6 เมษายน 2547 23:00 น.
อัลมิตรา
..๏ ด้วยข้าฯนั้นเสาะหาค่าความรัก
อยากรู้จักนิยามความสับสน
จะสัตย์ซื่อหรือไม่ในกมล
อาจเกินค้นรับรู้ดูความนัย
จะมั่นคงความรักภักดีแท้
หรือผันแปรแปลงเปลี่ยนเวียนไฉน
คงยากยิ่ง..ด้วยมิซึ้งถึงหัวใจ
เพราะห่างไกลเกินเห็นเช่นบทความ
ข้าฯจะรู้อย่างไรใคร่แจ่มชัด
ฤๅฝึกหัดรักใครให้วาบหวาม
เผื่อจะได้เข้าใจในนิยาม
ก่อนมองข้ามคนปอง..มองมิควร
ข้าฯจะทำฉันใดในการณ์นี้
ช่วยแนะทีสั่งสอนตอนผันผวน
รายละเอียดชี้ชัดจัดกระบวน
ให้ครบถ้วนหลักสูตรรัก..จักทดลอง ๚ะ๛
5 เมษายน 2547 10:54 น.
อัลมิตรา
...๏ ย่ำค่ำยามคืน.............มาลาพาชื่น.............ดาษดื่นดอกงาม
เบ่งบานพลันพลิ้ว........ท่วงทิวท่าตาม.........กิ่งรวนก้านลาม
เมื่อยามลมโชย ๚
...๏ เย็นใจใคร่มอง..........บุบผาผุดผ่อง........ก่อนต้องร่วงโรย
งดงามยามคืน..............หลงยืนบันโดย*.......หากไร้ใจโหย
บำโบย*เด็ดดม ๚ะ๛
เย็น...ลมหนาวดึกนี้...............ลั่นทม ร่วงแล
ใจ...พี่ร้าวขื่นขม....................รุ่มไข้
ใคร่...ครวญคิดเคยชม............เคยชื่น กลิ่นแม่
มอง...กลีบเจ้าปลิวไร้..............ค่าคว้างล่องลอย ๚
บุป...ผาเอยจิตเจ้า.................โรยลอย ลมฤา
ผา...ณิตหวานพี่คอย..............ดื่มนั้น
ผุด...ผาดพิศเกินสอย.............กลายโศก
ผ่อง...พร่างเพชรพราวครั้น.......กลีบสะท้อนแสงโสม ๚
ก่อน...เคยรื่นชื่นชู้.................เคียงเชย
ต้อง...พรากรักเลื่อนเลย..........รุ่งร้าง
ร่วง...เกลื่อนโกรธฤาเหวย.......ลมเพชร หึงแฮ
โรย...เพราะพายุสร้าง..............ศึกด้วยใดหนอ ๚
งด...ตอบโต้อดกลั้น................กร่อนใจ พี่นา
งาม...ภาพเจ้ายังใน.................อกนี้
ยาม...จำจากเพราะใคร............เขากีด กันเฮย
คืน...กลับเดิมก่อนกี้................กัดกล้ำกลืนขม ๚
หลง...ลั่นทมกลิ่นค้าง...............ครวญกานท์
ยืน...อาบพายุสนาน................สั่นฟ้า
บัน...ดาลพิรุณหวาน................หว่านเมฆ มาแฮ
โดย...ชุ่มเงาเช้าช้า...................ชื่นน้ำตาฝน ๚
หาก...ลั่นทมรู้พี่.......................ยังรอ
ไร้...ห่วงหากพี่ขอ...................ค่ำนี้
ใจ...เอยจากจำพอ...................รู้พัก
โหย...ห่างร่างแรมลี้..................พรากแม้ดวงใจ ๚
บำ...ราศรักแล้วอย่า..................ลืมวัน
โบย...ราดน้ำเกลือกัน................ก่อนกี้
เด็ด...ใจพี่เอาจันทร์..................จากอก พี่เอย
ดม...กลิ่นลั่นทมนี้....................แนบพื้นอำลา ๚ะ๛
2 เมษายน 2547 16:28 น.
