถูกจัดสรรอย่างเอื้ออาทร เหมือนนโยบายของรัฐบาล การแข่งขันยังคงไม่สิ้นสุดเพียงแค่นั้น คงจะคุ้นกับคำว่า หากเราหยุดก้าว ก็หมายถึงเราถอยหลัง คิดอย่างไรก็เป็นจริงเสมอในสมการนั้น หลายต่อหลายคนดิ้นรนสุดชีวิตที่จะได้เรียน เรียกว่า รักดี แต่ก็แปลกที่มีอีกหลายคน ใฝ่ไม่สูง อุตส่าห์มีโอกาสเรียน แต่ก็ประพฤติไม่เหมาะสม บ้างก็เป็นเอเย่นต์ค้ายา บ้างก็ขายตัว แบบนี้ น่าจะให้ อาตี๋จับไปหัดล้างจานซะให้เข็ด หรือไม่ก็ไหว้วานให้เจ๊เอาที่ลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวเคาะกระโหลกเสียบ้างจะได้สำนึก
4 สิงหาคม 2547 17:22 น.
อัลมิตรา
ท่ามกลางความเป็นไป ( อัลมิตรา )
หลายเดือนที่ผ่านมา ข้าพเจ้าไม่สามารถค้นพบคำตอบสำหรับสาเหตุของความโศกสลดที่ซ่อนลึกอยู่ในใจ จากสถานการณ์โดยรวมและท่ามกลางบรรยากาศที่คุกรุ่น ได้ก่อให้เกิดความปวดร้าวอย่างแสนสาหัส ข้าพเจ้าเฝ้าถามย้ำกับตัวเองเสมอว่า ..จะไม่มีหนทางใดเชียวหรือ ที่ข้าพเจ้าจะสามารถปลดเปลื้องทุกข์ภายในใจของข้าพเจ้าให้เบาบางลงได้.. จนกระทั่งวันนี้ข้าพเจ้าลงมือเขียนบทความชุดนี้ขึ้นมา ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่สามารถยืนยันกับตนเองได้ว่า รอยแผลแห่งจิตวิญญานของข้าพเจ้า และความเจ็บปวดต่างๆ จะค่อยๆจางหายไป .. ไม่เลย ข้าพเจ้าคงไม่บังอาจคิดเช่นนั้น
ข้าพเจ้าได้ตั้งจิตกับตัวเองว่า ต่อให้สังคมเกิดจลาจล มีความขัดแย้งกันในด้านความคิดเช่นไร ข้าพเจ้าก็จะไม่ก่อการขบถต่อจิตใต้สำนึกของข้าพเจ้า กรงปราการใดๆก็หาได้สามารถหยุดยั้งข้าพเจ้ามิให้หยุดเขียนได้ และด้วยแรงปรารถนาอันแรงกล้านี้ ข้าพเจ้าขอกระทำตัวเยี่ยงขบถต่อสังคม ดั่งที่ข้าพเจ้าตั้งปณิธานไว้
แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่ถนัดในงานเขียนประเภทบทความ เนื่องจากข้าพเจ้าเหมือนคนที่ไร้แก่นสารไปวัน ๆ ข้าพเจ้าหมั่นเขียนบทร้อยกรองต่างๆ โดยที่ข้าพเจ้ามิเคยตั้งเป้าหมายให้กับชีวิตของเลยว่า จะต้องเอาดีเอาเด่นบนเส้นทางวรรณศิลป์นี้ ทั้งนี้เนื่องจากความสุขจากการเขียนร้อยกรองต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อถึง ความรัก ความเศร้าโศก หรือธรรมชาติอันงดงาม ข้าพเจ้าทำเพื่อตนเองทั้งสิ้น เสพย์สุขกับการได้เขียน เพื่อบำบัดความโหยหาเสรีภาพแห่งจิตวิญญาณ อักษรทุกตัวที่ปรากฏอยู่ในงานเขียน ต่างล้วนมีความเป็นตัวตนของข้าพเจ้าสอดแทรกอยู่ทุกชิ้นงาน และแน่นอน ..ข้าพเจ้าสำเหนียกได้ดี
