13 เมษายน 2549 13:28 น.
อัลมิตรา
..๏ เมฆที่เห็นลอยฟ่องบนท้องฟ้า
หลากรูปลักษณ์แปลกตาดูน่าขัน
เจ้าสิงห์โตหางลิงมายิงฟัน
ปลาวาฬหันทางขวาเอียงหน้ามอง
เรือสำเภาลำใหญ่กางใบพลิ้ว
ลมบนหอบลอยปลิวละลิ่วล่อง
มุมองศากระทบแดดสีแสดทอง
คราวย้อนมองกลับเลือนไม่เหมือนเดิม
..คนช่างฝัน.. เขาว่าช่างสามารถ
แค่นำฟ้าเป็นกระดาษแล้ววาดเพิ่ม
อารมณ์ฝันมิแล้งคอยแต่งเติม
อยากจะเสริมก็ทำได้ปราศใครติง
จินตนาการงดงามยามมองฟ้า
ช่างนำพาความสุขในทุกสิ่ง
เพียงกำหนดก้อนเมฆเฉกอ้างอิง
เท็จหรือจริงรู้ได้เพียงใจตน ๚ะ๛
11 เมษายน 2549 00:02 น.
อัลมิตรา
..๏ ลมเลยลมพัด..........ลมกวัดแกว่งไกว
บุบฝาใดใด...................หวั่นไหววังเวง
พลิ้วต้นโอนอ่อน..........โยกคลอนนั้นเอง
ปรากฏบทเพลง...........บรรเลงกานท์กวี ฯ
..๏ ไพเราะเพราะนัก....ดั่งนักดนตรี
เก่งฉกาจมากมี...........ท่วงทีปรีดา
ครั้นพลิ้วลิ่วลู่..............ช่างดูตระการตา
ดั่งนาฎลีลา..................เริงร่าร่ายรำ ฯ
..๏ กิ่งก้านซ่านไหว......ทิวใบเนื่องนำ
บังเกิดเลิศล้ำ...............ยิ่งย้ำทำนอง
เอียดเสียดเบียดกัน.....ลดหลั่นแคล่วคล่อง
โน้มเหนี่ยวเกี่ยวดอง....ช่างคล้องจองจริง ฯ
..๏ ยามย้ายส่ายทรง....ต่างตรงแอบอิง
สันต์สุขทุกสิ่ง...............ก้านกิ่งก่ายเกย
ดอกแย้มแง้มกลีบ........เสมือนรีบเปิดเผย
ยามลมรำเพย..............ชมเชยกลิ่นหอม ฯ
..๏ กลิ่นฟุ้งคลุ้งขจาย....มั่นหมายเด็ดดอม
หมายใจใคร่ถนอม........ยินยอมหรือไร
หากล่วงคืนวัน..............เฉิดฉันตลอดไป
คงความล้ำวิไล.............เผื่อใครเชยชม ฯ
..๏ แม้นด้อยน้อยค่า......โสภาสวยสม
พรักพร้อมต้องลม.........ใครชมเพลิดเพลิน
ดอกหญ้าระเริงรื่น........ดาษดื่นเกินประเมิน
ยังเสียงเสนาะเกิน.........จำเริญหัวใจ ๚ะ๛
7 เมษายน 2549 01:03 น.