อัลมิตรา
...๏ ลั่นทม...ลมพัดเจ้า.............จนหมอง
ดุจตอกย้ำยามมอง....................หม่นแท้
หมายใจใฝ่ครอบครอง..............คงชอก- ช้ำเฮย
ดอกร่วงโรยหมดแล้..................ดั่งให้ใจโหย ๚
...๏ ลั่นทม....ดมกลิ่นให้...........เศร้าตรม
ดังอกไข้ใจขม.......................... พรากน้อง
เด็ดดอมย่อมระทม....................แสนสลด- ใจแฮ
แสนห่วงไยจึงต้อง-....................ร่ำไห้ครวญหา ๚
...๏ คำโคลงโยงเอ่ยเอื้อน...........เตือนใจ แม่เอย
จำพรากรักจรไกล.....................หน่ายร้าง
เพียงจิตคิดอาลัย.......................หมายชื่น
เปรียบลั่นทมตรมอ้าง................เจ็บร้าวระบมทรวง ๚
...๏ พากย์พจน์สุดอดกลั้น.........พรรณา
ชมพฤกษ์หากอุรา.....................ด่าวดิ้น
ลั่นทมดุจรักลา.........................เรียมแม่- นวลนา
ยากเอ่ยเอื้อนความสิ้น...............สิ่งเศร้านัยเฉลย ๚ะ๛
2 เมษายน 2547 13:37 น.
อัลมิตรา
...๏ มีกระปุกหนึ่งใบไว้ออมทรัพย์
เวลากลับจากโรงเรียนเพียรหยอดใส่
ทีละบาท.. ทีละสลึง.. พึงนับไป
ด้วยหวังไว้วันหน้า..ข้าฯมิจน
จากกระปุกแรกเริ่มเพิ่มเป็นสาม
วางเรียงตามลำดับมิสับสน
กาลเวลาผ่านไปในกมล -
ชื่นเหลือล้นสักวันฝันเป็นจริง
แต่แล้วหวังที่คาดวาดมุ่งหมาย
ถูกทำลาย.. ข้าฯเศร้ารวดร้าวยิ่ง
กระปุกวางตั้งไว้..ใครมาชิง
สูญทุกสิ่งเคยฝันพลันระทม
ไม่มีเหลือเศษซากยากแลเห็น
ฤๅใครเร้นซุกไว้ให้ขื่นขม
ขอกระปุกคืนได้ไหมใจข้าฯตรม
ทุกข์เกินข่ม.. ร่ำไห้ไม่บรรเทา
เขียนกานท์กลอนตามจริงอิงความย้ำ
การกระทำเมื่อก่อนตอนเด็กเขลา
ความจำเป็นของแม่พ่อ..พอแบ่งเบา
ภาระเร้าทุกข์ตรมถมอดีตกาล
จากครอบครัวเศรษฐีมั่งมีสุข
กลับเป็นทุกข์อับจนด้วยคนผลาญ
มิกล้าบากหน้าหาใครในเหตุการณ์
หรือซมซานขอผู้ใดให้หมิ่นตน
เงินที่เก็บออมไว้เพื่อภายหน้า
หวังพี่งพาช่วยให้ไม่ขัดสน
มีประโยชน์มากมายในบัดดล
ข้าฯเพิ่งค้นธรรมชอบมอบตนเอง
หากวันนั้นไม่มีเงินในกระปุก
คงท่วมทุกข์หนี้ล้นคนข่มเหง
จะหยิบยืมผู้ใดให้กริ่งเกรง
ด้วยเขาเบ่งหยามเหยียดเกียรติ์ประนาม
และวันนี้ชีพคงจมล่มจากนั้น
อาจย่อยยับดับพลันครั้นหากถาม
เพราะไร้ซึ่งกระปุก.. ทุกข์คงลาม
คงยากข้ามความขัดสนบนชีวี ๚ะ๛
1 เมษายน 2547 11:55 น.
