5 กันยายน 2548 11:45 น.
อัลมิตรา
..๏ คงยากจะห้ามใครมิให้คิด
ถูกหรือผิดปล่อยไปตามใจเขา
แต่สิ่งที่ควรกระทำย้ำจิตเรา
คือต้องหยุดโง่เขลาเบาปัญญา
หากเริ่มที่เรานั้นมันคงง่าย
เมื่อต้องการคลี่คลายในปัญหา
เพียงแต่ใช้สติพิจารณา
จะรู้ว่าทั้งปวงลวงทั้งเพ
อย่าได้คิดปรามใครเหมือนยื้อยุด
เพราะมนุษย์จิตผันมักหันเห
เพียงระวังตนเองไว้ให้คะเน
อย่าหลงเล่ห์บ่วงกลของคนใด
หยุดตนเองดีกว่าหากจะทำ
ขอกล่าวย้ำจริงแท้หากแก้ไข
หยุดคนอื่นลำบากนักหากทำไป
หยุดที่ใจเราเถิดจะเกิดคุณ
เมื่อหัวใจพิสุทธิ์เราหยุดแล้ว
แต่มิแคล้วโดนกล่าวหาเขาด่าหนุน
อาจเป็นเพราะผลกรรมย้อนทำทุน
จงแผ่บุญเอื้อให้อภัยทาน
อย่าไปคิดถือโทษหรือโกรธเขา
อย่าให้จิตของเราโดนเผาผลาญ
จงทำใจเยือกเย็นเช่นสายธาร
ปล่อยให้ร้ายพ้นผ่านนานก็ลืม ๚ะ๛
2 กันยายน 2548 17:20 น.
อัลมิตรา
..๏ ยกจอกหยอกแน่งน้อย......ดรุณงาม
ปากร่ายบทกวียาม................ดึกแล้ว
ซด"ใบไผ่เขียว"สาม-............จอกกระดก
"โหง่วเกี่ยพ้วย"บ่แคล้ว.........ซดเกลี้ยงหมดไห ฯ
..๏ มองจันทร์พลันซดเหล้า...เมามาย
ปากพร่ำร่ำสาธยาย...............เคลิบเคลิ้ม
สุราหมดเกรงกลาย-.............ร่างดั่ง วฤกเฮย
เพียงเพ่งจันทร์หยาดเยิ้ม......อยากร้องโหยหวน ฯ
..๏ "นารีแดง"แห่งแคว้น......กันเฉา
ซดหยดหนึ่งนั่งเมา..............ครึ่งร้อย
มีอีก "เตี่ยแซ" เอา.............มือยก ซดเฮย
หัวทิ่มหัวตำด้อย..................หลับพ้นสามวัน ฯ
..๏ "บลูเลเบิ้ล"ขวดนี้...........นุ่มละมุน
ลองซด" อุ " หัวหมุน...........สั่นสะท้าน
"สาโท" อีก "เชี่ยงชุน"........ลองจิบ เถิดพ่อ
"เรมี่มาแตง" จ้าน...............ขวดนี้แพงจริง ๚ะ๛
1 กันยายน 2548 08:39 น.
อัลมิตรา
๑.
..๏ เธออย่าด่วนปรวนแปรแลสับสน
หากชีวิตวกวนจนหวั่นไหว
ผ่านวันคืนหนาวเหน็บเจ็บเพียงใด
เธอยังเดินมาไกลได้เพียงนี้
อย่าท้อแท้แลล้าคราเหนื่อยอ่อน
อย่าใจร้อนวางมือหรือหลบหนี
จงยืนหยัดมั่นใจในความดี
อย่างผู้มีศรัทธากว่าสิ้นลม
๒.
ซึ่งความฝันบรรเจิดทั้งเพริศแพร้ว
คงไม่แคล้วต้องประสบพบขื่นขม
บ้างบอบช้ำร่ำไห้ใจตรอมตรม
แต่อย่าล้มเลิกฝันกลางคันเลย
ยังมีถนนหนทางอยู่ข้างหน้า
รอเวลาเธอก้าวย่างอย่างผ่าเผย
จงเริ่มต้นผจญภัยไปเถิดเอย
ถึงแม้เคยท้อถอยปล่อยวางพลัน
๓.