บางครั้งข้าพเจ้าเองก็อาจจะดูเหมือนมนุษย์ไร้ใจและจ่อมจมอยู่ในสภาวะจำยอมต่อกระบวนการของสังคม มันคงจะดำเนินไปเช่นนั้นตลอดไป จนกระทั่งข้าพเจ้าทราบเรื่องการประกวดหนังสือทำมือ และยิ่งกว่านั้นหนังสือเล่มหนึ่งที่บทกวีเคยผ่านสายตาของข้าพเจ้าบ่อยๆ ด้วยความที่ผู้เขียนหนังสือเล่มนั้น เป็นสหายของข้าพเจ้า รวมบทกวี 'สนามเด็กเล่นของหนูจะมีกับระเบิดไหมหนอ?' ได้รับรางวัลชมเชยของการประกวดหนังสือทำมือ--MBK INDY BOOK AWARDS อันที่จริงแล้วทั้งข้าพเจ้าและสหายผู้นี้ต่างก็ถือกำเนิดมาจากคนละขั้ว สภาพแวดล้อมแตกต่างกันโดนสิ้นเชิง หากแต่ข้าพเจ้าและสหายมีจุดร่วมเดียวกัน คือต้องการให้โลกบังเกิดความสันติสุข ถึงแม้ว่าจุดหมายนั้นมันไกลเกินฝัน เกินกำลังที่มนุษย์ผู้ต่ำต้อยเยี่ยงข้าพเจ้าจะแบกรับภาระนั้นได้ ข้าพเจ้าก็ยังหวังไว้ว่า อย่างน้อย เบื้องลึกในหัวใจของข้าพเจ้าก็ได้ลิ้มรสสิ่งที่เรียกว่าจิตต์เปรม แล้ว
สองร้อยกว่าวันที่ผ่านมา สิ่งที่ถาโถมเข้ามากระทบจิตใจมีมากมายนัก.. เกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะตั้งตัวรับสภาพนั้นได้ ในสภาพการณ์รอบข้าง ข้าพเจ้าต้องฝ่าด่านอารมณ์อันเกรี้ยวกราดและความขัดแย้งของผู้คนที่อยู่ร่วมกันในสังคม ข้าพเจ้านิ่งงันพร้อมกับจำยอม ข้าพเจ้าจะทำเช่นไรดี จะปฏิบัติเช่นไร ข้าพเจ้าเหมือนคนที่ลอยคว้างเพียงลำพังท่ามกลางทะเลคลั่ง ก็ไม่รู้ว่า..วันใดข้าพเจ้าจะล้ากำลังลงพร้อมกับปลดพันธะของตนเองโดยยอมจมดิ่งสู่เบื้องใต้ทะเลลึกนั่น
บทสนทนาระหว่างข้าพเจ้าและบรรดาสหายต่างศาสนา หลายครั้งหลายหนที่ก่อให้เกิดความไม่สบายใจ และทุกครั้งการปิดข้อสนทนานั้น มิได้ก่อให้สิ่งที่เป็นไป ดีขึ้นกว่าเดิมเลย ด้วยความที่ข้าพเจ้าเป็นพุทธศาสนิกชน ข้าพเจ้าย่อมเจ็บปวดเมื่อรับรู้ถึงข่าวสลด พระสงฆ์ถูกไล่ฆ่า วัดถูกก่อกวน ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นคนไทย เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย ข้าพเจ้าก็มิอาจวางใจให้นิ่งเฉยอยู่ได้ เมื่อสถานการณ์นั้นบังเกิดผลเสียต่อโดยรวม และในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าโศกเศร้ายิ่งนักที่เห็นชะตากรรมของเพื่อนร่วมโลกเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้ามิอาจทำใจให้ว่างเปล่าประดุจเป็นเพียงผู้ดู ภาพต่างๆยังติดตา เสียงคร่ำครวญยังแว่วอยู่เสมอ ข้าพเจ้าไร้ความสามารถที่จะสลัดความรวดร้าวดังกล่าวทิ้ง
ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกกังวลและสับสน การเรียนภาษาอรับของข้าพเจ้าหยุดชะงักเนื่องจากข้าพเจ้ามิได้มีแก่ใจเล่าเรียน ทันทีที่เข้าสู่ชั่วโมงการเรียน ทั้งที่แบบเรียนภาษาอรับที่กางอยู่ตรงหน้า ทว่า.. ข้าพเจ้ากลับพกพาปัญหาต่างๆที่ข้าพเจ้ามิได้เป็นผู้ก่อ แต่ข้าพเจ้าได้รับผลบาดเจ็บของกรณีพิพาทนั้น คำบริบทต่างๆที่เคยได้เรียนรู้มาในอดีต