11 กุมภาพันธ์ 2549 00:38 น.
อัลมิตรา
..๏ ค น ที่ เ ลื อ ก ห า ย ไ ป ใ น ชี วิ ต
เ ร า จ ะ ข อ ถื อ สิ ท ธิ์ ไ ม่ คิ ด ถึ ง
ป่ ว ย ก า ร เ สี ย เ ว ล า ม า คำ นึ ง
แ ม้ เ สี้ ย ว ห นึ่ ง ข อ ง ใ จ ก็ ไ ร้ ร อ ย
จ ะ มิ ย้ อ น ท บ ท ว น ห รื อ ค ร ว ญ ค ร่ำ
ค ว า ม ท ร ง จำ ทั้ ง ห ม ด เ ร า ป ล ด ป ล่ อ ย
คื น แ ล ะ วั น ผ่ า น ไ ป ไ ม่ ห ล ง ค อ ย
ใ จ ด ว ง น้ อ ย เ ลิ ก พ้ อ ท ร ม า
ข อ สิ้ น สุ ด เ รื่ อ ง ร า ว ที่ วุ่ น ว า ย
ผ ล สุ ด ท้ า ย คื อ จ บ มิ ค บ ห า
ป ร า ศ จ า ก เ ยื่ อ ใ ย ใ น แ ว ว ต า
คำ อำ ล า อ า ลั ย เ ร า ไ ม่ มี
มิ ต ร ภ า พ ข อ ง เ ร า ก่ อ น เ ก่ า นั้ น
จ า ก ร่ ว ม ฝั น ร่ ว ม ส ร้ า ง ม า ร้ า ง ห นี
ต ร า บ สิ้ น ฟ้ า อ น า ถ ห น อ พ อ กั น ที
ชั ง ค น ที่ พ ลิ ก ลิ้ น ต ร า บ สิ้ น ใ จ ๚ะ๛
8 กุมภาพันธ์ 2549 12:45 น.
อัลมิตรา
..๏ นี่คือบทรำพันคืนวันเพ็ญ
แม้นปราศผู้เล็งเห็นเราเร้นหมอง
ภาพสะท้อนเงาจันทร์งามยรรยอง
เจ้ากระต่ายหมายปองเผลอจ้องตาม
ลำนำนี้จากใจเราใคร่มอบ
เป็นคำตอบแด่บางใครที่ไต่ถาม
เปรียบดวงจันทร์คืนเพ็ญแลเด่นงาม
คงยากปรามศศิดงอย่าหลงคอย
จำเจียมตัวเจียมใจในวาสนา
จันทร์อยู่สูงเกินกว่าจะคว้าสอย
รักของเราก็เสมือนลมเลื่อนลอย
สักเพียงน้อยมิกล้าหวังจึงยั้งใจ
บทรำพันสื่อนัยให้ท่านรู้
เราคือผู้หมองหม่นกว่าคนไหน
ล่องแพน้อยลอยคว้างนอนกลางไพร
เพื่อลบเลือนบางใครจากใจเรา
แม้นมิอาจจารนัยให้รู้สึก
สิ่งซ่อนลึกในกมลของคนเหงา
อาศัยเพียงบทกลอนผ่อนบรรเทา
เพื่อลบรอยความเศร้าที่เร้ารุม ๚ะ๛
7 กุมภาพันธ์ 2549 17:19 น.
อัลมิตรา
..๏ แลพระจันทร์งดงามยามราตรี
ณ เขื่อนศรีนครินทร์ถิ่นป่าใหญ่
เหล่าสหายนักกลอนสัญจรไป
พกหัวใจปรีดามาพร้อมเพรียง
คงเหลือแต่ตัวเราที่เศร้าจิต
มีบางอย่างฝังติดยากคิดเลี่ยง
มันสาหัสเกินกล่าวเล่าความเรียง
ทำได้เพียงแอบร้องไห้ใต้เงาจันทร์
เสแสร้งยิ้มพรางตาทำหน้ารื่น
แท้จริงแล้วขมขื่นสะอื้นอั้น
กว่าพันชิ้นบทกวีที่รำพัน
ความโศกศัลย์หวังให้ใครจุนเจือ
ฝันที่เราวาดไว้ช่างไกลแสน
เราแร้นแค้นขาดบุญมาหนุนเกื้อ
ดั่งหอบรักค่าล้ำเต็มลำเรือ
นาวาล่มเกินเยื้อรักเหลือใด
ความรักที่ภินท์พังลอยทั้งหมด
เผื่อคนแพ้ปรากฏความสดใส
พร้อมลบเลือนทุกอย่างของบางใคร
ลืมหัวใจเจ้าเล่ห์คนเรรวน
โอ้พระจันทร์..แจ่มฟ้ายามราตรี
ค่ำคืนที่มิตรสหายได้เสสรวล
เราผู้ซึ่งชอกช้ำยังคร่ำครวญ
แสร้งยิ้มร่วนน้ำตาเปื้อน ณ เรือนแพ ๚ะ๛
6 กุมภาพันธ์ 2549 12:35 น.
อัลมิตรา
..๏ เพียงแค่อยากพักผ่อนคลายร้อนบ้าง
ยามวันว่างไปล่องแพเพื่อแก้เหงา
อยู่กรุงเทพวุ่นนักหนักจิตเรา
จึงมุ่งสู่ป่าเขาลำเนาไพร
ธรรมชาติน้อมธรรมเข้านำจิต
ละมุนคิดละไมคำรินฉ่ำไหล
ร่ายกวีหวานซึ้งติดตรึงใจ
งามประไพภาพพิมพ์หิมพานต์
ในร้อยรสพจนาหอมกว่าหอม
ภุมรินทร์จะแห่ห้อมเข้าวอมหวาน
ในภาพที่ขยี้สิ้นถึงวิญญาณ
นครกาญจน์ไม่ไกลกระไรเลย
เหนือเขื่อนศรีฯมีห้วงน้ำช่างฉ่ำชื่น
ยามค่ำคืนกระจกธารตระการเผย
ขึ้นสิบสี่จันทร์แจ่มจ้างามกว่าเคย
พี่น้องเอ๋ยเชิญดื่มด่ำลำนำไพร
มองเดือนเพ็ญเห็นพราวห้วงหาวนัก
แจ้งประจักษ์เจิดจรัสสุทรรศน์ใกล้
หมายไขว่คว้ามาครองคงต้องใจ
พริ้มพิไลหลงชมรื่นรมย์พลัน
แสงเพ็ญเรื่อเอื้อฟ้าโสภายิ่ง
บรรเจิดจริงแจ่มจ้าพนาสัณฑ์
ลอยลิบตามาให้ฝันใฝ่ครัน
วิลาวัลย์หว่างน้ำดั่งคำชม
สายน้ำเย็นเห็นปลามาเป็นหมู่
ครองเคียงคู่เคล้าคลอออสุขสม
เริงแสงจันทร์มั่นหมายคล้ายรื่นรมย์
บ้างสู่สมแซงส่ายว่ายแทรกมา
คลื่นกระเพื่อมเหลื่อมล้ำลำน้ำใส
กระเซ็นไหวหว่างคู่หมู่มัจฉา
ช่างเพลิดเพลินเกินปรามความปรีดา
จึ่งเริงร่าเรียงรายหมายชมจันทร์
บนเรือนแพริมเขื่อนเหมือนตรึงจิต
ให้ย้อนคิดคำนึงซึ่งใฝ่ฝัน
กาญจน์บุรีเขื่อนศรีฯที่รำพัน
เรารังสรรค์ศิลป์ไทยในวรรณวงศ์ ๚ะ๛