อัลมิตรา
..๏ ชมเพ็ญแขแลพิลาศดารดาษดาว
ช่างแพรวพราวพรรณรายฉายเฉิดฉัน
ล้ำเรืองนักลักขณาโสภาพรรณ
เรียงรายสรวงห้วงสวรรค์นิรันดร
แสงกระพริบระยิบระยับวับวาวยิ่ง
เช่นช่วงชิงเปล่งประกายเฉิดฉายก่อน
พลันพวยพุ่งรุ่งเรืองเบื้องอัมพร
บ้างโชนชรฉวัดเฉวียนเปลี่ยนทิศทาง
มวลหมู่ดาวราวระเริงบรรเทิงนัก
ฤๅปองรักในพระจันทร์อันแจ่มกระจ่าง
จึงอวดแสงแข่งรัศมีทุกที่ทาง
ฟ้าเวิ้งว้างจึงงามยามราตรี
บางดวงดาวราวประสงค์คงเคียงคู่
แม้นงามอยู่ห่างไกลใฝ่จันทร์ศรี
จึงพุ่งฟ้าจ้าจรัสสุรัชนี
หมายไมตรีแห่งจันทร์บันดาลมา
ครั้นเคลื่อนคล้อยลอยละลิ่วพลิ้วผาดแผลง
พลันหมดแรงร่วงลงตรงภูผา
เคยสวยแสงแปลงไปไร้ชวาลา
จากเมืองฟ้าพลัดหลงลงแดนดิน
สุดพิลาสอัศจรรย์สุขสันต์แสน
หากมาตรแม้นคู่ใจในต่างถิ่น
ได้มามองผองชุติศศิพินทุ์
แม่โฉมฉินจักเกษมอิ่มเอมใจ
จักเรียงร้อยถ้อยคำวรรณกรรมกล่อม
ชมดาวล้อมจันทราอัชฌาสัย
ถึงผองดาวพราวจันทร์พรรณพิไล
มากเพียงใดหมายเจ้านั่งเฝ้าฟัง
จักเอื่อนเอ่ยเปรยสำเนียงเป็นเสียงเสนาะ
แล้วฉอเลาะชี้ชมสมใจหวัง
ว่าเดือนดาวสุกสกาวราวจีรัง
งามพร้อมพรั่งดั่งไมตรีมีให้กัน
ดาวเคียงเดือนเสมือนใครใคร่ใกล้ชิด
พลั้งเผลอจิตถลำใจคิดใฝ่ฝัน
มีเพียงข้าฯเหม่อมองผองดาวจันทร์
ไร้จอมขวัญเคียงข้างอ้างว้างจริง
วอนเดือนดาวพราวประกายที่ปลายฟ้า
ด้วยตัวข้าฯ หมายใจในบางสิ่ง
ว่าผู้หนึ่งซึ่งเหงาเฝ้าแอบอิง
หวังพักพิงเพียงจันทร์แม้นพันดาว ๚ะ๛
4 เมษายน 2549 12:16 น.
อัลมิตรา
..๏ จิตเบาบางพลางพลิ้วละลิ่วเรื่อย
มิรู้เมื่อยอ่อนล้าคราใฝ่ฝัน
ลอยเคว้งคว้างอย่างระรื่นผ่านคืนวัน
ไม่หวาดหวั่นหนาวร้อนหรืออ่อนแอ
หากเป้าหมายปลายทางสว่างไสว
ชักนำใจเปี่ยมพลังอย่างแน่วแน่
ด้วยความคิดจิตใจไม่ผันแปร
ใกล้ไกลแค่ระยะทางคั่นขวางกัน
ผ่านขุนเขาลำเนาป่ามหาสมุทร
มิสิ้นสุดไมตรีที่คิดฝัน
แม้นเหล็กตรึงขึงตรวนอวนพาดพัน
เกินกักกั้นดวงจิตคิดห่วงใย
มากถ้อยคำวรรณกรรมที่นำมอบ
พ้นเกณฑ์กรอบกวีกานท์โบราณไหน
หากเนื้อความงามยิ่งอย่างจริงใจ
หวังเพียงใครผู้นั้นสุขสันต์พอ
คิดจนถึงซึ่งฝั่งดั่งคาดคิด
หวังอิงแอบแนบสนิทถูกผิดหนอ ?
หากล่วงล้ำกรรมสิทธิ์คิดรีรอ
ใจคงท้อหากใครไม่ปราณี
ขอเพียงเอื้อเผื่อใจกันไหวหวั่น
สานสัมพันธ์ฝันใฝ่ในทุกที่
ปันช่องว่างระหว่างใจให้พอดี
เผื่อพื้นที่ให้ใจได้พักพิง
แม้นอ่อนล้ามาบ้างอย่างเหนื่อยหน่าย
จักกลับกลายเป็นสุขในทุกสิ่ง
คาดหวังว่าจักประสพพบความจริง
หากปัดทิ้งความถวิลก็ยินยอม ๚ะ๛