กลับกลายเป็นคำถามที่วนเวียนไม่สิ้นสุด หัวใจของข้าพเจ้า นับวันก็เหมือนยิ่งเพิ่มบาดแผลฝังรากลึกลงไปทุก ๆ ที ข้าพเจ้าเหมือนผู้ทรยศต่อครูผู้สอนภาษาอรับ คำสอนของครูไม่ได้ลื่นไหลเข้าสู่สมองของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้แต่มองหน้าครู และอยากจะสอบถามบางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวกับวิกฤติการณ์ภาคใต้ แต่ข้าพเจ้าก็ต้องนิ่ง ปล่อยให้สมองกลวง ๆ ของข้าพเจ้า บรรจุผงฝุ่นที่ไร้ค่าต่อไป ความเป็นมาในอดีตของภูมิภาคนั้น มันยวนใจให้ข้าพเจ้าใคร่ที่จะรู้มากกว่าตำราเรียนเบื้องหน้านี้
ข้าพเจ้าเพียรค้นคว้าจากสื่อต่าง ๆ ต้นตอของความขัดแย้งทั้งมวล ทว่าบางอย่างก็ดูเหมือนเป็นเพียงตำนานแห่งความบอบช้ำทางท้องถิ่น และบางอย่างก็ถูกบิดเบือนจากความเป็นจริง ข้าพเจ้ามิอาจล่วงรู้ไปได้ว่า รากเหง้าทั้งหมดเกิดจากปัญหาอะไร และการกระทำที่อุกอาจนั้นทำไปเพื่อสิ่งใดกันแน่ ท่ามกลางที่สภาพการณ์ร้อนระอุขึ้นทุก ๆวัน ข้าพเจ้ามองสหายของข้าพเจ้า เหมือนเรายิ่งไกลกันออกไปทุก ๆ ที ข้าพเจ้าไม่เคยสุขใจเลยสักครั้งที่ต้องทนรับฟังหรืออ่านข้อความที่บาดใจจากสื่อต่าง ๆ หรือแม้แต่ในวงสนทนาในกลุ่มสหาย คำเหน็บแนมต่าง ๆ ที่ฝากถ้อยกันไปมาระหว่างสหายต่างศาสน์ ทำให้ข้าพเจ้าอึ้ง ! ด้วยความที่ข้าพเจ้าไม่เคยแบ่งแยกความเป็นเชื้อชาติ ศาสนา และฐานันดรใด .. ครั้งนี้ข้าพเจ้าพยายามอย่างยิ่ง ที่จะรักษาภราดรภาพนั้นตราบนานเท่านาน
ก็ไม่รู้ว่าจะอีกนานสักแค่ไหน สถานการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่ดี หรือจะเลวร้ายไปยิ่งกว่าเดิม และท่ามกลางความเป็นไปนี้ อีกกี่ชีวิตที่จะต้องกลายเป็นผู้ถูกสังเวยต่อการกระทำที่โหดร้าย ความหวังที่ประดุจลม ๆ แล้งๆ จะเป็นจริง หรือค่อย ๆ เลือนหายไปพร้อมกับตัวตนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็มิอาจตอบคำถามให้กับตนเองเช่นกัน แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าพยายามกระทำอยู่นั้น ซึ่งดูเหมือนยากยิ่งกว่ากอบทรายจากทั่วระแหงโลก นำไปวางรวมเป็นทะเลทรายอันกว้างไพศาล เพียงสองมือกับหนึ่งใจที่อ่อนล้า ข้าพเจ้าก็พร้อมแล้วที่จะเผชิญยถากรรมนั้น
ข้าพเจ้าหวังว่า ..ท่ามกลางความเป็นไปนี้ หากมีเพียงสักผู้หนึ่งรับรู้และเข้าใจถึงความเจ็บปวดในหัวใจของข้าพเจ้า เพียงหนึ่งคน,หนึ่งใจ ทบทวีคูณไปเรื่อย ๆ ขยายออกไปยังมวลประชาชาติต่าง ๆ สันติสุขก็จะบังเกิดขึ้นบนผืนโลก แม้นจะเป็นความฝันที่ไกลเกินตัว ข้าพเจ้าก็ยังจะฝันเช่นนี้ต่อไป และตราบใดที่ข้าพเจ้ายังติดปีกให้แก่ความฝัน ข้าพเจ้าก็จะไม่ยอมให้ความฝันของข้าพเจ้ามันเจ่าจุกจนตายไปเช่นกัน..