อัลมิตรา
...หากเหตุการณ์ที่ผ่านล่วงมา พวกเขาเรียกกันว่า...ประวัติศาสตร์
...ข้าฯประหลาดใจนัก ที่ประวัติศาสตร์ของข้าคือ..ศูนย์
...หากนับวัน มนุษยชาติจักจำเริญเพิ่มพูน
...แต่ข้าฯอาดูร ..ให้กับการทำลายล้างผลาญ
...พระเจ้าให้สิทธิ์แก่ผู้ใดเป็นพิเศษกระนั้นหรือ ..?
...ไยถืออาวุธยุทธ มาประหัตประหาร
...ฤๅพระเจ้านิยมชมชอบคนพาล .. ?
...เหล่าคนโฉดจึงระรานข่มขู่ผู้ปราชัย
...หากท่านต้องการจะบวงสรวง
...แด่พระเจ้าของท่าน..ด้วยวิญญาณทุกดวงที่ร่ำไห้
...ท่านตรองดูเถิด .. จากเศษเสี้ยวลึกของจิตใจ
...ปีศาจบงการท่านไซร้ .. หรือพระเจ้าสั่งให้ทำ
...โอ้มนุษย์..เหตุไฉนจึงบังอาจ
...ดุจปีศาจคาบคัมภีร์ ที่ถือเคียวคมคอยเข่นฆ่า
...และเพื่อนร่วมโลกมีชีวิตเยี่ยงเศษผักเศษปลา
...พิพากษา..ผู้อื่น..ด้วยความตาย..
...กำสรวลแท้..ข้าฯปวดปร่าใจยิ่งนัก
...เมื่อประจักษ์ด้วยสายตา เห็นโลกร้าย..
...ต่างศรัทธา ต่างสิ่งยึดมั่น ต่างฝ่ายจึงต่างทำลาย
...ชีพมลายถาโถมเลือดหลั่งโลมแผ่นดิน
...ฤๅพระเจ้าของท่านสั่งไว้เป็นบทบัญญัติ
...ให้ประหัตประหารมนุษย์ด้วยกัน..จนพินาศสิ้น
...ดุจพลิกฟ้าเพื่อกลบหล้า.....เสียงร่ำไห้คล้ายไม่ยลยิน
...พระเจ้าของท่านทวงถิ่น ผืนภพคืนใช่ไหม...ใคร่ทบทวนดู
...พระเจ้าของท่านโปรดปรานการสังเวยด้วยโลหิตมนุษย์
...หรือพึงพอใจกับการที่ท่านรุกไล่ฆ่าเผ่าพันธุ์เดียวกับท่าน
...ข้าแสนจะอดสู ..หากเป็นจริงดังนั้น
...ในขณะที่ท่านวิงวอนต่อพระเจ้าของท่าน
...สายตาอั่นเปื่ยมไปด้วยความเลื่อมใส
...แต่ท่านดูสิ ดูมือที่เปื้อนเลือดทั้งสองข้างของท่าน
...ในขณะที่ท่านสวดบทคัมภีร์อย่างผู้รู้
...ทั้งที่เสียงในใจของท่าน ร่ำร้องแต่เลือด และกระหายสงคราม ..
...นั่นคือ อารยะธรรมที่งดงามหรืออย่างไร
...ข้าฯ ก็ได้แต่เฝ้ามอง และตั้งคำถามให้กับตนเอง
...ข้าฯ ผู้ผ่านทาง จะทำฉันใด
...ข้าฯ ผู้ต่ำต้อย ยิ่งกว่า ... ยิ่งกว่าท่าน
...สิ่งที่ท่านพร่ำสอน และสิ่งที่ท่านกระทำ มันสวนทางกัน
...ข้าฯ ผู้เป็นศานุศิษย์ ข้าฯ ผู้เขลาแห่งปัญญา
...แต่ข้าฯ มิได้มืดบอดหัวใจ ..