จงดำรงคงอยู่คู่ความรัก
พร้อมประจักษ์ความจริงทุกสิ่งสรรพ์
ด้วยศรัทธา , ปรารถนา , มหัศจรรย์
จงยึดมั่นคุณธรรมหนุนนำใจ
( สร้อย )
หากเราสองประคองกันมุ่งฟันฝ่า
แม้นปัญหาอุปสรรคจักยิ่งใหญ่
เพียงร่วมแรงร่วมฝันบุกบั่นไป
กางปีกใจให้ทะยานผ่านเมฆา
๔.
ด้วยรู้นักประจักษ์จิตมิผิดแน่
ว่าความฝันมิผันแปรแลไร้ค่า
เคยกระจ่างสว่างใสแต่ไรมา
จักงดงามค้ำฟ้าแลปฐพี
อันความฝันนั้นหนานำพาสุข
สิ้นความทุกข์ระทมใจในทุกที่
เสมือนมองจ้องเราเฝ้าปราณี
ทั้งเมฆียังลอยเลื่อนเคลื่อนคล้อยบัง
๕.
แสงสุรีย์ที่เร่าร้อนจักอ่อนฤทธิ์
จตุรทิศพลันงามด้วยความหวัง
เพียงสร้างสรรค์สรรพสิ่งอย่างจริงจัง
อย่าหยุดยั้งย่อท้อรอจำนน
หากชีวาคราคว้างกลางลมหนาว
ควรแกร่งกร้าวเผชิญหน้าฝ่าลมฝน
รู้หลบหลีกเป็นปีกหางอย่างอดทน
ฟ้าเบื้องบนยังมีดาวพราวนำทาง
๖.
มองดาวรายพรายประพัทธ์จรัสจ้า
แล้วนำมาเติมใจให้แจ่มกระจ่าง
ยึดมั่นไว้จนประสบพบปลายทาง
ถึงอ้างว้างเหว่ว้าอย่าท้อใจ
ผ่านขุนเขาลำเนาป่าพนาสัณฑ์
มหัศจรรย์น้ำตกเย็นกระเซ็นใส
แล้วปลดเปลื้องพันธนาการแผ้วพานใจ
จงชำระชะล้างให้ไร้มลทิน
๗.
คำติฉินนินทาภาษามนุษย์
ดังอาวุธศาสตราคราเล่นลิ้น*
เหมือนน้ำกลิ้งบนใบบอนยอกย้อนจินต์
มิสุดสิ้นวาจาว่าร้ายกัน
แต่ยังมีที่รักสมัครสมาน
ซึ่งขับขานกานท์กวีที่หฤหรรษ์
บ้างปลอบโยนโอบเอื้อเกื้อกูลกัน
สานสัมพันธ์สมานมิตรจิตอาทร
๘.
คืนสู่เหย้าเราก่อนยามอ่อนล้า
แล้วพักกายสายตาคราเหนื่อยอ่อน
ลืมเรื่องร้ายนั้นหนาอย่าอาวรณ์
เถิดคนดีเอนหลังก่อนนอนพักใจ
( สร้อย )
หากเราสองประคองกันมุ่งฟันฝ่า
แม้นปัญหาอุปสรรคจักยิ่งใหญ่
เพียงร่วมแรงร่วมฝันบุกบั่นไป
กางปีกใจให้ทะยานผ่านเมฆา
๙.
ด้วยรู้นักประจักษ์จิตมิผิดแน่
ว่าความฝันมิผันแปรแลไร้ค่า
เคยกระจ่างสว่างใสแต่ไรมา
จักงดงามค้ำฟ้าแลปฐพี
อันความฝันนั้นหนานำพาสุข
สิ้นความทุกข์ระทมใจในทุกที่
เสมือนมองจ้องเราเฝ้าปราณี
.ทั้งเมฆียังลอยเลื่อนเคลื่อนคล้อยบัง
๑๐.
แสงสุรีย์ที่เร่าร้อนจักอ่อนฤทธิ์
จตุรทิศพลันงามด้วยความหวัง
เพียงสร้างสรรค์สรรพสิ่งอย่างจริงจัง
อย่าหยุดยั้งย่อท้อรอจำนน ๚ะ๛
เ ม ฆ เ บื้ อ ง บ น ห้ ว ง เ ว ห า โ ส ภ า พ ร ร ณ
บ ด บั ง แ ส งรั ศ มี สุ ริ ยัน
เ พื่ อ ตั ว เ ธ อ แ ล ะ ฉั น เ ท่ า นั้ น เ อ ง